ประวัติการให้สำคัญกับเวลาของคนญี่ปุ่น
ภาพประกอบโดย WALK on CLOUD
คนญี่ปุ่นสมัยก่อนยังไม่รู้ว่า “เวลา” คืออะไร รู้แค่เพียงว่าตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นนะ ตอนนี้พระอาทิตย์ลับฟ้านะ ยังไม่รู้เลยว่าหนึ่งวันคืออะไร
จนพอมีการประดิษฐ์ปฏิทินขึ้นมา คนญี่ปุ่นก็เริ่มรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่า “วัน”
ในยุคสมัยอะสุขะ (飛鳥時代 ค.ศ. 592-710) จักรพรรดิเทนจิ (天智天皇) เริ่มใช้นาฬิกาน้ำวัดเวลาเพื่อบอกเวลาแก่ผู้คน ซึ่งในยุคอะสุขะนี้ มีการนำเอากฎระเบียบของจีนเข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อที่จะรวบรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว ริเริ่มการเข้าทำงานตามเวลา ทำให้วัฒนธรรมของ “เวลา”เริ่มซึมซับเข้าไปในวิถีชีวิตคนญี่ปุ่น
ในช่วงยุคเอะโดะ (ค.ศ. 1603 – 1868) คนญี่ปุ่นยังแลดูไม่รีบร้อนกับเวลา โดยอาศัยจากหลักฐานที่คนต่างชาติเขียนบ่นถึงคนญี่ปุ่นว่า “คนญี่ปุ่นเป็นคนไม่รักษาเวลา”
คนญี่ปุ่นเริ่มให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า “เวลา” เมื่อมีการพัฒนา “รางรถไฟ” ในช่วงการปฏิรูปเมจิ ทุกคนดู “ตารางเวลา” เพื่อที่จะได้รู้เวลาที่รถไฟมา และอาศัยนาฬิกาที่สถานีรถไฟเพื่อดูว่ารถไฟใกล้จะมาหรือยัง
แต่เวลาของนาฬิกาแต่ละสถานีรถไฟก็ไม่ได้ตั้งไว้ให้ตรงกัน ในปีเมจิที่ 19 ถึงมีการตั้งเวลาของนาฬิกาของทุกสถานีรถไฟให้ตรงกัน ซึ่งเป็นผลกระทบจากการกำหนดเวลามาตรฐานกรีนิช ทำให้คนญี่ปุ่นเริ่มที่จะให้ความสำคัญกับเวลาระดับ “นาที”
ในปีค.ศ. 1920 มีการจัดนิทรรศการ “เวลา” ที่พิพิธภัณฑ์การศึกษาของโตเกียว (ปัจจุบันคือ National museum of nature and science) ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความนึกคิดต่อเวลาสำหรับคนญี่ปุ่น การจัดนิทรรศการครั้งนี้ต่อยอดมาจากความสำเร็จในการจัดนิทรรศการอื่นๆสองงานอันได้แก่งานดังต่อไปนี้
งานแรกคือนิทรรศการอหิวาตกโรค การริเริ่มจัดงานนี้ขึ้นมานั้นเพราะสมัยก่อนมีการระบาดของอหิวาตกโรค และเพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้อง จึงมีการจัดงานนี้ขึ้นมา นิทรรศการประสบความสำเร็จโดยมีผู้คนกว่า 50,000 คนมาเยี่ยมตึกพิพิธภัณฑ์ที่เคยร้างผู้คน
และงานถัดมา มีการจัดนิทรรศการปรับปรุงคุณภาพการใช้ชีวิต ซึ่งงานนี้ก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน
ด้วยความสำเร็จของงานนิทรรศการสองงานข้างต้น งานต่อมา มีการคิดธีมในงานเพื่อ “ต้องการให้ผู้คนรักษาเวลา” จึงเกิดให้เป็นการจัดนิทรรศกาลเวลาขึ้นมา งานนี้มีการโชว์นาฬิกาหายากและเอกสารต่างๆ งานนิทรรศการเวลาประสบความสำเร็จมีผู้คนเข้าชมกว่าสองแสนคน
ภาพหน้าปกหนังสืองานนิทรรศการเวลา
และเพื่อเป็นการระลึกถึงความสำคัญของเวลาจึงมีการจัดตั้ง “วันที่ระลึกเวลา” (時の記念日[โตะคิโนะคิเนนบิ])โดยกำหนดวันที่ 10 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่จักรพรรดิเทนจิใช้นาฬิกาเป็นครั้งแรก (ซึ่งเมื่อปรับปฏิทินโบราณมาเป็นปฏิทินสมัยใหม่จึงตรงกับวันที่ 10 มิถุนายน)
ด้วยการจัดตั้งวันที่ระลึกเวลา ทำให้ผู้คนเริ่มให้ความสำคัญกับ “วินาที” เนื่องจากมีพิธีของวันที่ระลึกเวลา มีการจุดปืนใหญ่ตอนเที่ยงวัน และทุกแห่งหนมีการเคาะระฆัง โรงงานเป่านกหวีดไอน้ำ ทำให้มีเสียงดังไปทั่วโตเกียว ที่พิพิธภัณฑ์การศึกษาโตเกียวมีการปล่อยลูกโป่งโดยนักเรียน เรียกได้ว่าการจัดงานของวันที่ระลึกเวลานี้เป็นงาน Countdown ครั้งแรกในญี่ปุ่น ทำให้ผู้คนเริ่มรู้สึกถึงหน่วยเวลาระดับ “วินาที” และการแพร่หลายของวิทยุ ยิ่งทำให้ “วินาที” ซึมซับมากยิ่งขึ้น
หลังสงครามโลก นาฬิกาผลิตในประเทศถูกขายไปทั่ว ยิ่งช่วยก่อร่างสร้างตัวความเป็นคนญี่ปุ่นมากขึ้น
ในปัจจุบันแม้นมีภาพลักษณ์ว่าคนญี่ปุ่นเป็นคนตรงต่อเวลา แต่ก็มีมุมมองที่ว่าคนญี่ปุ่นรักษาเฉพาะเวลาเริ่มงาน แต่เวลาเลิกงานค่อนข้างจะหละหลวม
การประดิษฐ์นาฬิกา และใช้เป็นสิ่งที่บอกว่าเวลาตอนนี้กี่โมง ทำให้ผู้คนเริ่มอาศัยอยู่ในแกนเวลา “เดียวกัน” เนื่องจากการที่เรามีสังคม ทำให้เวลาเริ่มเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการนัดหมายกัน หากเราอยู่ตัวคนเดียวในโลก เวลาอาจจะไม่จำเป็น
เราทุกคนต่างเกี่ยวข้องกับเวลา ก็เพราะสังคมนั่นเองที่หล่อหลอมให้เป็นแบบนี้
ภาพประกอบ WALK on CLOUD
เรื่องแนะนำ :
– เซ็คคุของดอกเก๊กฮวย
– เทศกาลดวงดารา วันที่ 7 เดือน 7 ทะนะบะตะ
– ทังโกะโนะเซ็คคุ ดั่งปลาคาร์ฟว่ายทวนน้ำกลายเป็นมังกร
– ฮินะมะซึริ กับ เซ็คคุของลูกพีช
– เซ็คคุ…วันของมนุษย์
อ้างอิง
– https://koken-publication.com/archives/1866
#ประวัติการให้สำคัญกับเวลาของคนญี่ปุ่น