ซีรี่บทความเรื่อง 5 อันดับเรื่องสยองขวัญในรั้วมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น
อันดับที่ 5: ห้องวิจัยหมายเลข 13 – มหาวิทยาลัยเงียบงัน
หมายเหตุ: ผู้เขียนไม่มีเจตนาในการลบหลู่เรื่องราวเหนือธรรมชาติใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเพียงการเล่าเรื่องราวสู่กันฟังเท่านั้น
ในหมู่นักศึกษาญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยแทบทุกแห่งจะมี “ห้องวิจัยต้องห้าม”
เรื่องเล่าที่คนพูดถึงจนกลายเป็นตำนาน เป็นเหมือนบททดสอบความกล้า
แต่ก็เป็นสิ่งที่หลายคนไม่กล้าเอ่ยชื่อด้วยซ้ำ
หนึ่งในเรื่องที่คนญี่ปุ่นรู้จักดี คือ “ห้องวิจัยหมายเลข 13” ที่เล่ากันว่าอยู่ในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในแถบคันโต เรื่องนี้โด่งดังจนเป็นแรงบันดาลใจให้หนังสยองขวัญหลายเรื่อง
และกลายเป็นหนึ่งใน 5 อันดับตำนานผีในรั้วมหาวิทยาลัยที่ถูกพูดถึงมากที่สุด
ตำนานเริ่มจากปีโชวะปลายๆ (ช่วงปลายทศวรรษ 1980) ซึ่งเป็นยุคที่ญี่ปุ่นกำลังเฟื่องฟู เศรษฐกิจโต
นักวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยก็แข่งขันกันตีพิมพ์งานวิจัย
แต่ในห้องทดลองหนึ่ง – ห้องหมายเลข 13 – มีอาจารย์หัวหน้าแล็บที่เข้มงวดสุดขั้ว
มีข่าวลือว่าเขาบังคับลูกศิษย์ทำงานจนมีคนเป็นบ้า บางคนถึงขั้นฆ่าตัวตายเลย
ในบันทึกของรุ่นพี่ที่ส่งต่อกัน มีรายละเอียดน่าขนลุก
“เขาบอกว่าตอนตีสาม ไฟในห้อง 13 จะติดขึ้นเอง”
“มีคนได้ยินเสียงเครื่องแก้วแตก ทั้งที่ห้องถูกปิดผนึก”
“ถ้าลองนับจำนวนคนตอนเข้า – จะไม่ตรงตอนออกมา”
มีอยู่ปีนึง รุ่นพี่กลุ่มหนึ่ง (4 คน) เมาแล้วท้าทายกันเข้าไปในตึกวิทยาศาสตร์เก่าเพื่อพิสูจน์เรื่องไร้สาระ
พวกเขาเอาไฟฉาย กล้องถ่ายรูป
แต่ตอนตีสองกว่าๆ สัญญาณมือถือก็เริ่มแปลก ขาดๆ หายๆ
เสียงแรกที่ได้ยินในคลิปคือเสียงแก้วแตกแหลมเหมือนอยู่ข้างหู ตามด้วยเสียงหัวเราะแห้งๆ
ที่ไม่ใช่เสียงใครในกลุ่ม พวกเขาตกใจแต่ยังฝืนหัวเราะกลบเกลื่อน
ก่อนที่ไฟฉายจะส่องไปเจอประตูที่มีป้ายลอกล่อนว่า “13”
พวกเขาแง้มเข้าไป มืดสนิท เย็นเฉียบ ทั้งที่เป็นฤดูร้อน ข้างในมีโต๊ะโลหะเก่าๆ พื้นเปื้อนคราบน้ำยา
แผ่นกระดานที่ยังเขียนสมการอยู่แบบเลือนราง
หนึ่งในนั้นพยายามอ่านเสียงบนกระดาน เป็นสมการเคมีประหลาด ไม่มีใครเข้าใจ แต่ในคลิปได้ยินเสียงเหมือนคนอีกคนหนึ่งทวนตามหลังด้วยเสียงแหบต่ำ
“NH2… COOH…”
“NH2… COOH…”
เสียงเดียวกันแต่หนักแน่นกว่า ฟังดูโกรธ
กลุ่มนี้แตกฮือ วิ่งกระเจิงออกมา แต่กล้องยังเปิดอยู่ ภาพสั่นไหวได้ยินเสียงกรีดร้อง
ตอนเช้าคนที่เหลือกลับมานับจำนวนกัน ตกลงว่าหายไปคนหนึ่ง แต่พอไปแจ้งความ กล้องที่ได้คืนมากลับมีแค่คลิปสั้นๆ ภาพนิ่งเหมือนถูกตัดเหลือแค่จังหวะที่ไฟฉายส่องประตู “13” แล้วมืด
ศพของเพื่อนคนนั้นถูกพบหลังตึก ตาเบิกโพลง มือเกร็งเหมือนกำอะไรแน่น ผลชันสูตรบอกว่า
“หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน”
แต่ตามข่าวลือ บอกว่าเขาจับเศษกระจกแตกจนมือเป็นแผลลึก
ตั้งแต่นั้น ห้องหมายเลข 13 ถูกปิดตาย มีการเอาตู้มาขวาง ทาสีทับหมายเลข
แต่พวกแม่บ้านทำความสะอาดยังบอกว่าทุกเช้ามีคราบน้ำยาเคมีรั่วซึมออกมาเป็นสีดำ
ความเชื่อที่แพร่หลาย
มหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นหลายแห่งมักมี “เลขอาถรรพ์” ที่เลี่ยงใช้ในห้องวิจัย โดยเฉพาะเลข 13
(เหมือนตะวันตก) และเลข 4 (死 / し / shi ที่เสียงเหมือนคำว่าตาย)
แต่ห้อง 13 ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้โด่งดังมาก
เพราะถูกเขียนในบันทึกของนักข่าวท้องถิ่นและลงคอลัมน์หนังสือพิมพ์ยุคหนึ่ง
ว่ากันว่าในช่วงปี 90 มีกลุ่มนักศึกษาอีกชุดทำสารคดีล้อเลียน พวกเขาพยายามถ่ายทำช่วงกลางคืน
โดยใช้กล้องอินฟราเรด สิ่งที่บันทึกได้คือเงาคนเดินอยู่หลังกลุ่ม – นับแล้วเกินจำนวนทีมถ่าย
แต่หลังจากวันนั้น คนทำสารคดีมีอุบัติเหตุรถชนกันหมด รถหมุนหลายตลบ ตายสอง สาหัสสอง
คนที่รอดมาได้บอกว่า
“ก่อนรถเสียหลัก ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินตัดหน้ากลางถนน
เหมือนอาจารย์หัวหน้าแล็บในภาพถ่ายเก่าๆ เลย…”
คำเตือนรุ่นสู่รุ่น
จนถึงวันนี้ มหาวิทยาลัยแห่งนั้นถูกเล่าต่อเป็นตำนานเมือง
ทุกปีจะมีรุ่นใหม่ที่อยากลองของ ไปยืนหน้าตึกเก่า
หลายคนอ้างว่าแค่ยืนใกล้ก็รู้สึกปวดหัวหรือได้ยินเสียงฝีเท้าเดินวนอยู่ข้างใน ทั้งที่หน้าต่างถูกปิดทึบ
อาจารย์รุ่นเก่าๆ ยังเตือน
“อย่าไปนับจำนวนคนตอนเข้าออกห้องวิจัย ไม่งั้นจะ ‘ได้เพื่อนเพิ่ม’ มาด้วย”
วิเคราะห์ความเชื่อ
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของ “ยูเรย์” (幽霊) แบบญี่ปุ่นที่ผูกกับความคับแค้น
ความกดดันในสังคมการศึกษา การบูชาอาจารย์ การแข่งขัน จนเป็นวงจรอาฆาต
นักสังคมวิทยาเชื่อว่าตำนานห้อง 13 เป็น “บทเรียนกลายๆ” สอนให้คนเคารพขอบเขต
อย่าแหย่ของต้องห้าม อย่ากดดันคนอื่นจนถึงขีดสุด
แต่ในหมู่นักศึกษาก็เป็น “ตำนานทดสอบใจ” ที่เอาไว้หลอกเพื่อน หรือเช็กความกล้ากันสนุกๆ ทั้งที่ในใจไม่มีใครกล้าเข้าไปจริงๆ
หากเทียบกับเรื่องเหนือธรรมชาติในเมืองไทย ก็พบว่ามีความคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง
หากบุคคลใดดวงถึงฆาตและมีการตายด้วยสาเหตุที่ผิดธรรมชาติ
หรือเกิดเหตุการณ์รุนแรงจนทำให้ถึงแก่ชีวิต
ดวงวิญญาณจะยังคงวนเวียนอยู่ในรอบๆ สถานที่แห่งนั้น
ทำเหตุการซ้ำๆ เดิมๆ ทุกวัน
จนกว่าจะถึงอายุขัยที่แท้จริง ดวงวิญญาณจึงจะไปสู่ภพภูมิที่เหมาะสมต่อไป
“ห้องวิจัยหมายเลข 13” มันกลายเป็นอันดับ 5 ของตำนานสยองขวัญในรั้วมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น
เพราะทุกครั้งที่มีการพูดถึง คนจะนึกถึงเสียงแก้วแตกกลางดึก เสียงหัวเราะแห้งๆ
และประตูหมายเลข 13 ที่รอใครสักคนไปเปิดอีกครั้ง
เรื่องแนะนำ :
– ช้าง: สัตว์ใหญ่หัวใจอ่อนโยนที่ครองใจคนญี่ปุ่น
– Love Hotel ในประเทศญี่ปุ่น: จากสถานที่พักชั่วคราว สู่พื้นที่คุยงานได้… จริงไหมน้า?
– รวมพลังไม่ให้ล้ม: บทเรียนจากประเทศญี่ปุ่นสู่สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย (ตอนที่ 4)
– รวมพลังไม่ให้ล้ม: บทเรียนจากประเทศญี่ปุ่นสู่สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย (ตอนที่ 3)
– รวมพลังไม่ให้ล้ม: บทเรียนจากประเทศญี่ปุ่นสู่สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย (ตอนที่ 2)
#ซีรี่บทความเรื่อง 5 อันดับเรื่องสยองขวัญในรั้วมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น



