เกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา คนญี่ปุ่นทั้งประเทศพยายามเหลือเกิน ที่จะเปลี่ยนระบอบทัศนคติทำงานแบบใหม่ให้กับเหล่าซาลารี่แมนญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่พวกเขาอยู่ในกรอบความคิดที่ว่า…
ช่วงนี้มีละครของช่อง TBS เอานักแสดงสาว Yoshitaka Yuriko (ซึ่งผมเองก็เป็นติ่งน้องแก) มารับบทสาว OL ผู้มีสโลแกนประจำตัวว่า “ชั้นจะกลับตรงเวลา”
มันเป็นอะไรที่เหมือนมีน้ำฝนมาโปรยปรายใส่หัวใจที่แห้งผาดของคนทำงานญี่ปุ่น
เพราะเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา คนญี่ปุ่นทั้งประเทศพยายามเหลือเกิน ที่จะเปลี่ยนระบอบทัศนคติทำงานแบบใหม่ให้กับเหล่าซาลารี่แมนญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่พวกเขาอยู่ในกรอบความคิดที่ว่า
การพลีทั้งกายใจเวลาให้แก่บริษัท คือสิ่งที่ถูกต้อง และจะทำให้เราไปถึงฝั่งฝัน
เมื่อคนเรามีสองมือสองเท้า หนึ่งสมองเท่ากัน หากเราทุ่มเทมากกว่าคนอื่น เราก็ควรไปได้ไกลกว่าคนอื่น
“กัมบัตเต๊ะ” คือคาถาครอบจักรวาลประเทศเจแปน ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ถ้าพยายามพอ
(คงคล้ายๆ กับที่เราเด็กๆ ถูกสอนว่ากัญชาเลวร้าย แล้วจู่ๆ ช่วงนี้กลับมีคนบอกว่าจริงๆ กัญชามันก็โออยู่นะ)
และละครก็ทำได้ดีจริงๆ นางเอกต้องเข้ามารับงานโปรเจคที่ต้องเร่งจนไฟลนก้น แต่มาอยู่ในทีมสมาชิก “รวมดาว”… แบบดาวกระจาย ต้องเจอกับหัวหน้า ลูกน้อง คนร่วมงานที่ทัศนคติไปกันคนละทิศคนละทาง แต่นางเอกมีเหตุผลทั้งทางครอบครัวและเพื่อนรักของเธอ ทำให้เธอถือคติว่ายังไงก็ไม่ยอมทำ OT มีเวลาต้องแปดชั่วโมงต่อวัน ยังไม่พออีกหรือไง !!
(แต่ถ้าคนไทยมาดูละคร… คนไทยกว่าครึ่งค่อนประเทศอาจคิดว่า ว้าย!! ตายแล้วนี่คนญี่ปุ่นเป็นพวกย้อนยุคหรือเปล่า คนไทยเขากลับบ้านตรงเวลา เผลอๆ บางทีกลับก่อนเวลาอีกต่างหาก ทำไมคนญี่ปุ่นโบราณจัง ^_^)
คนญี่ปุ่นเองก็พยายามอย่างหนักมาก เพื่อให้ระบอบความคิดนี้เข้ามาสู่สังคมญี่ปุ่นจริงๆ หนังสือนิตยสารเป็นร้อยเป็นพัน บัญญัติศัพท์ขึ้นมาว่า ปฎิวัติการทำงาน 働き方改革 – Hataraki Kata Kakumei (คล้ายๆ กับคนไทยที่มีไทยแลนด์ 4.0 กระมัง)
พวกเขาพยายามบอกเคล็ดลับ หรือชักจูงให้เหล่ามนุษย์เงินเดือนก้าวไปสู่ยุคใหม่แห่งการทำงาน ให้อยู่บริษัทให้น้อยลง ให้คนตายเพราะทำงานน้อยลง ให้คนต่างชาติเลิกมองว่าพวกญี่ปุ่นเชื่องช้าไร้ประสิทธิภาพสักที
อย่างไม่นานมานี้ ผู้เขียนเองก็อ่านนิตยสาร เขาพูดถึง Know how ปฎิวัติการใช้เวลาแห่งปี 2019
เขาพยายามชี้แจงอะไรมากมายเช่น วิธีการเลือกเข้าแต่ประชุมที่สำคัญจริงๆ พยายามเอาโพลมายันว่าการยกหูโทรไปคุยงานจริงๆ แล้วคน (ญี่ปุ่น) กว่าครึ่งไม่ได้ชอบ อยากให้ทิ้งเมล์ไว้มากกว่า
จริงๆ ผู้เขียนดีใจมากนะ ที่ประเทศญี่ปุ่นเริ่มเห็นคุณค่า Work Life Balance
ผมจำได้ว่าตอนทำงานที่ญี่ปุ่นตอนช่วงที่ผมเปราะบางสุดๆ ยังจำได้ว่ามีเอกสารรอขอ approve สี่ชิ้นในอาทิตย์นี้ ยังไม่ได้เขียน Test Plan วันนี้จะไหวไหมนะ*
นาทีที่ประตูลิฟท์เปิดออก มันเหมือนกับฉากว่าผมกำลังอยู่ในสงคราม และพร้อมจะโดนยิงตายจากเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าและคนที่ทำงานทุกภาคฝ่าย
ถ้าเปรียบกับตอนนี้ก็คือ ผมคือทหารชั้น Low class ของ Black Panther ที่ไม่มีพลังวิเศษ เกราะป้องกันอะไรในหนัง Avenger แล้วกำลังเห็นยานอวกาศและเหล่านักรบของธานอส…. และเหมือนรู้สึกว่ากูจะรอดได้ยังไง
*จริงๆ ตอนนั้นถ้าผมทำงานจนถึงสักสามสี่ทุ่ม วันนั้นอาจจะไม่มีงานกองขนาดนั้นก็ได้ แต่วันนั้นมีนัดสาวที่ชินจุกุจริงๆ ผู้เขียนถึงเข้าใจมากว่าชีวิตมันจำเป็นต้องมี Work Life Balance จริงๆ
ประเด็นที่น่าคิดก็คือว่า… ที่ผ่านมาญี่ปุ่นทำทั้งนโยบาย “ไม่มี OT วันพุธ” (แต่คนก็มาทำยัดกันวันพฤหัสแทน) สองปีที่แล้วรัฐบาลสนับสนุนให้วันศุกร์เลิกงานเร็ว ซึ่งอันนี้ล้มเหลวแบบยับเยิน บางบริษัทเช่น Microsoft Japan เริ่มบอกว่าทำงานสี่วันแทน (เพิ่งลองใช้ไม่กี่เดือน ยังต้องลุ้นว่าจะเป็นไง)
อดีตหัวหน้าของผมคนญี่ปุ่นวัยห้าสิบ เคยเปรยให้ฟังว่าความคิดที่จะเปลี่ยนทัศนคติการทำงานของคนญี่ปุ่น เป็นเรื่องที่ดีแน่ๆ เพียงแต่ว่า ญี่ปุ่นไม่ได้พร้อมจะรับมัน เหมือนวันนึง มีสิ่งที่เรียกว่า “ปฏิวัติการทำงาน” มาเคาะประตูหน้าบ้านเรา แล้วขอมาอยู่ด้วยกับเรา คนญี่ปุ่นรุ่นสามสิบปลายๆ จนถึงห้าสิบ ยังไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงหรือแนวคิดนี่ดีพอ เขายังชินกับความคิดเดิมๆ คุ้นเคยกับการทุ่มเทให้กับงานยิ่งชีพ จึงไม่น่าแปลกใจที่จะต้องใช้เวลาอีกนาน การปฎิวัติครั้งนี้จึงจะผ่านไปด้วยดี…
เอาล่ะครับ ท่านผู้อ่านส่วนประเทศไทยของเรา เราปฎิวัติสำเร็จมานานแล้ว อย่าหักโหมทำงานหนักนะครับ !!
เรื่องแนะนำ :
– [เรื่องสั้น] เพราะคนมันต้องมีฝัน
– [ทดความคิด] และเราก็มาถึงวันนี้ … วันลิขิตชะตา…
– [ทดความคิด] “เพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น” แล้วคุณจะรักกับสิ่งที่เรียกว่าปัจจุบัน
– [ทดความคิด] เหตุผลที่ K ซังซื้อหวยไทย
– เพราะทุกความพิเศษ ล้วนมีปมที่เจ็บปวด… Kento Momota