การเดินทางของเสียงดนตรีและหัวใจของ Fujii Kaze พาทุกท่านมาสำรวจอัลบั้มก่อนอัลบั้ม Prema
ในเช้าวันหนึ่งของเดือนพฤษภาคม 2025…
ฟุจี คาเซะนั่งลงให้สัมภาษณ์ยาวๆ เกี่ยวกับผลงานใหม่ของเขา อัลบั้มที่ชื่อว่า Prema
คำว่า “Prema” มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า “รักอันบริสุทธิ์”
นี่คืออัลบั้มที่เปรียบเสมือน “จดหมายสารภาพรัก” ฉบับใหญ่ ส่งถึงผู้คนทั้งโลก
แต่ในขณะเดียวกันก็บอกเล่าเส้นทางการเติบโตของเขาเองอย่างตรงไปตรงมา
“ผมอยากทำอัลบั้มที่เป็นการกลับมามองตัวเองอย่างซื่อสัตย์,” “ไม่ใช่แค่เพลงที่ฟังแล้วเพราะ แต่เป็นอะไรที่พูดถึงความเป็นมนุษย์จริงๆ”

ก่อนอัลบั้ม Prema มีเพลง 7 แทร็กที่เป็นต้นกำเนิดของอัลบั้ม Prema
แต่ละเพลงคือบทสนทนากับชีวิต ทั้งด้านสว่าง ด้านมืด ความทุกข์ ความหวัง
และการมองโลกด้วยแววตาใหม่ เขาอยากให้ทั้ง 7 เพลงที่จะกล่าวถึง
เป็น “Pre” หรือ “ก่อนจะเป็น” ความรักอันสมบูรณ์ เป็นขั้นตอนการเรียนรู้ที่จะรัก
01. Grace – จุดเริ่มต้นด้วยความอ่อนโยน

เพลงแรก Grace เปิดอัลบั้มเหมือนคำทักทายที่อ่อนโยน คาเซะคุงเล่าว่า
แนวคิดนี้เกิดจากการทัวร์คอนเสิร์ตใหญ่ในสนามกีฬา (LOVE ALL SERVE ALL Stadium Live)
ซึ่งเขาได้รับพลังใจจากคนดูมากมาย
“พอเห็นทุกคนมาฟังกัน
ผมคิดว่า…เราทุกคนมีสิ่งสวยงามอยู่แล้ว
แต่เราลืมมันไป”
คำว่า “Grace” จึงสื่อถึงความงามและความรักที่อยู่ในทุกคนโดยธรรมชาติ เพลงนี้เป็นเหมือนบทสวดชื่นชมชีวิต เนื้อเพลงเรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง มาพร้อมเปียโนใสๆ ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น เขาเล่าว่าอัดเสียงเปียโนไว้ตั้งแต่ช่วงโปรเจกต์ FAKE FILMS (2022) และค่อยๆ ต่อยอดเป็นเพลงเต็มในภายหลัง
เขายังบอกด้วยว่า Grace มีความตั้งใจจะปลอบโยนคนฟังที่รู้สึกหมดแรง
ให้รู้ว่าพวกเขายังมีคุณค่า แม้จะเผชิญความทุกข์ยาก
02. Feelin’ Go(o)d – ปล่อยใจและยิ้มให้ชีวิต

เพลงนี้เป็นเพลงที่สนุกและเบาสบายที่สุดในอัลบั้ม คาเซะคุงแต่งจากความคิดว่า
“ผมอยากทำเพลงที่ทำให้คนยิ้มออกมาได้ทันที”
เขาเล่าว่ามันเริ่มต้นจากจังหวะคล้ายกลองแอฟริกัน-ละตินที่เขาอัดเล่นเล่นไว้
เขาชอบความรู้สึก “ง่ายๆ” ของมัน พอพัฒนาไปก็ได้ซาวด์ที่มีทั้งเปียโน กีตาร์ และเสียงประสาน
แบบ Gospel นิดๆ ทำให้ทั้งเพลงฟังแล้วมีพลังบวก
สิ่งสำคัญคือชื่อเพลงที่เล่นคำ “Feelin’ Good” กับ “Feelin’ God” – เหมือนจะบอกว่าเวลาที่รู้สึกดีที่สุด
มันก็ใกล้เคียงกับการสัมผัสสิ่งศักดิ์สิทธิ์
“ผมคิดว่า ความสุขที่แท้จริงมีอะไรศักดิ์สิทธิ์อยู่ในนั้น” เขาอธิบาย
เพลงนี้ยังเป็นหนึ่งในเพลงที่เขาเล่นบ่อยตามงานไลฟ์ และเป็นเพลงที่แฟนๆ ชอบร้องตามอย่างมีความสุข
อันนี้ผู้เขียนเห็นด้วย 100% ครับ เพลงนี้ทั้งสนุกและมีชีวิตชีวาอย่างยิ่งครับ
03. Workin’ Hard – การทำงานและการมีชีวิต
เพลงนี้เริ่มจากการได้ร่วมทำเพลงธีมให้ FIBA บาสเก็ตบอลเวิลด์คัพ 2023
คาเซะคุงบอกว่ามันยากเพราะโจทย์คือ “เพลงเชียร์” ที่ให้พลังใจคนทั่วโลก
แต่เขาไม่อยากทำแค่เพลงปลุกใจตื้นๆ
“ผมคิดถึงสิ่งที่จริงกว่านั้น…เวลาทำงานหนักจริงๆ
มันไม่ได้แค่สนุกหรือฮึกเหิม แต่มันมีความโดดเดี่ยว
ความเหนื่อย ความกลัวที่จะล้มเหลว”
เขาต้องการให้เพลงสื่อถึงความเป็นจริงของคนที่ “work hard” ทุกคน มีจังหวะที่ดุดันแต่ซื่อสัตย์
ท่อนหนึ่งบอกว่า This is not my show, this is your show.
เหมือนจะบอกคนฟังว่า “ชีวิตนี้เป็นเวทีของคุณนะ” ให้กำลังใจแบบไม่หลอกลวง
เขายังเล่าถึงการอัดเสียงใน L.A. กับทีมต่างชาติ มีการถกเถียง คุยกันเยอะ
จนได้ซาวด์ที่ตรงใจ – ดิบ มีพลัง แต่ไม่เสแสร้ง
04. It’s Alright – การปลอบใจแบบง่ายๆ
เพลงนี้สั้นที่สุดในอัลบั้ม แค่สองนาทีเศษๆ
คาเซะคุงบอกว่าอยากทำเหมือนจดหมายสั้นๆ ถึงคนฟังที่กำลังล้า
“บางทีเราไม่ต้องพูดเยอะ แค่บอกว่า ‘ไม่เป็นไรนะ’ ก็ช่วยได้”
เพลงนี้เรียบง่าย มีแค่เสียงเปียโนกับเสียงร้องนุ่มๆ เหมือนการโอบกอดเงียบๆ
เขายังบอกว่าเป็นเพลงที่เขาเขียนไว้นานมาก
แต่อัดเสียงใหม่ให้เข้ากับอัลบั้มนี้ เพื่อให้กลายเป็นโมเมนต์พักหายใจ ก่อนจะเจอเพลงที่เข้มข้นกว่านี้
05. 花 (Hana / ดอกไม้) – ความงามที่เปราะบาง

เพลงนี้เริ่มจากไอเดียที่เขาและ AG Cook โปรดิวเซอร์พูดคุยกันถึง “ความเรียบง่ายแต่ซับซ้อน”
คาเซะคุงบอกว่าดอกไม้คือสัญลักษณ์ของความสวยที่อยู่ได้ไม่นาน
“มันบอบบาง แต่เพราะแบบนั้นมันเลยงดงาม”
เนื้อเพลงพูดถึงการยอมรับการเปลี่ยนแปลง และการสูญเสียอย่างอ่อนโยน
คาเซะคุงบอกว่าเขาไม่อยากทำเพลงเศร้าจนจม แต่ให้ฟังแล้วรู้สึกสงบ ยอมรับชีวิต
ซาวด์โปรดักชันเป็นมินิมอลมาก เน้นเสียงเปียโนกับเสียงร้องใสๆ
มีการแอบใส่เสียงบันทึกตอนที่เขานั่งเล่นเปียโนคนเดียวไว้ในเพลง
เพื่อให้คนฟังเหมือนอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
06. 満ちてゆく (Michite Yuku) – การเติมเต็ม

นี่คือเพลงที่ “ลึก” และ “ส่วนตัว” ที่สุดในอัลบั้ม คาเซะคุงเล่าว่าเขาแต่งช่วงที่ตั้งคำถามกับชีวิต
“ทำไมเราเกิดมา? จะตายไปทำไม? จะรักได้ยังไง?”
เขายอมรับว่ามีช่วงที่รู้สึกว่างเปล่า รู้สึกว่าไม่มีคำตอบ
แต่เพลงนี้เป็นการบอกตัวเองว่า “ไม่เป็นไรที่ยังไม่รู้”
– ความสมบูรณ์ไม่ได้แปลว่ามีคำตอบหมด แต่แปลว่ากล้าที่จะอยู่กับความไม่รู้
เพลงนี้ยาวกว่า 6 นาที ค่อยๆ ไต่ระดับจากเปียโนเบาๆ ไปถึงเสียงร้องที่เต็มไปด้วยอารมณ์ตอนท้าย
มีท่อนประสานเสียงที่เขาทำเองหลายชั้น สร้างบรรยากาศคล้ายบทสวด
07. 真っ白 (Masshiro / สีขาวบริสุทธิ์) – การยอมรับอย่างสิ้นเชิง
เพลงสุดท้ายคือบทสรุปของก่อนเอามาทำอัลบั้ม Prema
คาเซะคุงเล่าว่าเขาเขียนมันหลังจาก “คืนที่ยากมาก”
วันหนึ่งในสตูดิโอ เขาเล่นเปียโนไปเรื่อยๆ จนได้เมโลดี้ที่ทำให้เขาน้ำตาไหล
“มันเหมือนบอกตัวเองว่า พอแล้ว ยอมแล้ว”
เขาอธิบายว่า “สีขาว” ในที่นี้ไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่คือการเปิดพื้นที่ให้ทุกอย่าง
เป็นการยอมรับทั้งด้านดีและร้าย เพลงนี้ค่อนข้างสั้นและเงียบในช่วงท้าย เหมือนการหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจบ
ความตั้งใจของอัลบั้ม Pre:Prema
คาเซะคุงบอกว่ามันเหมือน “สารภาพ” ในฐานะคนคนหนึ่ง
ไม่ใช่แค่ศิลปินที่เก่ง หรือคนที่รู้ทุกอย่าง
“ผมอยากพูดกับคนที่กำลังท้อ ว่าเราไม่ต้องสมบูรณ์แบบ
ไม่ต้องเข้าใจทุกอย่าง แค่รักได้ก็พอ”
เขายังเล่าถึงการทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ต่างชาติ (เช่น AG Cook)
ที่ทำให้เพลงมีความเป็นสากลแต่ก็ยังเป็นตัวเขา การอัดเสียงหลายเมือง หลายประเทศ
การยอมรับข้อจำกัด รวมถึงการปล่อยใจให้เสียงดนตรีพาไป
Pre:Prema ไม่ใช่การรวมเพลงที่หวือหวา แต่มันจริงใจ
คาเซะคุงพยายามพูดเรื่องที่มนุษย์ทุกคนเผชิญ
ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความกลัว การทำงานหนัก ความสูญเสีย การยอมรับ
และสุดท้ายคือ “รัก” แบบไม่หวังผลตอบแทน
อัลบั้มนี้จึงเป็นเหมือนคู่มือสั้นๆ สำหรับคนที่กำลังเดินทาง
– บอกเราว่า ไม่เป็นไรที่จะยังไม่รู้ แค่รักได้ ก็เพียงพอ
“ตอนที่ทำอัลบั้มนี้ ผมไม่ได้คิดว่าผมเป็นศิลปินที่ต้องเท่หรือฉลาด ผมแค่อยากเป็นคนที่พูดความจริง และแบ่งปันมันให้คนอื่น”
และนี่คือบทเพลงแห่งความรักทั้งหมดที่นำมาซึ่งอัลบั้ม Prema ก่อนจะสมบูรณ์
ที่ฟุจีคาเซะอยากส่งให้ทุกคนบนโลกใบนี้ครับ
ในฐานะผู้เขียนบทความ ผมเองก็คิดในแบบเดียวกับคุณฟุจี คาเซะ
ผมพยายามเรียบเรียงรายละเอียดมาให้ผู้อ่านทุกท่าน
ไม่ใช่เพราะว่าผมเก่งหรืออะไรเลย
แต่เพราะผมเองก็เป็นคนธรรมดาทั่วไปที่ชอบเสียงเพลงของฟุจี คาเซะ
และอยากร่วมแบ่งปันสิ่งเหล่านี้กับเพื่อนๆครับ เท่านั้นเองครับ
อ่านบทความจบแล้วลองไปฟังเพลงที่ระบุข้างต้นรวมถึงเพลงอื่นๆ ด้วยนะครับ
ส่วนอัลบั้ม Prema จะออกมาแบบสมบูรณ์เดือนกันยายนนี้
มีปล่อยเพลงออกมา 2 เพลงคือ…
Hachiko ซึ่งฮิตมากๆ ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
Love like this คะเซะคุงนำมาเล่นบนคอนเสิร์ตที่ทัวร์ยุโรปอยู่ช่วงนี้ครับ
เรื่องแนะนำ :
– Fujii Kaze: ดนตรีที่ข้ามพรมแดน และการเป็นศิลปินที่ไม่จำเป็นต้องมีกรอบ
– Fujii Kaze: สุดยอดศิลปินซอฟพาวเวอร์แห่งแดนอาทิตย์อุทัย
– Fujii Kaze: ความกล้าที่จะเริ่มต้นใหม่ จากศูนย์สู่เสรีภาพทางศิลปะ
– ลังไม่ให้ล้ม: บทเรียนจากประเทศญี่ปุ่นสู่สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย (ตอนที่ 2)
– รวมพลังไม่ให้ล้ม: บทเรียนจากประเทศญี่ปุ่นสู่สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย (ตอนที่ 1)
#การเดินทางของเสียงดนตรีและหัวใจของ Fujii Kaze พาทุกท่านมาสำรวจอัลบั้มก่อนอัลบั้ม Prema



