เที่ยวกันได้เกือบครึ่งทางของทริปนี้กันแล้ว มาดูกันเลยว่าหลังจากคืนแรกที่โอกินาว่าแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นเราไปทำอะไรกันบ้าง….
เอาหล่ะค่ะ สัปดาห์นี้เราก็พาเพื่อนๆ มาเที่ยวกันได้เกือบครึ่งทางของทริปนี้กันแล้ว ไปดูกันเลยว่าหลังจากคืนแรกที่โอกินาว่าแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นเราไปทำอะไรกันบ้าง….

อากาศยามเช้าที่ Miyuki Beach Hotel ค่อนข้างจะ Peaceful & Chill มากๆ ด้วยความที่โรงแรมนอกเมืองของโอกินาว่าส่วนใหญ่มักจะอยู่ริมทะเล และห้องพักแขกเกือบทั้งหมดก็มักจะเป็นห้อง Sea view ด้วย ตื่นขึ้นมา จะเมาขึ้ตาแค่ไหน แค่ออกมาฟังเสียงคลื่น มองทะเลยามเช้า ก็รู้สึกผ่อนคลายแบบสุดๆ ชักไม่อยากออกไปเที่ยวไหนแล้ว… แต่ก็คงจะไม่ได้สินะ ต้องไป ลุยให้รู้! กันหน่อยแล้ว ว่าบ้านนี้เมืองนี้เขามีอะไรเที่ยวกันบ้าง
เมื่อวานช้อปปิ้งกันจนค่ำ กว่าจะเข้าโรงแรมมันก็เลยมองอะไรไม่เห็น นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งด้วยที่เรายังไม่ได้ไปชมวิว หน้าผามันซาโมะ ที่เขาว่าสวยนักสวยหนาในยามพระอาทิตย์อัสดง ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนไปเยือนกันตอนเช้านี่แหล่ะ อยู่ห่างจากโรงแรมแค่ประมาณ 15 นาที เท่านั้น จัดไป!

ลานจอดรถของหน้าผามันซาโมะนั้น พลุ่กพล่านไปด้วยรถบัสของนักท่องเที่ยว (ส่วนใหญ่จะเป็นรถบัสยี่ห้อเดียวกับเราทั้งนั้น… จำ จำ จำ จำทะเบียนรถให้ดี กลัวหน้าแตก ขึ้นรถผิดคันเสียจริงๆ) แล้วก็ยังมีรถยนต์ที่คนญี่ปุ่นมักจะเช่ามาขับเที่ยวที่เกาะแห่งนี้อีกเพียบ บริเวณนี้นอกจากจะมีลานจอดรถแล้ว ยังเป็นจุดรวมการบริการต่างๆ ของที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ และร้านขายของที่ระลึก แนะนำว่าเดินผ่านๆ ไปซะก่อน เพราะไม่งั้นจะอดชมวิวผามันซาโมะยามเช้า แล้วจะเจอแดดจัดๆ ที่ถ่ายรูปออกมา แล้วตาหยีจนเป็นเส้นตรง นายแบบนางแบบจะหมดสวยเอาง่ายๆ
สำหรับทางที่จะเดินไปชมวิวผามันซาโมะนั้น ต้องผ่านบรรดาร้านรวงต่างๆ ไปก่อน มีทางเดินเท้าที่เทปูนเอาไว้เป็นอย่างดี จากนั้นก็จัดการเดินเวียนซ้ายไปตามทางที่เขาทำบังคับเอาไว้ (พอเดินเกือบครบรอบ… ก็ย้อนกลับมาถึงลานจอดรถอีกครั้งอยู่ดี ไม่หลงแน่นอน)

ผามันซาโมะนี้ เห็นแว่บแรกให้อารมณ์นึกถึงตำราเรียนเรื่องหน้าผาเว้าๆ แหว่งๆ ที่ถูกน้ำทะเลกัดเซาะจนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของนอร์เวย์ที่เรียวว่าฟยอร์ด (Fjord) ขึ้นมาเลยทีเดียว รู้สึกว่า… ไม่มีตังค์ไปดูถึงนอร์เวย์ มาดูที่นี่ ก็พอได้แฮะ ระหว่างทางจะมีจุดไฮไลท์ของหน้าผานี้ซึ่งเป็นหน้าผาหินที่ถูกน้ำกัดเซาะ จนมีลักษณะคล้ายรูปช้าง นี่น่ะแหล่ะ! จุดดึงดูดนักท่องเที่ยวให้แวะเวียนมาเที่ยวผามันซาโมะ ใครเดินมาถึงจุดนี้ จะต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย (ไม่ได้ “แย่ง” กันนะ ญี่ปุ่นนี่น่ารักจริงๆ) แบ่งๆ กันถ่ายรูป ในมุมที่ดูเหมือนจะสวยที่สุด เป็นที่ระลึกกันทั้งนั้น เดินกินลมชมวิวถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ จนสุดทาง ก็ย้อนกลับมาถึงลานจอดรถ อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ ที่นี้.. ใครจะช้อป ใครจะเข้าห้องน้ำ ใครจะหาอะไรชิม อย่างพวก Soft Cream อะไรพวกนี้ ก็จัดกันไปตามใจศรัทธาเลย
ข้อควรระวัง : วิวทะเล+หน้าผารูปช้างนี่ พอได้แสงสวยๆ ท้องฟ้าที่จัดๆ กับท้องทะเลสีเทอคอยซ์มาช่วย ต่อให้เป็นมือสมัครเล่น ก็ถ่ายรูปกันสนุกมือ เพราะไม่ว่าจะถ่ายอีท่าไหน ขอเพียงแค่ชัด มันก็สวยไปหมด ดังนั้น.. อย่าเพลินจนลืมดูเวลาล่ะ เดี๋ยวจะมัวแต่ถ่ายรูปจนลืมไปว่าเดี๋ยวเราจะกลับไปช้อปปิ้งที่ร้านจอดรถกันอีก ฮิ ฮิ

จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่สวนสับปะรดนาโกะ (Nago Pineapple Park)
หลายคนคิดว่าสวนสับปะรดจะมีอะไรน่าสนใจเหรอ ไม่เหมือนไร่สับปะรดแถวประจวบฯ หรือศรีราชาบ้านเราหรือไง คำตอบคือ… ไม่เหมือน! มันไม่ได้ใหญ่โตเป็นไร่ๆ เต็มภูเขาเหมือนบ้านเรา แต่ระบบการจัดการของพี่ญี่ปุ่นเขา เรียกได้ว่า “ขั้นเทพ” ที่สวนสับปะรดนาโกะนั้น สร้างมูลค่าพืชไร่ทางการเกษตรซึ่งก็คือสับปะรดนั้นให้เป็นดาราไปได้เลย เดิมก็เป็นที่ปลูกสับปะรดธรรมด้าาาาา ธรรมดานะแหล่ะ แต่ปัจจุบันมีการต่อยอดโดยการปรับให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่น่าสนใจ สร้างมูลค่า สร้างรายได้ขึ้นมา อย่างน่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างทีเดียว
มีการจัดสวนสับปะรดด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ แต่ไฮไลท์ก็คงเป็นสวนสับปะรดกว่า 100 สายพันธุ์ ที่มีทั้งแบบลูกเล็กลูกใหญ่ แบบสวยงาม แบบกินได้และแบบกินไม่ได้ เขาก็จัดเอาไว้ให้เราได้ชม โดยการนั่งรถไฟฟ้าคันน้อยๆ รูปทรงคล้ายสับปะรดผลใหญ่ๆ นั่งไปรอบๆ สวน มีบรรยายภาษาอังกฤษซะด้วย แต่เจ้านี่… ไม่มีคนขับนะ พอรถวิ่งไปสุดทาง มันก็จะจอดให้เราลงเอง จากนั้นเราก็เข้าไปในส่วนจัดแสดงภายในอาคาร เดินไปตามลูกศร มีพิพิธภัณฑ์เปลือกหอยสุดเจ๋ง ที่อาจจะไม่ค่อยเข้ากับเรื่องสับปะรดๆ นัก แต่ของเขาเจ๋งจริง มีเปลือกหอยแปลกๆ หายาก และเก่าแก่ เข้าขั้น “โบราณ” อยู่เพียบ น่าสนใจมากๆ The 8th ชอบสุดๆ เลยหล่ะ แล้วก็มีพิพิธภัณฑ์เล็กๆ เกี่ยวกับการทำไวน์สับปะรดด้วย นัยว่าที่นี่เคยแปรรูปสับปะรดด้วยการทำเป็นไวน์นั่นเอง และจุดสุดท้ายที่เราต้องผ่านก็คือจุดช้อปปิ้ง+จำหน่ายของที่ระลึก ขอเตือนก่อนว่า อย่าชะล่าใจไป… ทางเดินคดเคี้ยว ณ จุดนี้ ไม่ใช่ระยะทางสั้นๆ สามารถเรียกเงินออกจากกระเป๋าได้ง่ายๆ โดยเฉพาะพวกไวน์สับปะรด ขนม ของกินเล่นมากมายที่ผลิตมาจากสับปะรด ขอชื่นชมการออกแบบร้านค้าเลยว่า… เป็นกลยุทธการจัดร้านที่สามารถสร้างกำไรจากนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อยทีเดียวเลยแหล่ะ พอผ่านด่านอรหันต์ของร้านค้าในสวนสับปะรดมาได้ ก็เป็นอันเสร็จพิธี สำหรับใครสนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสวนสับปะรดนาโกะ ก็ไปดูกันได้ที่นี่เลย>>http://75pain.com/english/


ก่อนที่จะไปไหนกันต่อ… ก็เติมพลังงานกันด้วยมื้อกลางวัน ที่มาแบบเซ็ตญี่ปุ่น สไตล์โอกินาว่าเลยทีเดียว เพราะเขาเอาวัตถุดิบขึ้นชื่อโอกินาว่ามาเสิร์ฟให้เราได้ทานกัน ไม่ว่าจะเป็นราฟุเต (คล้ายๆ หมูพะโล้บ้านเรา) และสาหร่ายทะเลหลากหลายชนิดของที่นี่ อิ่ม… อ่ะ (แต่ The 8th ไม่สามารถกินจนหมดเซ็ตได้ เยอะไปหน่อย)

สำหรับช่วงบ่ายเราก็ไปสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของโอกินาว่ากัน… พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชูราอุมิ (Okinawa Churaumi Aquarium) ที่นี่แหล่ะ ที่ The 8th อยากมามากๆ อารมณ์ว่าถ้ามาโอกินาว่า ต้องมาที่นี่ให้ได้! ชูราอุมิเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำริมทะเลที่ใหญ่มากๆ กว่าจะเดินจากรถ ลงบันไดแล้ว ลงบันไดอีก ผ่านสวนนู่นนี่อีกก็ไม่รู้กี่สวนกว่าจะถึงอาคารแสดงสัตว์น้ำ ขนาด 4 ชั้น เดินได้เพลินมากๆ คนเยอะ แต่ก็ได้บรรยากาศดี ไฮไลท์ของที่นี่จะอยู่เกือบๆ จุดสุดท้ายของอาคารในบริเวณชั้น 1 ซึ่งจำลองทะเลด้วยแท้งก์ขนาดใหญ่มีฉลามวาฬอยู่ถึง 3 ตัว บิ๊กเบิ่ม จุดนี้เรียกว่า “The Kuroshio Sea” ใครมาที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชูราอุมิก็ต้องมาถ่ายรูปที่จุดนี้กันทั้งนั้น


แต่… The 8th มีจุดไฮไลท์แบบ exclusive กว่านั้นมาแนะนำ จุดนี้เรียกว่า “Exploring the Kuroshio Sea Tank” พอเราเดินผ่านแท้งก์ “The Kuroshio Sea” มาแล้ว จะเจอห้องน้ำ ตรงทางเข้าห้องน้ำ จะมีลิฟต์ตัวเล็กๆ อยู่ กดลิฟต์จากชั้น 1 ไปยังชั้น 4 ได้เลย ที่นี่จะเป็นจุดที่เราจะได้เห็นแท้งก์ “The Kuroshio Sea” จากด้านบนนั่นเอง ที่นี้ปลาตัวใหญ่แค่ไหน เวลาขึ้นมาบนผิวน้ำจะเป็นอย่างไร มาตรงนี้เห็นหมด ได้เห็นขนาดของปลาจริงๆ ด้วย ไม่หลอกตาเหมือนมองผ่านกระจกของแท้งก์ตอนที่เห็นที่ชั้น 1


ก่อนกลับก็แวะไปชมโชว์ปลาโลมาในส่วนที่เรียกว่า Okichan Theater กันก่อน (ไกลจากตัวอาคารที่เป็น Aquarium พอสมควรเลย ดังนั้นต้องเผื่อเวลาเดินก่อนการแสดงโชว์นิดนึง) โชว์ปลาโลมาจะแสดงเฉพาะในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น วันละ 4 – 5 รอบ รอบละประมาณ 15 – 20 นาที อาจจะดูเป็นโชว์ธรรมดาๆ สำหรับหลายๆ คน (โดยเฉพาะคนไทยนี่แหล่ะ) แต่นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นกรี๊ดกร๊าดกันน่าดู ประหนึ่งว่าเป็นโชว์ที่… น่ารักอ่ะ ^^
ใครจะไปที่ Okinawa Churaumi Aquarium ก็หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่นะจ้ะ>>http://oki-churaumi.jp


บ่ายๆ เย็นๆ ได้มีโอกาสไปเยือนเกาะโคริ เกาะเล็กๆ ที่เขาว่าสวยที่สุดเกาะหนึ่งในหมู่เกาะโอกินาว่า แถมยังตั้งอยู่ใกล้กับเกาะใหญ่แค่ข้ามสะพานที่เชื่อมต่อกันเท่านั้น บรรยากาศดี น้ำทะเลใส มองเห็นปะการังเลยทีเดียวแหล่ะ ที่นี่ให้อารมณ์โอกินาว่าแบบบ้านๆ วิถีชีวิตแบบชนบทๆ เรียบง่าย แล้วก็ดูสุขสงบดีมากๆ บนเกาะก็ไม่มีอะไรมาก เป็นสวน เป็นไร่เล็กๆ แล้วก็บ้านคนนิดหน่อย (นิดหน่อยจริงๆ นะ) ที่ชอบก็คือการได้ไปเหยียบชายหาดของเกาะโคริแห่งนี้ ไม่ได้เป็นหาดที่สวยอะไรนักหนา แต่อย่างที่บอกสุขสงบดี ชาวบ้านที่ไม่ใช่นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ก็มีออกมาเดิน บ้างก็วิ่งออกกำลังกาย บ้างก็พาน้องมาเดินเล่น บ้างก็ตกปลา ชีวิตดูดีทีเดียว สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราก็ต้องถ่ายรูป มุมสวยๆ ก็ต้องเป็นเจ้าสะพานที่เราเพิ่งจะนั่งรถข้ามกันมาเนี่ยแหล่ะ เจ๋งสุดแล้ว
ก่อนกลับเข้าโรงแรม ก็ต้องจัดมื้อค่ำกันก่อน เบาๆ แค่เทปันยากิ (ย่างบนกระทะร้อน) แบบไม่อั้น แล้วก็ของขึ้นชื่อโอกินาว่าอีก อย่าง… ขาหมูพะโล้ (กินไปซะหลายขา) และมะระผัดไข่ ว่าไปแล้ว… อาหารที่โอกินาว่านี่ก็กินง่ายดีนะ น่าจะถูกปากคนไทยมากกว่าอาหารญี่ปุ่นที่เมืองอื่นๆ แน่ๆ ล่ะ

วันรุ่งขึ้นมีการเปลี่ยนแผนกันนิดหน่อย จากตอนแรกที่ว่าจะไปนั่งกระเช้าชมหมู่บ้านอเมริกัน (American Village) ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ฐานกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่เป็นทางผ่านกลับเข้าสู่เมืองนาฮา เราก็เปลี่ยนไปเที่ยวที่ Okinawa World แทน ไกลกว่าเดิม แต่คุ้มค่ามากๆ ได้เห็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นที่มีระบบการจัดการที่เรียกเงินเรียกทองจากนักท่องเที่ยวได้ อย่างที่เห็นแล้ว อยากให้เมืองไทยเอาเยี่ยงอย่างจริงๆ ภายใน Okinawa World นั้นใหญ่มากกกกกกก เช่นเดียวกับที่ Okinawa Churaumi Aquarium จัดเป็น Themepark รูปแบบหนึ่ง โดยใช้เรื่องราวของวัฒนธรรมในท้องถิ่นเป็นตัวชูโรง ภายในมีส่วนที่เรียกว่า Ryukyu Mura อารมณ์ประมาณเมืองจำลอง เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นโอกินาว่า The 8th ได้ชมการแสดงพื้นเมืองที่เรียกว่า Eisa ด้วยประทับใจมากๆ เป็นการแสดงประกอบเครื่องดนตรีท้องถิ่น ที่ผู้แสดงต้องฟิตสุดๆ อ่ะ บางคนออกทุกฉาก (เพราะเล่นเป็นหลายตัวละคร) ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน โดยเฉพาะฉากตีกลองนี่ เขาไม่ได้ตีกันเฉยๆ ตีไปโดดไป ตีลังกาไป ลุ้นซะแทบตาย เหนื่อยเหมือนไปตีด้วยเลย เป็นการแสดงที่สนุกสนาน และน่าประทับใจมากๆ ….เสียดายเขาห้ามถ่ายภาพระหว่างการแสดง ^^”

และถ้ามาที่ Okinawa World ก็ต้องไปดูถ้ำที่เขาอุตสาห์จัดแสงสี และสร้างสะพานปูนให้เราเดินชมกันอย่างสบายๆ เอาไว้ ถ้ำนี้เรียกว่า Gyokusendo ใช้เวลาเดินชมประมาณ 30 นาที ไกลอยู่เหมือนกัน ถ้ำยาวจริงประมาณ 5,000 เมตร หรือ 5 ก.ม. นั่นเอง ดีนะที่เขาทำทางให้เราเดินแค่ 890 เมตร ฮะ ฮะ ที่สำคัญเป็นถ้ำ! ขอเตือนว่าบางคนที่ไม่ชอบที่ทึบๆ ชื้นๆ และหายใจลำบากนิดนึง ก็เลี่ยงซะ เนื่องจากระยะทางในถ้ำมันไม่ใช่ใกล้ๆ จะเรียกหน่วยพยาบาลฉุกเฉินแต่ละที ก็คงนาน…

โชคดีจริงๆ วันที่ไปชมพกเสื้อแจ็คเก็ตไปด้วย เพราะวันนั้นในถ้ำชื้นจริงๆ น้ำหยดตลอดเวลา อย่างกับฝนตกในถ้ำแน่ะ ต้องซุกกล้องถ่ายรูปไว้ในเสื้อ แล้วยังต้องพยายามเอาฮู้ดคลุมหัว คลุมหน้า เป็นการเดินชมถ้ำไปอย่างที่ทุลักทุเลพอดู

ออกจาก Okinawa World ก็ไปไหว้ศาลเจ้าเอาบุญกันหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าทริปนี้ไม่เข้าวัดเข้าวาเลยศาลเจ้านามิโนะอุเอะ เป็นศาลเจ้าเล็กๆ ที่คนโอกินาว่านับถือมาก ตอนที่ไปมีคู่แต่งงานชาวญี่ปุ่นมาทำพิธีเพิ่งเสร็จพอดี แอบถ่ายภาพเจ้าบ่าวเจ้าสาวมานิดนึง งานรื่นเริงที่มีแต่คนยิ้มแย้มแบบนี้ น่ารัก จนอดใจไว้ไม่ไหวจริงๆ อิ อิ

สำหรับสัปดาห์หน้า The 8th จะพาไปเที่ยวปราสาทอันดับหนึ่งของโอกินาว่า แล้วก็ช้อปปิ้ง ช้อปปิ้ง แอนด์ ช้อปปิ้ง ส่งท้ายก่อนกลับเมืองไทยจ้าาาาา แล้วอย่าลืมมาปิดทริปโอกินาว่าด้วยกันนะจ้ะ
สนับสนุนการเดินทางโดย : Maritime Travel Service
เรื่องแนะนำ :
– รีวิวเที่ยวโอกินาว่าครั้งแรก ตอนที่ 6 : ปิดทริป
– รีวิวเที่ยวโอกินาว่าครั้งแรก ตอนที่ 4 : เหยียบเกาะโอกินาว่า
– รีวิวเที่ยวโอกินาว่าครั้งแรก ตอนที่ 3 : กระเป๋าเป็นเหตุ?!?
– รีวิวเที่ยวโอกินาว่าครั้งแรก ตอนที่ 2 : วันเดินทาง
– รีวิวเที่ยวโอกินาว่าครั้งแรก ตอนที่ 1 : วีซ่า Multiple ญี่ปุ่น