“ผิดมั้ยที่ฉันแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ในสังคมญี่ปุ่น”
โอลิมปิกฤดูร้อนปี 2020 คนที่ได้รับเกียรติให้จุดไฟคบเพลิง คือ นาโอมิ โอซากะ เธอเกิดที่ที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น บิดาเป็นชาวเฮติ มารดาเป็นคนญี่ปุ่น เธอเติบโตและเรียนที่สหรัฐอเมริกา จึงพูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก แต่ก็พูดและเข้าใจภาษาญี่ปุ่นได้
ปัจจุบันนาโอมิเป็นนักเทนนิสอาชีพหญิงชาวญี่ปุ่น มือวางอันดับ 2 ของโลก ก่อนหน้านี้ เธอเคยขึ้นสู่ตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ในค.ศ. 2019 โดยเธอเป็นผู้เล่นชาวเอเชียคนแรกที่สามารถครองตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ของโลก และเป็นเจ้าของตำแหน่งชนะเลิศรายการแกรนด์สแลมในประเภทหญิงเดี่ยวจำนวน 4 สมัย แม้เธอจะเก่งและมีชื่อเสียงระดับโลกแต่ยังคงมีชาวญี่ปุ่นอนุรักษนิยมที่ไม่ยอมรับว่าเธอเป็นคนญี่ปุ่น เพราะเธอเป็นลูกครึ่ง และไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาในสังคมญี่ปุ่น ทำให้เธอมีความแตกต่าง
มีสำนวนญี่ปุ่น “出る杭は打たれる” แปลว่า “ตะปูที่ยื่นออกมาจะถูกตอกลงไป” หมายถึง หากใครทำตัวแตกต่างโดดเด่นจะถูกคนอื่นรังเกียจและกดทับให้จมลง
คติการดำเนินชีวิตที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาวญี่ปุ่น คือ เรื่องของ “กิริ-นินโจ” (義理-人情)
“กิริ” คือ พันธะหน้าที่ความรับผิดชอบที่สังคมมีต่อบุคคลว่าจะต้องให้ทำตามกฎของสังคมนั้น ๆ
“นินโจ” คือ ความรู้สึกส่วนตัวที่บุคคลนั้นมีต่อสิ่งต่าง ๆ
กิริและนินโจทำให้คนญี่ปุ่นรู้จักบทบาทหน้าที่ของตนที่มีต่อกลุ่มที่ตนสังกัด เช่น ครอบครัว, โรงเรียน, ที่ทำงาน, กลุ่มทำกิจกรรม โดยกฎระเบียบที่เคร่งครัดนี้มีทั้งที่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรและที่ต้องรู้กันเอาเอง เช่น เมื่อมีคนทำอะไรให้เรา เราต้องตอบแทน, การไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่, การทำตัวให้กลมกลืนไม่แตกต่าง
สังคมคาดหวังว่าคนเราต้องเห็นแก่ “กิริ” (สังคมส่วนรวม) มากกว่า “นินโจ” (เรื่องส่วนตัว)
สิ่งที่คนนอกมองคนญี่ปุ่น คือ เป็นกลุ่มคนที่มีความเสียสละ มองประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน มีระเบียบวินัย ภายนอกมีความสุภาพเรียบร้อย และมีมารยาทที่ดีงาม แต่ภายในมีผู้คนจำนวนมากต้องเจ็บปวดจากการที่ไม่สามารถทำตามเจตจำนงของตนเองได้ เพราะถูกกฎหมู่บังคับอยู่ บางคนต้องยอมเสียตัวตนไปเพราะไม่อยากมีปัญหา
สิ่งที่เป็นปัญหาอย่างมาก เป็นเรื่องที่ “กิริ” และ “นินโจ” มักจะขัดแย้งกัน ตัวอย่างเช่น เด็กที่เลือกเรียนคณะในมหาวิทยาลัยตามที่ตัวเองต้องการ (นินโจ) โดยไม่ฟังคำขอร้องของพ่อแม่ ทำให้พ่อแม่เสียใจมาก ทั้งที่หน้าที่ของลูกที่ดีต้องทำให้พ่อแม่มีความสุข เป็นการตอบแทนบุญคุณที่ท่านเลี้ยงดูมา (กิริ)
เมื่อมีคนในสังคมไม่ยอมทำตามพันธะหน้าที่ทางสังคมที่ถูกคาดหวังมักจะมีการลงโทษตามมาหลากหลายรูปแบบ เช่น การกลั่นแกล้ง, การถูกเพิกเฉยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว
มีการศึกษาวิจัยพบว่าเด็กที่เติบโตมาในวัฒนธรรมกลุ่มแบบญี่ปุ่นจะไม่ยอมรับความแตกต่าง และมีแนวโน้มที่จะกีดกันคนที่ไม่เข้าพวกออกไป หากคนไหนทำตัวเด่นแม้จะเป็นเรื่องที่ดี เช่น เด็กต่างชาติที่มาเรียนในญี่ปุ่นแล้วยกมือตอบคำถามครู ทำให้เพื่อนในห้องเรียนหมั่นไส้ จนมีการกลั่นแกล้ง (bully) ตามมา บางครั้งทำให้เด็กที่ถูกแกล้งป่วยเป็นโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า (Depression , โรควิตกกังวล (Anxiety) , ปฏิเสธการไปโรงเรียน (School refusal) จนเด็กไม่กล้าเข้าสังคม เก็บตัวในบ้าน เป็นฮิคิโคโมริ สูญเสียอนาคตไป เด็กญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายติดอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ละปีมีเด็กหลายร้อยคนที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายสำเร็จ
มีสมมุติฐานที่มาของแนวความคิดเรื่องการให้ความสำคัญกับกลุ่มก่อนสิ่งอื่น เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นต้องประสบกับภัยธรรมชาติอยู่บ่อย การที่จะเอาชีวิตรอดได้ ทุกคนต้องสามัคคีช่วยเหลือกัน และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ประเทศญี่ปุ่นที่แตกสลายกลายเป็นฝุ่นธุลี ได้รับการกอบกู้ขึ้นมาด้วยแรงกายแรงใจที่หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวญี่ปุ่น จนพลิกฟื้นมีความเจริญก้าวไกลในชั่วระยะเวลาไม่กี่ปี
แม้วัฒธรรมกลุ่ม (Collectivism) จะมีข้อดีหลายอย่างแต่ก็มีข้อเสียเช่นเดียวกัน เช่น ทำให้คนไม่กล้าคิดนอกกรอบ ยอมทำอะไรแบบเดิม ทั้งที่สิ่งนั้นอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด หรือทำให้คนอื่นต้องเจ็บปวดจากการ bully ที่ทำไปอาจไม่เต็มใจ แต่ทำเพราะไม่อยากแตกต่างจากเสียงส่วนใหญ่
>> ความแตกต่างและสิทธิความเสมอภาค
_ คนเราที่เกิดมาไม่มีใครเลยที่เหมือนกัน แต่ละคนมีความแตกต่างซึ่งขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพแต่กำเนิด, ต้นทุนทางสังคม แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนสมควรได้รับ คือ สิทธิความเสมอภาคในการที่เกิดมาเป็นมนุษย์
_ ไม่มีใครสมควรที่จะได้รับการปฏิบัติแย่ๆ เพียงแค่เพราะเค้ามีแตกต่างจากเรา (Discrimination) จากอดีตจนถึงในปัจจุบันมีกฎหมายและบรรทัดฐานทางสังคมวัฒนธรรมที่ทำให้คนบางกลุ่มมีสถานะที่ต่ำกว่าคนอื่นโดยใช้หลักเกณฑ์จำแนกแบ่งเขาแบ่งเรา (Exclusion) เช่น สีผิว, เชื้อชาติ, ชนชั้น, ความสามารถด้านต่างๆ, ฐานะทางการเงิน, รูปแบบการใช้ชีวิต ทำให้เกิดความขัดแย้ง หลายต่อหลายครั้งที่ความแตกต่างทำให้เกิดความรุนแรง การกดขี่ฝ่ายที่ดูต้อยต่ำกว่า
_ สิทธิในความเสมอภาครัฐต้องดำรงฐานะของความเป็นคนกลางในการถือดุลย์ระหว่างความแตกต่างกันตามธรรมชาติของคนกับความเท่าเทียมกันตามกฎหมายและการปฏิบัติของรัฐ เพื่อไม่ให้ความแตกต่างนั้นเป็นเหตุให้เกิดเงื่อนไขของความไม่ยุติธรรมขึ้นในสังคม
@ สิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรจะได้รับ
. สิทธิในชีวิต: เป็นเรื่องพื้นฐาน คือ มนุษย์ต้องสามารถมีชีวิตอยู่รอดอย่างปลอดภัยโดยได้รับการคุ้มครองจากรัฐ มีสิ่งที่เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของชีวิต ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่มห่ม ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัย สังคมที่ดีควรปฏิบัติต่อบุคคลด้อยโอกาส เช่น พิการ ให้ความสำคัญ ให้โอกาส และให้ความช่วยเหลือตามสมควร เพื่อให้ทุกชีวิตมีความเท่าเทียมกันมากที่สุด
. สิทธิในการดำเนินชีวิตและพัฒนาตนเองตามแนวทางที่ถูกต้อง: ให้โอกาสกับคนที่เคยทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องพัฒนาตนเองและแก้ไข เพราะทุกคนย่อมมีโอกาสที่จะทำผิดพลาดได้ สำคัญที่เมื่อทำผิดไปแล้วต้องเกิดความสำนึกและปรับปรุงตัว เพื่อให้มีชีวิตที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้น
. สิทธิในการยอมรับนับถือ: การที่คนเราปฏิบัติต่อกันด้วยการยอมรับในความแตกต่าง ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีและคุณค่าของชีวิตด้วยความเท่าเทียมกัน
>> อยู่อย่างไรกับความแตกต่างและสร้างให้เกิดประโยชน์
_ สิ่งแรกเลยที่จะทำให้เราอยู่กับความแตกต่างได้ คือ การเห็นอกเห็นใจ (empathy) และเคารพในความหลากหลาย
_ เมื่อมีความคิดเห็นต่างหรือมีความขัดแย้งเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่จะช่วยลดความรุนแรงในการปะทะกันได้ คือ การรับฟังด้วยการพยายามทำความเข้าใจ (active listening) เมื่อเราพอที่จะเข้าใจเหตุผลที่มาที่ไปที่เค้าคิดแบบนั้นจะทำให้เราคุยกันรู้เรื่องมากขึ้น
“ความแตกต่างไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือการไม่ยอมรับความแตกต่าง”
_ อย่าไปบังคับให้คนอื่นคิดเหมือนเรา เราไม่สามารถไปเปลี่ยนความคิดของใคร อย่างมากเป็นแค่การพูดโน้มน้าวให้เหตุผลกับอีกฝ่าย สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายมีสิทธิที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อเราก็ได้ สิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ คือ เปลี่ยนตัวเองให้ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างได้
_ การที่เราเรายอมรับความแตกต่างได้มีข้อดีหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น
. ในการทำงานที่มีคนร่วมงายมีความคิดหลากหลายมักจะนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) เพราะแต่ละคนมีมุมมองและประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดความสามารถในการผลิต (Productivity) เราจะได้เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน
. คนที่เห็นต่างกับเรา จะมาทำให้ระบบวิธีคิดและความคิดของเราดีขึ้น เพราะเมื่อมีคนเห็นต่าง เราจะต้องกลับมาคิดวิเคราะห์ (Critical thinking) ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น
ความคิดชุดใหม่ของคนในสังคมเป็นมองว่าการที่คนเรามีความแตกต่างกันเป็นเรื่องปกติ เราไม่สามารถไปบังคับให้ใครคิดเห็นเหมือนกับเราได้ และเราไม่สมควรที่จะไปเลือกปฏิบัติกับคนที่มีความแตกต่างจากเรา เพราะทุกคนมีสิทธิของความเป็นมนุษย์เหมือนกัน
การให้นาโอมิ โอซากะได้รับตำแหน่งสำคัญในงานระดับโลก เป็นการส่งสัญญาณกลาย ๆ ของชาวญี่ปุ่นว่าพวกเขาพร้อมที่โอบรับความคิดของโลกยุคใหม่ และมีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงเพื่อให้อยู้ร่วมกับประชากรโลกได้ (Global citizen)
ทักทายพูดคุยกับหมอแมวน้ำเล่าเรื่องได้ที่ www.facebook.com/sealpsychiatrist
เรื่องแนะนำ :
– “คุณบนดวงจันทร์ตรงนั้นเหงามั้ย”
– “ซูโม่: ชายร่างใหญ่กับวินัยของเขา”
– “นักเรียนญี่ปุ่นเรียนออนไลน์: เครียดจนต้องสลายหายไป”
– “เรื่องสยองขวัญในฤดูร้อน: ฉันกลัวผี ทำไงดี?”
– “เทศกาลโอบ้งระลึกถึงบรรพบุรุษ: กตัญญูแค่ไหนกำลังดีย์”
คลินิก JOY OF MINDS
ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาปัญหาด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ
https://www.facebook.com/Joyofminds/
Tel: 090-959-9304
#ผิดมั้ยที่ฉันแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ในสังคมญี่ปุ่น