“กล้าที่จะถูกเกลียด”…หนังสือปรัชญาและจิตวิทยาซึ่งมีแนวคิดมาจากหลักการใช้ชีวิต เน้นถึงการใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความหมายโดยมีดวงดาวนำทางซึ่งก็คือ “การช่วยเหลือคนอื่น” เพราะสิ่งนี้จะทำให้เรามีความสุขกับชีวิตและรู้สึกได้ว่าชีวิตมีคุณค่ามากขึ้น ยังมีอีกหลายประเด็นน่าสนใจที่ดิฉันสรุปไว้ดังนี้ค่ะ
ดิฉันเชื่อว่าหลาย ๆ คนบนโลกใบนี้มีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกสับสน ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ถูกหรือไม่ วิตกกังวลว่าคนอื่นจะมองเรายังไง บางคนคิดว่าทำไมถึงไม่มีความสุขสักที แต่ความสุขที่เรากำลังค้นหาแท้จริงแล้วคืออะไร หนักๆเข้าก็เกิดคำถามขึ้นในใจว่า “เราเกิดมาทำไม” และ “มีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรกัน”
หนังสือเรื่อง “กล้าที่จะถูกเกลียด” เป็นหนังสือญี่ปุ่นอีกเล่มที่ดิฉันเพิ่งอ่านของผู้แต่ง คิชิมิ อิชิโร และ โคะกะ ฟุมิทะเกะ บอกเราว่า “ความสุขนั้นเรียบง่ายและเราสามารถเลือกที่จะมีความสุขได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้”
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือปรัชญาและจิตวิทยาซึ่งมีแนวคิดมาจากหลักการใช้ชีวิต มุมมองวิธีคิดแบบแอดเลอร์ อัลเฟรด ซึ่งมีพื้นฐานมาจากปรัชญากรีกแนวโสเครติสและเพลโต ภายในหนังสือเป็นการสนทนาระหว่างชายหนุ่มกับนักปรัชญาเกี่ยวกับชีวิต พฤติกรรมมนุษย์และสิ่งต่าง ๆ รอบตัว สำหรับดิฉันคิดว่ามีหลักการหลาย ๆ อย่างที่อิงจากพุทธศาสนา ในหนังสือเน้นถึงการใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความหมายโดยมีดวงดาวนำทางซึ่งก็คือ “การช่วยเหลือคนอื่น” เพราะสิ่งนี้จะทำให้เรามีความสุขกับชีวิตและรู้สึกได้ว่าชีวิตมีคุณค่ามากขึ้น ยังมีอีกหลายประเด็นน่าสนใจที่ดิฉันสรุปไว้ดังนี้ค่ะ
• สุขทุกข์ใจเราเลือกเอง เราทุกคนล้วนอยู่ในโลกที่ตัวเองปั้นแต่งขึ้นด้วยการตีความของเราเอง ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า “โลกเป็นอย่างไร” แต่อยู่ที่ว่า “ใจเราเป็นอย่างไรต่างหาก” หากเรามองโลกผ่านแว่นดำก็ไม่แปลกที่เราจะเห็นทุกอย่างดำมืดหมด สิ่งที่ควรต้องทำคือแค่ถอดแว่นออกและมองโลกตามสภาพความเป็นจริง ทุกคนสามารถเลือกที่จะมีความสุขได้ อ่านแล้วนึกถึงเนื้อเพลง “ร่มสีเทา” ของวัชราวลี โดยเฉพาะท่อนที่ว่า “อย่าไปยึด อย่าไปถือ อย่าไปเอามากอดไว้ ก็จะไม่เสียใจ ตลอดชีวิตต้องผ่านการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าใครจะทุกข์จะสุขแค่ไหน ก็อยู่ที่จะมอง”
• ไม่มีเหตุการณ์ใดในอดีตเป็นสาเหตุของความสำเร็จหรือความล้มเหลวในปัจจุบัน บางคนชอบคร่ำครวญว่าชีวิตเราเป็นทุกข์เพราะพ่อแม่ทอดทิ้ง เราไม่สามารถมีความสุขได้เพราะโดนคนรอบตัวกลั่นแกล้ง หรือเราไม่สามารถมีความรักที่สมหวังเพราะเราโดนแฟนเก่าหักอก เราไม่รวยเพราะเรียนมาไม่สูง แอดเลอร์บอกว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า “มีสิ่งใดเกิดขึ้น” แต่อยู่ที่ว่าเรา “ให้ความหมายกับสิ่งนั้นอย่างไร” เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ เพราะฉะนั้นหากเรายังเชื่อว่าอดีตคือตัวกำหนดชีวิตเราในปัจจุบัน ชีวิตเราก็จะถูกพันธนาการไว้จนไม่อาจมีความสุขในวันข้างหน้า แต่ความจริงก็คือเราไม่ได้เป็นเหยื่อของการกระทำใด ๆ ในอดีตเพราะเราทุกคนสามารถกำหนดชะตากรรมตัวเองในปัจจุบันได้และเปลี่ยนแปลงตนเองได้เสมอ
• ไม่สำคัญว่าคุณได้อะไรมาบ้าง สิ่งสำคัญคือคุณจะใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์อย่างไร บางคน “รักตัวเองไม่ลง” เพราะมองเห็นแต่ข้อเสียของตัวเอง เช่น เรียนไม่เก่ง หน้าตาไม่ดี รูปร่างไม่ดี มนุษย์สัมพันธ์ไม่ดี มองโลกในแง่ร้าย ขี้หวาดระแวง ฯลฯ นักปรัชญาบอกว่า ความรู้สึกต่ำต้อยเป็นสิ่งที่เราคิดไปเองและไม่ใช่ข้อเท็จจริง เป็นเพียง “ความรู้สึกส่วนตัวที่เราปั้นแต่งขึ้นเอง” โลกเรานั้นไม่เท่าเทียมดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ทุกคนย่อมมีความต่างกันอยู่แล้ว สิ่งสำคัญไม่ใช่การเปรียบเทียบทำให้ต้องการอยากกลายเป็นคนอื่นหรืออยู่เหนือคนอื่น แต่คือการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นภายใต้พื้นฐานที่เรามีอยู่เพื่อให้ก้าวไปไกลกว่าจุดที่เรากำลังยืนในปัจจุบัน สิ่งที่เลวร้ายก็คือ หลายคนขาดความกล้าที่จะก้าวเดิน มัวแต่คิดว่า “อย่างเราคงไม่มีปัญหาหรอก” “ถึงพยายามไปก็เท่านั้น” แล้วยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงมือทำอะไรด้วยซ้ำ
• คนเราเลือกที่จะทุกข์เพราะต้องการบรรลุเป้าหมายบางอย่าง หนังสือเล่มนี้มีแนวคิดที่น่าสนใจบอกว่าคนเราไม่ได้ทุกข์เพราะสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายหรือเพราะเจอสิ่งที่ไม่ดี แต่เราเลือกที่จะทุกข์เพราะเราตัดสินใจว่า ความทุกข์ส่งผลดีหรือให้ประโยชน์บางอย่างต่อเรา อย่างเช่น บางคนชอบพร่ำบ่นความทุกข์ในอดีตราวกับเป็นเรื่องราวที่น่าภาคภูมิใจ คนประเภทนี้รู้สึกต่ำต้อย จนต้องใช้ความทุกข์เป็นเครื่องมือ ให้ตัวเองเป็น “คนพิเศษ” เพราะมันคือการเอาความทุกข์ของตัวเองมาใช้เป็นอาวุธเพื่อควบคุมคนอื่น แต่อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ยังเอาความทุกข์มาเป็นอาวุธเพื่อทำให้ตัวเองเป็นคนพิเศษ คนคนนั้นก็จำเป็นต้องพึ่งพาความทุกข์ไปตลอดกาล ตัวอย่างเช่น เด็กที่ชอบเก็บตัวไม่ออกจากห้องเป็นแรมปีที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ฮิคิโคโมริ ( ひきこもり) นั้นไม่ได้เป็นเพราะเขามีความทุกข์แต่เป็นเพราะเขาซ่อนตัวเพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่าง คือ ต้องการเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ทำให้พ่อแม่เป็นห่วง เพราะทันทีที่เขาออกจากห้องเขาจะกลายเป็นคนธรรมดาทันที
• ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้ คนเราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เสมอไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใด แต่บางคนกลับเลือกที่จะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะการยึดติดกับความเคยชินแบบเก่า ๆ ทำให้อุ่นใจกว่า อย่างน้อยเราก็คาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ถึงจะไม่พอใจชีวิตที่เป็นอยู่นักแต่ก็เลือกที่จะอยู่กับ “ตัวตนแบบที่เป็นอยู่” เพราะมันช่วยให้ใช้ชีวิตได้ง่ายและอุ่นใจกว่าเช่น บางคนอยากทำธุรกิจอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ลงมือทำโดยหาข้ออ้างต่างๆนาๆ เช่น ไม่มีเวลา เงินทุนไม่พอ อายุมากแล้ว ฯลฯ คือหาเหตุผลที่ทำให้ทำไม่ได้มาอ้าง หรือบางคนมีความสัมพันธ์ไม่ดีกับพ่อแม่โดยอ้างว่า เพราะโดนพ่อแม่ตีดุด่าตอนเด็ก แต่จริงๆแล้วนั่นเป็นเพียงข้ออ้างที่ไม่อยากจะปรับความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นต่างหาก
• สิ่งที่ควบคุมได้มีเพียงเรื่องของตัวเอง นักปรัชญาบอกว่า ความทุกข์ใจทั้งหมดเกิดจาก “ความสัมพันธ์กับผู้คน” ประเด็นนี้ตรงกับหนังสือเล่มโปรดของดิฉันชื่อว่า “ความสุขไม่ได้หาย แค่หาให้เจอ” กล่าวไว้ว่า ในโลกนี้มีเพียง 3 เรื่อง คือ เรื่องของเรา เรื่องของเขา และเรื่องของสวรรค์ แต่คนเรามักลืมไปทำให้คอยไปคิดก้าวก่ายเรื่องของคนอื่นหรือไม่ให้คนอื่นเข้ามาก้าวก่ายเรื่องของเรา อยากให้คนนั้นทำแบบที่เราอยากให้ทำ หรือไม่พอใจที่คนโน้นมาทำแบบนี้กับเรา ทำให้โกรธเรื่องที่ควบคุมไม่ได้เช่น ทำไมฝนถึงตก ทำไมรถจึงติด ทำไมเจ้านายถึงจู้จี้ ฯลฯ หรือบางคนกังวลว่าถ้าเราทำแบบนั้นแล้วคนอื่นจะคิดอย่างไร วิตกว่าคนอื่นจะมองเราไม่ดี โดยลืมไปว่าในโลกนี้มีเพียงเรื่องเดียวที่เราควบคุมได้คือ “เรื่องของเรา” ตราบใดที่เรายังไม่เลิกสนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ ยังกลัวที่จะถูกคนอื่นเกลียด ทำตามความคาดหวังของคนอื่น หรือยังอยากได้การยอมรับจากคนอื่นมากเท่าไร ก็จะถูกพันธนาการไว้มากเท่านั้น สิ่งที่น่าสนใจที่พิสูจน์ได้ก็คือ ถึงแม้เราสามารถควบคุมได้แค่ตัวเราเอง แต่หากเราเปลี่ยนแปลงตนเอง สิ่งรอบตัวเราก็จะเปลี่ยนตามเช่นกัน
• การช่วยเหลือคนอื่นคือคุณค่าของชีวิต เราเป็นส่วนหนึ่งของโลก ไม่ใช่ศูนย์กลางของโลก ดังนั้นแทนที่จะคิดว่า “คนๆนี้จะให้อะไรเราได้บ้าง” มาเป็น “เราจะให้อะไรคนอื่นได้บ้าง” นิยามความสุขในหนังสือเล่มนี้ที่ดิฉันชอบมากก็คือ “การได้ช่วยเหลือคนอื่นอย่างไร้เงื่อนไข” ซึ่งไม่ใช่การช่วยเพื่อให้ได้รับการยอมรับ เพราะถ้าเราช่วยเหลือผู้อื่นจากใจจริง การได้รับการยอมรับหรือไม่ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป การช่วยเหลือจะสามารถสร้างความรู้สึกได้ว่า “ฉันมีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อใครสักคน” และนั่นก็คือความสุขที่แท้จริงค่ะ การดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าก็คือการเดินตามดวงดาวนำทางแห่งการช่วยเหลือผู้คน
สุดท้ายหนังสือสรุปว่าภารกิจชีวิตมนุษย์มีเป้าหมายสองอย่างคือ หนึ่งคือการพึ่งพาตัวเองได้โดยรู้สึกได้ว่าตัวเองมีความสามารถที่จะยืนบนลำแข้งตัวเอง และสองคือการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในสังคมโดยสามารถรู้สึกถึงความเป็นมิตร
ที่สำคัญที่อิงหลักพุทธศาสนามาเลยก็คือ ชีวิตที่สมบูรณ์ในตัวเอง คือชีวิตที่เลิกมองอดีตและอนาคต แต่เน้น “การทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในขณะนี้” และ “ทำวินาทีนี้ให้ดีที่สุด” ค่ะ อย่าลืมนะคะว่าทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ดังนั้นเราสามารถเลือกที่จะมีความสุขที่นี่และเดี๋ยวนี้เลย
พิชชารัศมิ์ได้เพิ่มช่องทางการสื่อสารกับผู้อ่านทางเฟซบุ้กเพจ “Life Inspired by พิชชารัศมิ์” ฝากติดตามด้วยนะคะ
ทักทายพูดคุยกับพิชชารัศมิ์ ได้ที่ >>> Life Inspired by พิชชารัศมิ์
เรื่องแนะนำ :
– อาหารปลอมที่ดึงดูดให้สั่งอาหารจริง
– The birth of Sake “ความกลมเกลียวจึงจะบ่มสาเกที่ดีได้”
– ทำงานแบบมืออาชีพของญี่ปุ่น กับคำว่า “ไม่เป็นไร” ของคนไทย
– คนต่างชาติเมาท์อะไรเมื่อไปญี่ปุ่น
– ถึงจะแก่แต่ยังมีไฟในการทำงานอยู่
– บอกลาตัวตนที่ไม่ดี
#กล้าที่จะถูกเกลียด