คั่นรายการ โดย Lordofwar Nick
บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (9) ว่าด้วย ความภักดี (ชูงิ 忠義)
โอย โอย โอย มาถึงจุดนี้แล้วเหรอ ไปกันต่อเลย
คุณธรรมอื่นๆ นั้น ศีลธรรมของศักดินาก็เหมือนกันกับระบบจริยธรรมอื่นๆ เหมือนกับชนชั้นอื่นๆ แต่คุณธรรมข้อนี้ ความจงรักภักดีและซื่อสัตย์ต่อผู้ที่สูงกว่า เป็นลักษณะที่โดดเด่นของมัน ข้าพเจ้าตระหนักดีว่าความซื่อสัตย์ส่วนบุคคลนั้นเป็นการยึดถือทางศีลธรรมที่มีอยู่ในหมู่มนุษย์ทุกประเภทและทุกเงื่อนไข แก๊งเด็กล้วงกระเป๋าเป็นหนี้ความสวามิภักดิ์ต่อฟากิน (หัวหน้าแก๊งเด็กล้วงกระเป๋าในเรื่อง Oliver Twist) แต่มีเพียงแค่กฎเกณฑ์ของเกียรติแห่งอัศวินเท่านั้นที่ความภักดี (Loyalty) ถือว่ามีความสำคัญสูงสุด
เอาล่ะเปิดมาก็ เอาหล่อก่อนเลย 555
เรื่องนี้เป็นหนึ่งในตัวละครที่บริสุทธิ์ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา มิจิซาเนะ (สุกาวาระ โนะ มิจิซาเนะ นักวิชาการและกวีแห่งยุคเฮอัน) ผู้ซึ่งตกเป็นเหยื่อของความอิจฉาริษยาและการใส่ร้าย และถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวง โดยยังไม่พอใจกับสิ่งนี้ ศัตรูที่ไม่ยอมลดราวาศอกของเขาตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปล้างบางของครอบครัวของเขา การค้นหาลูกชายของเขาที่ยังไม่โตอย่างถ้วนทั่ว เผยให้เห็นถึงความจริงที่ว่าเขาถูกซ่อนไว้ในโรงเรียนในหมู่บ้านที่ดูแลโดยคนชื่อเกนโซ อดีตข้ารับใช้ของมิจิซาเนะ เมื่อมีการส่งคำสั่งให้ครูใหญ่ส่วหัวของเยาวชนผู้กระทำผิดในวันใดวันหนึ่ง ความคิดแรกของเขาคือการหาสิ่งทดแทนที่เหมาะสม
เขาพิจารณารายชื่อนักเรียน พินิจพิเคราะห์เด็กผู้ชายทุกคนอย่างละเอียดถี่ถ้วน ขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปในห้องเรียน แต่ไม่มีเด็กที่เกิดจากดินคนใดที่คล้ายคลึงกับเด็กในอารักขาของเขาแม้เพียงน้อยนิด อย่างไรก็ตาม ความสิ้นหวังของเขาอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะดูเถิด มีการประกาศนักวิชาการคนใหม่ ซึ่งเป็นเด็กชายหน้าตาดีวัยเดียวกับลูกชายของนายของเขา โดยมีแม่ผู้มีกิริยาอย่างขุนนางติดตามมา ตัวแม่และลูกชายเองก็ไม่ได้ตระหนักน้อยไปกว่ากัน ถึงความคล้ายคลึงระหว่างนายน้อยกับบ่าวน้อย ในที่รโหฐานของบ้าน ทั้งสองนอนอยู่บนแท่นบูชา หนึ่งคือชีวิตของเขา อีกหนึ่งคือดวงใจของเธอ แต่ไม่มีสัญญาณสู่โลกภายนอก โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขา เป็นครูผู้ซึ่งเป็นผู้เสนอแนะ
นี่คือแพะรับบาป! คำบรรยายที่เหลืออาจเล่าสั้นๆ ได้ เมื่อถึงวันนัดหมาย เจ้าพนักงานที่ได้รับมอบหมายให้ระบุตัวและรับหัวของเด็กหนุ่มก็มาถึง เขาจะถูกหัวปลอมหลอกหรือไม่? มือของเก็นโซที่น่าสงสารอยู่บนด้ามดาบ พร้อมที่จะโจมตีชายคนนั้นหรือที่ตัวเขาเอง หากการตรวจสอบทำลายแผนการของเขา เจ้าพนักงานหยิบสิ่งของที่น่าสยดสยองต่อหน้าเขา ตรวจดูแต่ละส่วนอย่างสงบ และออกเสียงอย่างจงใจ เป็นการเป็นงาน ประกาศว่าเป็นของแท้
เย็นวันนั้นในบ้านอันโดดเดี่ยว แม่ที่เราเห็นในโรงเรียนกำลังรอคอย นางรู้ชะตากรรมของลูกของนางไหม? ไม่ใช่การกลับมาของเขาที่นางเฝ้าดูด้วยความกระตือรือร้นในการเปิดประตู พ่อสามีของนางเป็นข้าในอุปถัมป์ของมิจิซาเนะมาเป็นเวลานาน แต่เนื่องจากสถานการณ์การถูกเนรเทศของเขา ทำให้สามีของนางต้องรับใช้ศัตรูของผู้มีพระคุณของครอบครัวของตน ตัวเขาเองไม่อาจคิดไม่ซื่อกับเจ้านายที่โหดร้ายของเขาเองได้ แต่ลูกชายของเขาสามารถทำหน้าที่เพื่อเจ้านายของปู่ย่าตายายได้ ในฐานะที่คุ้นเคยกับครอบครัวของผู้ถูกเนรเทศ เขาคือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ระบุศีรษะของเด็กชาย บัดนี้ก็ถึงเวลาแล้ว ใช่แล้ว งานหนักของชีวิต เสร็จสิ้นแล้ว เขากลับบ้านและเมื่อก้าวข้ามธรณีประตูแล้ว เขากล่าวกับภรรยาว่า “ภรรยาของข้า จงชื่นชมยินดีเถิด ลูกชายที่รักของเราได้พิสูจน์ตนรับใช้เจ้านายของเขาแล้ว!”
“ช่างเป็นเรื่องราวที่โหดร้ายเสียนี่กระไร!” ข้าพเจ้าได้ยินผู้อ่านของข้าพเจ้าอุทาน “พ่อแม่จงใจสังเวยลูกผู้บริสุทธิ์ของตนเองเพื่อช่วยชีวิตลูกของคนอื่น” แต่เด็กคนนี้เป็นเหยื่อที่มีสติและเต็มใจ มันเป็นเรื่องราวของความตายแทน ซึ่งมีความสำคัญพอๆ กับ และไม่น่ารังเกียจไปกว่า เรื่องราวของการตั้งใจสังเวยอิสอัคของอับราฮัม ในทั้งสองกรณี มันคือการเชื่อฟังคำสั่งแห่งหน้าที่ ยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อคำสั่งของสุรเสียงที่สูงกว่า ไม่ว่าจะเปล่งโดยทูตสวรรค์ที่มองเห็นหรือมองไม่เห็น หรือได้ยินด้วยหูภายนอกหรือหูภายใน แต่ข้าพเจ้าของดเว้นจากการเทศนา
ลัทธิปัจเจกนิยมของตะวันตก ซึ่งสำนึกถึงผลประโยชน์ที่แยกจากกันสำหรับพ่อและลูก สามีและภรรยา จำเป็นต้องนำมาซึ่งการบรรเทาอย่างมากซึ่งภาระหน้าที่ที่เป็นหนี้ของกันและกัน แต่บูชิโดถือว่า ผลประโยชน์ของครอบครัวและสมาชิกของครอบครัวเป็นสิ่งทีครบถ้วน เป็นหนึ่งเดียวและไม่อาจแยกจากกันได้ ผลประโยชน์นี้ผูดมัดกับความรักใคร่ โดยธรรมชาติ ตามสัญชาตญาณ ไม่อาจต้านทานได้ ดังนั้นถ้าเราตายเพื่อคนที่เรารักด้วยความรักตามธรรมชาติ (ซึ่งสัตว์เองก็มี) แล้วจะเป็นไร? เพราะว่าถ้าพวกท่านรักคนที่รักท่าน พวกท่านจะได้บำเหน็จอะไร? พวกคนเก็บภาษีก็ทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือ? (มัทธิว 5:46)
ต้องยอมรับเลยว่าสังคมญี่ปุ่นนั้นเป็นสังคมรวมหมู่แบบสุดโต่ง แล้วก็เป็นสังคมรวมหมู่ที่เรียกร้องการเสียสละเพื่อคนที่อยู่สูงกว่า แบบสุดลิ่มทิ่มประตูซะด้วย ถึงงานนี้จะแบบ พันธสัญญาเดิมก็มา (ว่าด้วยเรื่องอับราฮัมจะเอาอิสอัคบุตรชายเป็นเครื่องบูชา) แต่ก็นั่นแหละครับ สังคมฝรั่งยุคใหม่มันเป็นสังคมที่มีแนวคิดปัจเจกนิยม เรื่องเล่าของลูกหลานข้าของมิจิซาเนะนี่ ยังไงก็คงไม่อินพอๆ กับที่คนสมัยไม่น่าจะอินกับพระเวสสันดรนั่นแหละครับ พื้นฐานความคิดมันต่างกันเกินไป
เนื่องจากบูชิโด เช่นเดียวกับอริสโตเติลและนักสังคมวิทยาสมัยใหม่บางคน มองว่ารัฐเป็นสิ่งที่เกิดก่อนปัจเจกบุคคล เพราะสิ่งหลังเกิดมาในสิ่งแรกในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแรกนั้น เขาจะต้องมีชีวิตอยู่และตายเพื่อมันหรือเพื่อผู้ดำรงตำแหน่งตามอำนาจที่ถูกต้องตามกฎหมายของมัน ผู้อ่านหนังสือ Crito (เขียนโดยเพลโต) คงจะจดจำการโต้เถียงที่โสกราตีสแสดงถึงกฎหมายของเมืองเพื่อแก้ต่างในเรื่องการหลบหนีของเขา ในบรรดาสิ่งอื่น ๆ เขาให้พวกมัน (กฎหมายต่างๆ หรือรัฐ) พูดว่า“เนื่องจากคุณเกิด ถูกเลี้ยงดู และได้รับการศึกษาภายใต้เรา ท่านกล้าสักครั้งไหมที่จะบอกว่าท่านไม่ใช่ลูกหลานและผู้รับใช้ของเรา ทั้งท่านและบรรพบุรุษของท่านก่อนหน้าท่าน!” เหล่านี้เป็นคำพูดที่ไม่ได้ทำให้เราประทับใจอะไรเป็นพิเศษ เพราะสิ่งเดียวกันนี้อยู่บนริมฝีปากของบูชิโดมานานแล้ว ด้วยการปรับเปลี่ยนนี้ ที่ว่ากฎหมายต่างๆ และรัฐถูกแสดงด้วยเราโดยตัวตนส่วนบุคคล ความภักดี (Loyalty) เป็นผลลัพธ์ทางจริยธรรมของทฤษฎีการเมืองนี้
โอเคครับ ผมขอคำนี้เลยครับ
“จงอย่าถามว่าประเทศชาติจะทำอะไรให้ท่านได้บ้าง จงถามว่าท่านจะทำอะไรให้ประเทศชาติได้บ้าง” จอห์น เอฟ เคนเนดี้. (ที่มา Pinterest)
JFK ก็อ่าน “บูชิโด” ก็เขาด้วยเหมือนกันนะ
ในทัศนะของผม ก่อนที่จะมีรัฐ มนุษย์รวมตัวเป็นกลุ่ม “เพื่อความอยู่รอด” (ของเผ่าพันธุ์มนุษย์) เมื่อรวมกลุ่มกัน ความจำเป็นที่จะต้องมี “ผู้นำ” ก็ย่อมเกิดขึ้นมาเองไปตามเรื่องตามราว ฉะนั้นรัฐ (หรือประเทศชาติ) ก็ย่อมต้องขับเคลื่อนไปด้วยทั้ง “ผู้นำ” และ “ผู้ตาม” (ในที่นี้หมายถึงประชาชนพลเมือง) เฉกเช่นกองทัพที่ต้องมีทั้งแม่ทัพและไพร่พล (ต้องมีทั้งสองอย่าง ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งมิได้) ดังนั้นใครก็ตามที่พยายามปลุกปั่นด้วยวาทกรรมจำพวก “ประเทศเป็นของประชาชน” (ซึ่งเป็นคำที่ฟังดูดี ถูกจริต แต่แฝงนัยยะของการตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้นำหรือผู้ปกครองประเทศ หรือพยายามชี้ช่องให้มองผู้นำหรือผู้ปกครองประเทศเป็นศัตรูที่ต้องกำจัด) ขอให้รู้ว่านั่นแหละ เขาจะหลอกให้เราเผาบ้านตัวเอง
เรื่องแบบนี้พูดให้ตายก็ไม่จบ ผมเองอ่านและฟังและคุยเรื่องพวกนี้ (แนวคิดสังคม-การเมือง) มาตั้งแต่เรียนเมืองไทยยันเรียนที่ญี่ปุ่น เคยคิดจะทิ้งเรื่องพวกนี้ไปแล้วใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อยตามประสามนุษย์เงินเดือน ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะมีอะไรให้ต้องมาขบคิด (แล้วก็ เขียน) เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีก
แต่อย่างน้อยการนำเอาสาระมานำเสนอแก่ท่านผู้อ่านอาจจะมีประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้างก็ได้
บูชิโดไม่ได้เรียกร้องให้เราทำให้มโนธรรมของเราเป็นทาสของเจ้านายหรือกษัตริย์พระองค์ใด โธมัส โมว์เบรย์ (ท่านดยุคแห่งนอร์ฟอล์กรุ่นที่ 1 ก็มาครับ) เป็นโฆษกที่แท้จริงสำหรับเราเมื่อเขากล่าวว่า
“ข้าฯ โยนตัวเอง แทบเท้าท่าน องค์อธิปัตย์ผู้น่าหวั่นเกรง
ชีวิตข้าฯ ท่านอาจสั่ง แต่ข้าฯ มิได้อาย
หน้าที่ข้าฯ ติดหนี้ เพียงชื่ออันดีไม่มีด่างพร้อยของข้าฯ
แม้ข้าจะตาย สิ่งนั้นยังอยู่บนหลุมศพข้าฯ
ท่านมิอาจยัง ให้มัวหมอง ซึ่งการใช้ของการเสื่อมเกียรติ”
(ให้ตายสิ ใครเรียนวรรณคดีอังกฤษเห็นผมแปลงี้ ห้ามด่าผมแรงนะครับ (ฮา)
คนที่ยอมสละมโนธรรมของตนเองต่อเจตจำนงตามอารมณ์ หรือวิตถาร หรือเพ้อฝัน ขององค์อธิปัตย์ ถือว่าอยู่ในระดับต่ำในการประเมินค่าของศีล บุคคลเช่นนี้ย่อมถูกดูหมิ่นว่าเป็น เนอิชิน (佞臣 ขุนนางสอพลอ) ผู้ประจบประแจง ผู้เข้าราชสำนักด้วยการกระดิกหางอย่างไร้ยางอาย หรือว่าเป็น โจชิน (寵臣 ขุนนางคนโปรด) เป็นคนโปรดที่ขโมยความรักใคร่ของเจ้านายด้วยการยอมรับใช้เหมือนทาส ข้ารับใช้สองชนิดนี้ ตรงกับที่เอียโก้ (Iago ตัวละครในเรื่อง Othello ของเชกสเปียร์?) พรรณณาไว้ทุกประการ หนึ่ง คนต่ำต้อยที่เชื่อฟังและคุกเข่า หลงใหลในพันธนาการประจบประแจงของตัวเอง ทำให้เวลาของตนหมดไปเหมือนกับลาของเจ้านายของเขา อีกหนึ่งคือตัดแต่งให้อยู่ในรูปลักษณ์ใบหน้าของหน้าที่ โดยยังคงรักษาใจของเขาไว้กับตัวเอง เมื่อข้ารับใช้ไม่ลงรอยกับเจ้านายของตน ทางที่ภักดีสำหรับเขาที่จะดำเนินตามคือใช้ทุกวิถีทางที่มีอยู่เพื่อทำให้กระจ่างซึ่งความผิดของเขา เหมือนกับที่เคนต์ทำกับคิงเลียร์ (King Lear เอ้า เชกสเปียร์ก็มาอีกแล้ว) หากล้มเหลวในการนี้ ก็ปล่อยให้เจ้านายจัดการกับเขาตามแต่ใจ ในกรณีของชนิดนี้ เป็นเรื่องปกติสำหรับซามูไรที่จะดึงดูดความสนใจของสติปัญญาและมโนธรรมของเจ้านายเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการแสดงความจริงใจในคำพูดของเขาพร้อมกับการหลั่งเลือดของตนเอง
ชีวิตที่ถูกมองว่าเป็นหนทางในการรับใช้เจ้านายของเขา และอุดมคติของมันถูกกำหนดไว้บนเกียรติ การศึกษาและการฝึกอบรม ทั้งหมดของซามูไร ถูกดำเนินการตามนั้น
ครับ ก็ได้พรรณนาถึงศีลของซามูไรทั้งเจ็ดข้อไปแล้ว แต่ หนังสือยังไม่จบ นะครับ (ฮา) แถมยังเปิดไปสู่หัวข้อใหม่ ว่าด้วยการศึกษาของซามูไรอีกด้วย แน่ะ ต้องอ่านต่อสัปดาห์หน้าแล้วนะครับ สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (8) ว่าด้วย เกียรติ (เมย์โยะ 名誉)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (7) ว่าด้วย ความมีสัจจะ (มาโคโตะ 誠)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (6) ว่าด้วยความนอบน้อม (เรย์ 礼)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (5) ว่าด้วย ความเมตตากรุณา (จิน 仁)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (4) ว่าด้วย ความกล้าหาญ (ยู 勇)
#บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (9) ว่าด้วย ความภักดี (ชูงิ 忠義)