คั่นรายการ โดย Lordofwar Nick
บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (6) ว่าด้วยความนอบน้อม (เรย์ 礼)
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน เสาร์ที่สองของเดือนมกรา “วันเด็กแห่งชาติ” เราก็ยังมาเรียนรู้เรื่องศีลของซามูไรใน “บูชิโด” กันต่อนะครับ (อยากให้เอา “บูชิโด” มาเป็นหลักศีลธรรมสอนใจเด็กไทยบ้าง เพื่อวันหน้าชาติจะได้เจริญวัฒนา พ้นจากความล้าหลังทางความคิดและศีลธรรมบ้าง)
ความนอบน้อม
ความนอบน้อม (Politeness) เป็นคุณธรรมอันต่ำต้อย หากกระทำเพียงเพราะด้วยความกลัวที่จะละเมิดรสนิยมที่ดีเท่านั้น ในขณะที่ควรเป็นการแสดงให้เห็นถึงการคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นด้วยความเห็นอกเห็นใจ นอกจากนี้ยังมีนัยถึงการคำนึงถึงความเหมาะสมของสิ่งต่างๆ ด้วย ดังนั้นโดยคำนึงถึงตำแหน่งทางสังคม สำหรับสิ่งเหล่านี้ ข้อหลังนั้นมิได้แสดงถึงการแยกต่างด้วยอำนาจเงิน แต่เดิมทีมันคือการแยกต่างตามคุณความดีที่แท้จริง
ถ้าให้ผมอ่านย่อหน้าแรกแล้วตีความ อภิปราย ล่ะก็ เรื่องของความนอบน้อม หรือจะเรียกว่าความสุภาพ มารยาท ก็ตามที จริงๆ มันไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย มันก็แค่เรื่องของการทำให้เหมาะควรแก่ “กาละ เทศะ บุคคล” อย่างไรก็ดี การแสดงความนอบน้อม (การมีมารยาท) ในทัศนะของผู้เขียนนั้น มันไม่ใช่แค่ว่า เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจเหนือกว่า (ยศใหญ่กว่า ร่ำรวยกว่า) ถึงต้องมีมารยาท ในความคิดของผม หากเรามี “การคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น” แล้ว เราก็ต้องคำนึงถึงได้ทุกคนไม่ว่าเขาจะยากดีมีจนสูงส่งต้อยต่ำกว่าเราแค่ไหน คือไม่ใช่ว่าเห็นว่าด้อยกว่า เช่นเป็นคนจน เป็นเด็ก เป็นคนให้บริการ (พนักงานบริการ) แล้วจะหยาบคายถ่อยสถุลกับเขาแค่ไหนก็ได้ (ซึ่งข้อนี้ได้ข่าวว่าคนไทยเป็นกันมาก เหมือนภูมิใจที่ได้โชว์พาว “จิกหัวใช้” คนที่ต่ำกว่า คงเก็บกดมากกระมัง?) ฉะนั้น เราก็ต้องมีความนอบน้อม (มีมารยาท) กับทุกคนได้เช่นกัน
ภาษาญี่ปุ่นวันละคำ วันนี้ขอเสนอคำว่า “โอโมอิยาริ” (思いやり) ครับ
“โอโมอิยาริ” (思いやり) หมายถึง การคิดคำนึงถึงผู้อื่น วาถ้าเราทำอย่างนี้ๆ แล้วคนอื่นจะเป็นยังไง เขาจะไม่สะดวก หรือได้รับความลำบากเดือดร้อนหรือเปล่า
ข้อนี้ถือว่าเป็นหลักคุณธรรมที่แพร่หลายในสังคมญี่ปุ่น มูซาชิเองยังเคยเขียนไว้ใน “วิถีเดินเดี่ยว” ว่า “คิดถึงตัวเองให้ตื้น คิดถึงโลกให้ลึก” เลยนะครับ
บอกตรงๆ นะ ผมว่าคนไทยไม่ค่อยมี “โอโมอิยาริ” กันเท่าไหร่ ดูจาก (ความไม่มี) มารยาทในการขับรถจนถึงจอดรถ (เช่นไม่จอดรถกินที่ขวางทางไม่ให้คนอื่นที่มาทีหลังจอดได้ เป็นต้น)
โอเคพักการอภิปรายไว้ก่อน มาอ่านต่อกันครับ
เมื่อความเหมาะควร (propriety) ถูกยกระดับเป็นสิ่งที่ควรมี (sine qua non) ในปฏิสัมพันธ์ทางสังคม มันเพียงถูกคาดหวังว่าระบบอันประณีตของจรรยามารยาท (etiquette) ควรจะกลายเป็นสมัยนิยมที่จะฝึกเยาวชนให้มีพฤติกรรมทางสังคมที่ถูกต้อง จะต้องโค้งคำนับอย่างไรเวลาเข้าหาผู้อื่น จะต้องเดินและนั่งอย่างไร (ควร) ได้รับการสอนและเรียนด้วยความเอาใจใส่อย่างถึงที่สุด มารยาทบนโต๊ะอาหารเริ่มเป็นวิทยาศาสตร์ การยกน้ำชาและดื่มน้ำชาถูกยกระดับขึ้นเป็นพิธี แน่นอนว่า คนที่มีการศึกษาย่อมถูกคาดหวังให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องทั้งหมดนี้ พอดียิ่งกับที่ Mr. Veblen (Thorstein Veblen นักเศรษฐศาสตร์และนักสังคมวิทยาชาวอเมริกัน) ได้กล่าวไว้ในหนังสือที่น่าสนใจของเขาว่า สมบัติผู้ดี (decorum) คือ “ผลิตภัณฑ์และแบบฉบับของชีวิตของชนชั้นสุขสบาย (leisure class)”
ข้าพเจ้าเคยได้ยินคำพูดเล็กน้อยของชาวยุโรปเกี่ยวกับระเบียบวินัยอันประณีตของเราในเรื่องความนอบน้อม มันถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามันดูดซับความคิดของเรามากเกินไป ขนาดที่ว่าเป็นความโง่เขลาที่จะทำตามมันอย่างเคร่งครัด ข้าพเจ้ายอมรับว่าอาจมีความละเอียดละออที่ไม่จำเป็นในจรรยามารยาทในพิธีการ แต่ว่ามัจะมีส่วนเหมือนกับความโง่เขลาในการยึดติดกับแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงเสมอของตะวันตกหรือไม่ก็ตาม นั้นเป็นคำถามที่ไม่ค่อยชัดเจนในความคิดของข้าพเจ้า
แม้แต่แฟชั่น ข้าพเจ้าก็ไม่คิดว่าเป็นเพียงสิ่งวิตถารอันไร้สาระแต่เพียงเท่านั้น ตรงกันข้าม ข้าพเจ้ามองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการแสวงหาสิ่งสวยงามในจิตใจมนุษย์อย่างไม่หยุดยั้ง น้อยกว่าอย่างยิ่งที่ข้าพเจ้าจะถือว่าพิธีอันประณีตนั้นไม่เป็นสาระด้วยประการทั้งปวง เพราะมันแสดงถึงผลลัพธ์ของการสังเกตอย่างยาวนานถึงวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการบรรลุผลที่แน่นอน หากมีสิ่งใดที่จะทำ ย่อมต้องมีวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำอย่างแน่นอน และวิธีที่ดีที่สุดนั้นทั้งประหยัดและสง่างามที่สุด
Mr. Spencer (ผมไม่แน่ใจว่าหมายถึง Herbert Spencer ผู้บัญญัติคำว่า Sociology หรือเปล่า?) นิยามความสง่างามว่าเป็นวิธีการเคลื่อนไหวที่ประหยัดที่สุด พิธีชงชานำเสนอวิธีการจัดการกับชาม ช้อน ผ้าเช็ดปาก ฯลฯ อย่างชัดเจน สำหรับมือใหม่ดูเหมือนว่าจะน่าเบื่อ แต่ในไม่ช้าก็มีผู้ค้นพบว่าวิธีที่ถูกกำหนดไว้นั้นช่วยประหยัดเวลาและแรงงานได้มากที่สุด กล่าวอีกนัยหนึ่ง การใช้กำลังอย่างประหยัดที่สุด และ ตามคำกล่าวของสเปนเซอร์ สง่างามที่สุด
Herbert Spencer นักปรัชญาชาวอังกฤษ (ที่มา wikipedia)
ข้อนี้น่าคิดนะครับ มีอะไรให้อภิปรายเยอะอยู่
จริงอยู่ที่ว่า การที่คนเราจะคิด “วิธีการเคลื่อนไหวที่ประหยัดและสง่างามที่สุด” ได้นั้น มันต้องมีทรัพยากร (เอาแล้วโว้ยวิชาเศรษฐศาสตร์ก็มาครับ) คือมีเวลา และมีเงิน มีแรงงาน แต่ถึงกระนั้น ผมก็ไม่อยากให้ท่านผู้อ่านมองไปว่า เรื่องของมารยาทหรือสมบัติผู้ดีนั้น “เป็น (แค่) เรื่องของคนรวย” เท่านั้น คนเรามีทรัพยากรไม่เท่ากันก็จริงแต่ไม่ใช่ว่า “ไม่มีเลย” (เป็นศูนย์) ก็ไม่ใช่ (เราสามารถบริหารทรัพยากรให้ดีที่สุดได้ภายใต้ข้อจำกัดที่เรามีอยู่) และคนเราทุกคนก็เป็นคนในสังคมที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น (ซึ่งการคำนึงถึงผู้อื่นจะลดหรือป้องกันการกระทบกระทั่งกันได้) ดังนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่เรียนรู้ที่จะปฏิบัติตามมารยาทอันดีเลย
อีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องของความหมายของคำว่า “ความนอบน้อม” ตามคำศัพท์ “นอบน้อม” หมายถึงความเคารพ ถ้าดูคำว่า Politeness ดูไปถึงคำว่า Polite มันก็ความหมายว่าการแสดงความเคารพและการคำนึงถึง (ผู้อื่น) ปัญหาคือวิธีคิด mindset ของคนไทยนั้น ไม่รู้เป็นเพราะความบกพร่องในการอบรมสั่งสอนหรือค่านิยมหรืออย่างไร จึงชอบคิดว่า “เคารพ” นี่ ต้องหมายถึงผู้น้อยกับผู้ใหญ่เท่านั้น ทั้งๆ ที่ ในสังคมที่เจริญแล้วทางความคิด คำว่า “เคารพ” นั้น หมายถึงการชื่นชม หรือเห็นว่าอีกฝ่ายดี ซึ่งการยอมรับในคุณค่าของผู้อื่นของอีกฝ่าย ไม่จำเป็นต้องเอาความสูงต่ำของฐานะ (เช่นรวย หรือยศใหญ่) มาเป็นเครื่องขีดคั่นเลย และที่จริงควรจะเอาคุณความดีต่างหาก มาเป็นเครื่องขีดคั่น (พูดอีกอย่างคือ ถ้าจะเคารพใครก็ควรเคารพกันที่ความดี และความนอบน้อม คือการแสดงความเคารพนั้น ก็ควรทำแก่ผู้มีคุณความดีจริงๆ หาใช้เพราะรวยหรือยศใหญ่ไม่)
ความบกพร่องของ mindset ของคนไทยนั้น มันยาวไปจนถึงขั้นที่คิดว่า หลงคิดไปว่าการมีเงินนั้นเป็นคุณความดีอย่างหนึ่ง ที่สามารถเอามาอวดข่มตอบโต้คนอื่นได้ ดังที่ “พ่อน้องออนิว” ที่ไปชนท้ายโรลสรอยซ์ ออกมาโต้ตอบว่า คนอื่นน่ะ มีเงินซื้อออนิวเหมือนมันไหม…
…ครับ ชนรถคนอื่นแล้วไม่มีประกัน มีเงินมากก็จ่ายหนี้เขาไปให้ครบๆ เต็มจำนวนนะครับ…
นี่คือตัวอย่างของคนที่โตมาแบบขาดจิตสำนึกเรื่อง “ความเคารพ” ไม่ว่าจะเป็นความเคารพต่อกฎหมายบ้านเมือง หรือความเคารพในแง่ของความคำนึงถึงผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นที่อยู่บนทางเดียวกัน ที่น่าขำก็คือ พอจวนตัวเข้ามากๆ มักจะร้องว่า “ขอให้ช่วยเห็นใจหน่อย” น่าสมเพชเสียจริง
สำหรับคนแบบนี้ ผมมีให้แค่คำเดียวครับ “จิโงจิโทกุ” (自業自得) ใครทำอะไรคนนั้นก็รับไปละกันนะ
ความนอบน้อมจะเป็นการได้มาอันยิ่งใหญ่ หากมันไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าแบ่งความสง่างามแก่มารยาท แต่หน้าที่ของมันไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ สำหรับความเหมาะควร การผลิขึ้นมาราวกับมีแรงจูงใจมาจากความเมตตากรุณาและความสุภาพเรียบร้อย (modesty) และกระตุ้นด้วยความรู้สึกอ่อนโยนต่อความรู้สึกอ่อนไหวของผู้อื่น ถือเป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างสง่างาม ข้อเรียกร้องของมันคือเราควรร้องไห้ร่วมกับผู้ที่ร้องไห้ และชื่นชมยินดีกับผู้ที่ชื่นชมยินดี (ข้อนี้พ้องกับคำว่า “มุทิตาจิต”)
ข้อเรียกร้องทำนองสั่งสอนเช่นนี้ เมื่อถูกลดทอนลงเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน จะแสดงออกด้วยการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่แทบจะสังเกตไม่เห็น หรือหากสังเกตเห็น ก็เหมือนอย่างมิชชันนารีหญิงคนหนึ่งที่อยู่ในถิ่นมายี่สิบปีเคยพูดกับข้าพเจ้าว่า “ตลกชะมัด” คุณออกไปท่ามกลางแสงแดดจ้าร้อนแรงโดยไม่มีร่มเงาปกคลุมคุณ คนรู้จักชาวญี่ปุ่นเดินผ่านไป คุณทักเขา และทันใดนั้นหมวกเขาก็ถูกถอดออก (หมายถึงเปิดหมวกเพื่อทักทายอย่างสุภาพบุรุษฝรั่ง) นั่นแหละ มันเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่การแสดงออกที่ “ตลกสุดๆ” ก็คือ ขณะเขาสนทนากับท่าน ร่มของเขาพับลงและยืนอยู่กลางแสงแดดจ้าด้วย ช่างดูโง่เง่าจริงๆ!
ใช่ มันเป็นเช่นนั้น หากแรงจูงใจมีน้อยกว่าสิ่งนี้ “คุณอยู่ใต้ดวงตะวัน ผมเห็นอกเห็นใจคุณ ผมยินดีจะพาคุณไปอยู่ใต้ร่มกันแดดของผมถ้ามันใหญ่พอ หรือถ้าเรารู้จักคุ้นเคยกันดี เพราะผมไม่สามารถให้ร่มเงาคุณได้ ผมจะแบ่งปันความไม่สบายของคุณ”
การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ในลักษณะนี้ ที่น่าขบขันพอกันหรือมากกว่านั้น ไม่ใช่แค่การแสดงท่าทางหรือธรรมเนียมปฏิบัติเท่านั้น มันคือ “การแสดงออกมาทางกาย” ของความรู้สึกที่ครุ่นคิดถึงความสบายของผู้อื่น
อ่านถึงตรงนี้แล้วอึ้งครับ การปฏิบัติเช่นนี้ยังเห็นอยู่มากในสังคมญี่ปุ่น สังคมญี่ปุ่นมีความเป็นสังคมรวมหมู่สูงเสียจนถ้าใครมาทำตัวแบบ เอาตัวรอดคนเดียว อาจถูกประณามหยามเหยียดได้ว่า “เห็นแก่ตัว” (เจ้านายไม่กลับ เพื่อนร่วมงานไม่กลับ มึงห้ามกลับก่อน 555) บางที อะไรที่มัน “มากไป” ก็ต้องพึงสังวรนะครับ
เป็นการให้เหตุผลแบบดันทุรังที่จะสรุป เพราะสำนึกเรื่องความเหมาะควรของเราได้แสดงให้เห็นในทุกสาขาที่เล็กที่สุดของการวางท่าทางของเรา ที่จะหยิบเอาสิ่งที่สำคัญน้อยที่สุดในหมู่พวกมันแล้วชูขึ้นมาเป็นแบบอย่าง แล้วส่งผ่านการตัดสินต่อตัวหลักการมันเอง อะไรสำคัญกว่ากัน การกิน หรือการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เรื่องความเหมาะควรเกี่ยวกับการกิน? นักปราชญ์จีนตอบว่า “ถ้าท่านมองว่าการกินเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เรื่องความเหมาะควรนั้นมีความสำคัญเพียงเล็กน้อย แล้วเปรียบเทียบเข้าด้วยกัน ทำไมเพียงแต่บอกว่าการกินมีความสำคัญมากกว่าล่ะ?”
“โลหะหนักกว่าขนนก” แต่คำพูดนี้หมายถึงตะขอโลหะอันเดียวกับขนนกทั้งเกวียนรึเปล่า? เอาท่อนไม้หนาหนึ่งฟุตแล้วยกขึ้นเหนือยอดวิหาร ไม่มีใครจะบอกว่ามันสูงกว่าวิหารได้ ต่อคำถามที่ว่า “สิ่งใดสำคัญกว่ากัน จะให้พูดความจริงหรือให้สุภาพ?” ว่ากันว่าคนญี่ปุ่นให้คำตอบได้ตรงข้ามกับสิ่งที่คนอเมริกันจะพูดอย่างสิ้นเชิง แต่ข้าพเจ้าของดแสดงความคิดเห็นใดๆ จนกว่าข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึง ความมีสัจจะหรือความซื่อตรง (Veracity or Truthfulness) ซึ่งหากไม่มีสิ่งนี้ ความนอบน้อมจะกลายเป็นแค่ละครชวนหัวและการแสดงไป
เอาแล้วครับ ได้เวลาเปิดไปสู่ศีลข้อต่อไปแล้ว (เอ้าชูมือขวาหน่อยเร้ว 555 ไม่ใช่ละ) แบบนี้ต้องมาอ่านกัต่อแล้วครับสัปดาห์หน้า 555 เจอกันครับผม
เรื่องแนะนำ :
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (5) ว่าด้วย ความเมตตากรุณา (จิน 仁)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (4) ว่าด้วย ความกล้าหาญ (ยู 勇)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (3) ว่าด้วยความเที่ยงธรรม (กิ 義)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (2) รากเหง้าเค้ามูลของ “บูชิโด”
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (1) เมื่อ “คนญี่ปุ่น” เอาวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาเขียนขาย “ฝรั่ง”
#บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (6) ว่าด้วยความนอบน้อม (เรย์ 礼)