คั่นรายการ โดย Lordofwar Nick
บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (12) ประเพณีการคว้านท้อง (เซปปุกุ 切腹)
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ในที่สุดก็มาถึงหัวข้อที่แบบ มันเป็นอะไรที่พอพูดถึงซามูไรปั๊บ ต้องนึกถึงสิ่งนี้ทันที และกลายเป็นอะไรที่เป็นภาพจำอย่างหนึ่งของซามูไร ไม่แพ้ “ดาบซามูไร” เลยทีเดียว ครับ วันนี้เราจะมาอ่านเนื้อหาว่าด้วย “ฮาราคีรี” กันนะครับ ไปเล้ย
เริ่มต้นด้วยการฆ่าตัวตาย ข้าพเจ้าขอแถลงว่าข้าพเจ้าจำกัดความเห็นของข้าพเจ้าไว้แค่ เซปปุกุ (切腹) หรือคัปปุกุ (割腹) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า ฮาราคีรี (腹切り) ซึ่งหมายถึงการพลีชีพด้วยการคว้านไส้พุงตัวเองเท่านั้น “ฉีกหน้าท้องเหรอ? ช่างเหลวไหลจริง!” สำหรับคนที่เพิ่งเคยได้ยินคำนี้คงต้องร้องแบบนั้น แม้จะฟังดูแปลกประหลาดเหลวไหลสำหรับคนต่างชาติที่เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก มันไม่น่าจะแปลกไปนักสำหรับนักเรียนของเชคสเปียร์ ผู้ซึ่งเอาคำเหล่านี้ในปากของบรูตัสว่า “วิญญาณของเจ้า (ซีซาร์) เดินทางไปไกลโพ้นและเปลี่ยนดาบของเราให้กลายเป็นเครื่องในที่ถูกต้องของเรา” (แปลว่า เอาดาบเสียบพุงเนี่ยนะ?)… ในจิตของพวกเรา รูปแบบความตายนี้เกี่ยวข้องกับการกระทำอันสูงส่งและความสงสารที่ซาบซึ้งที่สุด ขนาดที่ว่าไม่มีสิ่งใดน่ารังเกียจ หรือน่าเย้ยหยัน หรือทำให้เสื่อมเสียซึ่งมโนคติของพวกเราที่มีต่อมัน พลังของคุณธรรม ความยิ่งใหญ่ ความอ่อนโยนช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกินที่สามารถแปลงร่างรูปแบบความตายที่เลวทรามที่สุดให้กลายเป็นความประเสริฐและกลายเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่ หรือมิฉะนั้น เป็นสัญญาณที่สัญญาณที่คอนสแตนตินเห็นว่าจะไม่พิชิตโลก!
ไม่ใช่เพียงความคิดเชื่อมโยงของเมืองนอกเท่านั้นที่เซปปุกุแพ้ให้แก่ ในจิตของเรา ซึ่งจุดด่างพร้อยแห่งความเหลวไหลไร้สาระ สำหรับการเลือกส่วนเฉพาะของร่างกายเพื่อดำเนินการนั้น มีพื้นฐานอยู่บนความเชื่อทางกายวิภาคเก่าๆ ในเรื่องของที่นั่งของจิตวิญญาณและอารมณ์ต่างๆ เมื่อโมเสสเขียนถึง “อุทร (ท้อง) ที่โหยหาน้องชายของเขา” ของโยเซฟ หรือดาวิดสวดอ้อนวอนพระเจ้าไม่ให้ลืมอุทรของเขา หรือเมื่ออิสยาห์ เยเรมีย์ และชายที่ได้รับการดลใจคนอื่นๆ ในสมัยโบราณพูดถึง “เสียงที่ดัง” หรือ “ปัญหา” ในอุทร สิ่งเหล่านี้ต่างล้วนรับรองความเชื่อที่แพร่หลายในหมู่ชาวญี่ปุ่นที่ว่าในท้องเป็นที่ประดิษฐานของวิญญาณ ชาวเซมิติมักพูดถึงตับ ไต และไขมันที่อยู่รอบๆ ว่าเป็นแหล่งกำเนิดอารมณ์ความรู้สึกและชีวิต คำว่า ฮารา (腹 “ท้อง” หรือจะเขียนเป็น 原 “ท้องทุ่ง”) มีความครอบคลุมมากกว่าคำกรีก phren หรือ thumos
ทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวกรีกต่างก็คิดว่าจิตวิญญาณของมนุษย์จะต้องอาศัยอยู่ที่ไหนสักแห่งในพื้นที่นั้น แนวคิดดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะผู้คนในสมัยโบราณเท่านั้น ชาวฝรั่งเศสนั้น แม้จะมีทฤษฎีที่ถูกเสนอโดยหนึ่งในนักปรัชญาผู้มีชื่อเสียงที่สุดของพวกเขา เดส์การตส์ ว่า วิญญาณอยู่ในต่อมไพเนียล แต่ยังคงยืนกรานที่จะใช้คำว่า ventre (ท้อง) ในความหมายที่ว่า ถึงแม้จะคลุมเครือเกินไปในทางกายวิภาค ก็ยังมีนัยสำคัญทางสรีรวิทยาไม่มากก็น้อย คล้ายกันนั้น entrailles (อวัยวะภายใน) ในภาษาของพวกเขา หมายถึงความรักใคร่และความเห็นอกเห็นใจ ความเชื่อเช่นนั้นก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความเชื่องมงาย ทั้งยังเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าแนวคิดทั่วไปในการทำให้หัวใจเป็นศูนย์กลางของความรู้สึก (เสียด้วยซ้ำ) โดยไม่ต้องถามนักบวชเลย ชาวญี่ปุ่นรู้ดีกว่าโรมิโอ “ในส่วนใดที่เลวทรามของกายวิภาคนี้ ที่ชื่อของคนๆ หนึ่งอาศัยอยู่”นักประสาทวิทยาสมัยใหม่พูดถึงสมองในช่องท้องและอุ้งเชิงกราน ชี้ถึงศูนย์ประสาทประสาทซิมพาเทติกในส่วนต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการกระทำทางจิตใดๆ มุมมองของสรีรวิทยาทางจิตนี้เมื่อยอมรับแล้ว การอ้างเหตุผลของเซปปุกุก็ง่ายที่จะสร้าง “ข้าฯ จะเปิดที่นั่งแห่งจิตวิญญาณของข้าฯ และแสดงให้ท่านเห็นว่ามันกระทำอย่างไรกับมัน ท่านจงดูเอาเองว่ามันปนเปื้อนหรือสะอาด”
อ่านถึงตรงนี้ ยอมใจจริงๆ กับความรู้และความพยายามของท่านผู้เขียน ที่จะป้องกันความถูกต้องของขนบประเพณีของชนชาติของตน โดยแย้งว่า หลักคิดของมันก็ไม่ต่างจากหลักคิดทางปรัชญาในวัฒนธรรมของชนชาติตะวันตกนั่นแล
ตอนนี้ผู้อ่านของข้าพเจ้าคงจะเข้าใจแล้วว่า เซปปุกุ ไม่ใช่เพียงกระบวนการฆ่าตัวตาย มันเป็นขนบประเพณี ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นพิธีการ เป็นสิ่งประดิษฐ์ในยุคกลาง เป็นกระบวนการที่นักรบทั้งหลายอาจชดใช้อาชญากรรม ขอโทษสำหรับข้อผิดพลาด หลบหนีจากความอัปยศอดสู ไถ่บาปแก่เพื่อนฝูง หรือพิสูจน์ความจริงใจของตน เมื่อมันถูกบังคับใช้ในฐานะการลงโทษตามกฎหมาย มันก็ถูกปฏิบัติตามพิธีอันสมควร มันเป็นการขัดเกลาให้ประณีตซึ่งการทำลายตนเอง และไม่มีใครสามารถทำมันได้หากปราศจากความใจเย็นและกิริยาที่สงบที่สุด และด้วยเหตุผลเหล่านี้ มันจึงเหมาะสมอย่างยิ่งกับอาชีพบูชิ
ความอยากรู้อยากเห็นทางโบราณวัตถุ ถ้าไม่มีอะไรอื่น คงจะล่อลวงให้ข้าพเจ้าให้คำพรรณนาเกี่ยวกับพิธีการที่ล้าสมัยนี้ แต่เมื่อเห็นว่าคำอธิบายดังกล่าวเขียนขึ้นโดยนักเขียนที่สามารถคนหนึ่ง ซึ่งหนังสือของเขาไม่ค่อยมีคนอ่านแล้วทุกวันนี้ ข้าพเจ้าจึงอยากยกข้อความมากล่าวซึ่งค่อนข้างยาว มิทฟอร์ด (A.B. Mitford นักการทูตและนักเขียนชาวอังกฤษ) ในหนังสือ “Tales of Old Japan” (เขียนในปี พ.ศ. 2414 โห) นั้น ขาหลังจากแปลบทความเกี่ยวกับเซปปุกุจากต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นที่หายาก เขาได้พรรณนาถึงตัวอย่างของการประหารชีวิตดังกล่าว ซึ่งเขาได้เป็นสักขีพยาน
เอาตรงๆ มาถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านคงจะเห็นว่า มันคือ “การลงโทษ” อย่างหนึ่ง ใช่ครับ มันคือการลงโทษประหารชีวิตอย่างหนึ่งนั่นแหละ ไม่ใช่อะไรอื่น เพียงแต่มันเป็นการประหารชีวิตที่อยู่บนพื้นฐานหลักคิดเรื่องศักดิ์ศรี-ชนชั้น ประมาณกดดันว่า “นายเองก็เป็นคนมีตำแหน่งขนาดนี้ ถ้ามีจิตสำนึกนายก็คงรู้ตัวนะว่านายควรทำยังไง” (พิจารณาตัวเองซะ) เมืองจีนสมัยโบราณมีเรื่องที่บางทีฮ่องเต้ “พระราชทานสุราพิษ” แก่ขุนนางบางคน จริงๆ การคว้านท้องของซามูไรก็ไม่ได้ต่างนักหรอกครับในแง่นี้
ภาพวาด A.B. Mitford วาดในปี 1865 (ที่มา wikipedia)
แต่ท่านผู้เขียนเปิดมาขนาดนี้ ต้องอ่านต่อแล้วล่ะ
“เรา (ตัวแทนจากต่างประเทศเจ็ดคน) ได้รับเชิญให้ติดตามพยานชาวญี่ปุ่นเข้าไปในฮอนโด (本堂 น่าจะเทียบได้กับวิหาร) หรือห้องโถงหลักของวัดซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธี มันเป็นฉากที่น่าประทับใจ ห้องโถงใหญ่ที่มีหลังคาสูงรองรับด้วยเสาไม้สีเข้ม จากเพดานมีตะเกียงทองขนาดใหญ่และเครื่องประดับอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของวัดพุทธแขวนอยู่ ด้านหน้าแท่นบูชาสูง มีพื้นปูด้วยเสื่อสีขาวสวยงาม สูงจากพื้นประมาณสามหรือสี่นิ้ว มีพรมสักหลาดสีแดงวางอยู่ เทียนทรงสูงที่วางเป็นระยะๆ ทำให้เกิดแสงลึกลับสลัว เพียงพอให้มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้ ชาวญี่ปุ่นเจ็ดคนเข้ามาแทนที่ทางด้านซ้ายของพื้นยก ชาวต่างชาติเจ็ดคนอยู่ทางขวา ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย
“หลังจากวิตกกังวลอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ทากิ เซนซาบุโร่ ชายผู้ล่ำสัน วัย 32 ปี ผู้มีท่าทางสง่างาม เดินเข้าไปในห้องโถง แต่งกายด้วยชุดพิธี มีปีกผ้าป่านอันแปลกประหลาดซึ่งสวมใส่ในโอกาสอันดี เขามาพร้อมกับไคชะกุ (介錯) และเจ้าหน้าที่สามคนซึ่งสวมจิมบาโอริ (陣羽織) หรือเสื้อคลุมสงครามที่ฉาบหน้าปิดทอง คำว่าไคชะกุที่ควรสังเกต เป็นคำที่ผู้ประหารชีวิตของเราไม่มีคำใดที่เทียบเท่ากัน ตำแหน่งนี้เป็นของสุภาพบุรุษ ในหลายกรณีจะถูกกระทำโดยญาติหรือเพื่อนของผู้ถูกตัดสินว่ามีความผิด และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามักจะเป็นผู้มีตำแหน่งใหญ่และตำแหน่งรองมากกว่าเหยื่อและผู้ประหารชีวิต ในการนี้ ไคชะกุนั้นเป็นลูกศิษย์ของทากิ เซนซาบุโร่ ซึ่งได้รับเลือกจากเพื่อนของฝ่ายหลัง จากบรรดาในหมู่เดียวกันว่ามีทักษะในทางดาบ
“โดยมีไคชะกุอยู่ทางซ้ายมือ ทากิ เซนซาบุโร่ก้าวช้าๆ ไปหาพยานชาวญี่ปุ่น แล้วทั้งสองก็โค้งคำนับต่อหน้าพวกเขา จากนั้นก็เข้ามาใกล้ชาวต่างชาติ พวกเขาทำความเคารพเราในลักษณะเดียวกัน บางทีอาจแสดงความเคารพยิ่งกว่าด้วยซ้ำ ในแต่ละกรณีจะมีการทำความเคารพตอบกลับไปอย่างเป็นพิธีการ ชายผู้ถูกตัดสินว่ามีความผิด ค่อยๆ ขึ้นไปบนพื้นยกอย่างช้าๆ อย่างมีศักดิ์ศรี กราบลงที่แท่นบูชาสูงสองครั้ง แล้วนั่งลงบนพรมสักหลาด โดยหันหลังไปยังแท่นบูชาสูง มีไคชะกุหมอบอยู่ทางด้านซ้ายมือ แล้วเจ้าหน้าที่หนึ่งในสามนายก็ออกมาข้างหน้า ถือขาตั้งแบบที่ใช้ในวัดสำหรับถวายเครื่องบูชา ที่วาง วากิซาชิ (脇差 แปลตรงตัวว่า “เหน็บสีข้าง”) ซึ่งเป็นดาบสั้นหรือกริชของญี่ปุ่น ยาวเก้านิ้วครึ่ง โดยมีปลายแหลมและคมราวกับมีดโกน ที่ถูกห่อไว้ในกระดาษ ไว้ข้างบน แล้วเขาส่ง โดยหมอบกาย แก่ชายผู้ถูกตัดสินว่ามีความผิด ผู้รับไว้ด้วยความเคารพ แล้วยกมันขึ้นเหนือหัวด้วยสองมือ แล้ววางไว้ข้างหน้าของตน
เขานั่งลงตามแบบญี่ปุ่น เข่าและนิ้วเท้าแตะพื้นและร่างกายวางบนส้นเท้า ในตำแหน่งนี้ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ เขาจะยังอยู่อย่างนั้นจนตาย
หลังจากแสดงความเคารพอย่างสุดซึ้งอีกครั้งหนึ่ง ทากิ เซนซาบุโร่ก็พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงอารมณ์และความลังเลใจอย่างมากอย่างที่คาดหวังได้จากชายผู้สารภาพอย่างเจ็บปวด แต่ไม่มีสัญญาณใดๆ บนในหน้าหรืออากัปกิริยาของเขาเลย เขาพูดดังนี้
“ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น ได้ออกคำสั่งให้ยิงชาวต่างชาติที่โกเบโดยที่มิใช่สิ่งที่อนุญาตได้ และออกคำสั่งอีกครั้งขณะที่พวกเขาพยายามหลบหนี ต่อความผิดนี้ ข้าพเจ้าจะขอคว้านท้องตัวเอง และข้าพเจ้าขอท่านทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นี้ จงเป็นสักขีพยานของการกระทำนี้ เพื่อเป็นเกียรติแก่ข้าพเจ้า”
ผู้พูดโค้งคำนับอีกครั้ง ปล่อยให้เสื้อผ้าท่อนบนเลื่อนลงไปถึงเอวของเขา และยังคงเปลือยเปล่าจนถึงเอว ตามธรรมเนียม เขาซุกแขนเสื้อไว้ใต้เข่าอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองล้มไปข้างหลัง สำหรับชาวญี่ปุ่นผู้สูงศักดิ์ สุภาพบุรุษควรตายโดยล้มมาข้างหน้า เขาจงใจหยิบกริชที่อยู่ข้างหน้าเขาด้วยมือที่มั่นคง เขามองมันด้วยความละห้อยหา เกือบจะเป็นความรักใคร่ ดูเหมือนว่าเขาจะรวบรวมความคิดเป็นครั้งสุดท้ายแล้วแทงตัวเองลึกลงไปใต้เอวทางด้านซ้ายมือ แล้วดึงกริชไปทางขวาช้าๆ แล้วพลิกกลับเข้าไปในบาดแผล ตัดขึ้นไปเล็กน้อย ในระหว่างการผ่าตัดที่เจ็บปวดอย่างน่าคลื่นเหียนนี้ เขามิได้ขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้าเลย เมื่อเขาดึงกริชออกมา เขาโน้มตัวไปข้างหน้าและเหยียดคอออก ความเจ็บปวดปรากฏบนใบหน้าของเขาเป็นครั้งแรก แต่เขามิได้เปล่งเสียงใดๆ ณ ขณะนั้น ไคชะคุซึ่งยังคงหมอบอยู่ข้างๆ เขาเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างจดจ่อ ลุกขึ้นยืน ยกดาบขึ้นในอากาศชั่วครู่ มีแสงวาบ เสียงดังตุ้บหนักๆ น่าเกลียดน่ากลัว ร่วงลงมาอย่างแรง ศีรษะขาดออกจากร่างกายด้วยการฟาดเพียงครั้งเดียว
ความเงียบงันที่ตามมา ถูกทำลายด้วยเสียงอันน่าสยดสยองของเลือดที่ฉูดๆ ออกมาจากศีรษะที่ไร้ชีวิตตรงหน้าเรา ซึ่งเมื่อครู่ก่อนนั้นเคยเป็นชายผู้กล้าดั่งอัศวิน มันน่ากลัวมาก
ไคชะคุโค้งคำนับต่ำ เช็ดดาบด้วยกระดาษที่เตรียมไว้เพื่อวัตถุประสงค์นั้น แล้วถอยออกจากพื้นยก แล้วกริชที่เปื้อนเลือดก็ถูกพาไปอย่างเคร่งขรึม เป็นข้อพิสูจน์อันนองเลือดของการประหารชีวิต
จากนั้นตัวแทนทั้งสองของมิคาโดะ (帝 หมายถึงองค์พระจักรพรรดิ) ก็ออกจากที่ของตน และข้ามไปยังจุดที่พยานชาวต่างชาตินั่งอยู่ เรียกให้เราเป็นพยานว่าการพิพากษาประหารชีวิตทากิ เซ็นซาบุโร่ นั้นได้รับการดำเนินการอย่างซื่อสัตย์แล้ว เมื่อพิธีเสร็จแล้ว เราก็ออกจากวัดไป”
อ่านแล้วเป็นไงครับ เหมือนนั่งอยู่ในเหตุการณ์จริงไหมครับ ทีนี้ ขอขยายเกร็ดความรู้นิดนึง คือคำว่า ไคชะกุ นี่ ถ้าพูดถึงรากศัพท์ คำว่า ไค (介) นั้นหมายถึงเข้ามาอยู่ตรงระหว่าง ก็ได้ แผลงว่า “อยู่ข้างๆ คอยช่วยเหลือ” ก็ได้ ส่วนคำว่า ชะคุ (錯) หมายถึง “พลาด ผิดพลาด” น่าจะหมายถึง อยู่ข้างๆ คอยช่วยเหลือยามพลาด คือถ้าเอาดาบคว้านพุงตัวเองแล้วไม่ตายทันที อาจแสดงกิริยาไม่งาม หน้าบูดหน้าเบี้ยว ก็เอาดาบบั่นหัวไปเสียให้จบๆ จะได้ตายอย่างเรียบร้อย
เอาท่าดาบอิไอ “หมวดท่านั่งเซสะ” ท่า “ไคชะกุ” มาให้ดูกันครับ
ส่วน “จิมบาโอริ” นั้น หน้าตาเป็นแบบนี้
ที่มา touken-world.jp
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไม ทากิ เซนซาบุโร่ (瀧善三郎) ถึงมีความผิดขนาดว่าต้องคว้านท้อง เรื่องนี้คือเหตุการณ์สำคัญอันหนึ่งที่เรียกว่า คดีโกเบ หรือ คดีบิเซ็น เรื่องมันมีอยู่ว่า ในช่วงสงครามโบชินเมื่อต้นปี พ.ศ. 2411 ขณะที่กองกำลังสองพันนายของบิเซ็น กะลาสีเรือชาวฝรั่งเศส 2 คนก็โผล่ออกมาจากอาคารใกล้เคียงและพยายามล้ำเส้น ทากิ เซนซาบุโร่ ที่คุมกองปืนใหญ่ที่สามยกหอกเข้าขวาง แต่เหมือนจะคุยกันไม่รู้เรื่อง กะลาสีฝรั่งเศสยังจะไปให้ได้เลยโดนเอาหอกแทงบาดเจ็บเล็กน้อย ลูกเรือฝรั่งเศสกลับเข้าไปในตึกแล้วดันพกปืนออกมาด้วย ทากิเห็นดังนั้นก็ตะโกนออกมาว่า “ปืน ปืน!” แล้วสั่งให้กองทหารยิง ยิงไปยิงไปมาจะยิงใส่คนต่างชาติที่มาดูที่ดินจะสร้างนิคมคนต่างชาติ จนกระสุนปลิวข้ามหัวไปโดนธงของพวกต่างชาติที่ด่านศุลกากรสมัยรัฐบาลโชกุนเก่า ปัญหาคือในหมู่คนต่างชาติที่กระสุนปลิวข้ามหัวนั้น ดันมีแฮร์รี สมิธ ปาร์กส์ ทูตอังกฤษ อยู่ด้วย กลายเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดว่าชาติมหาอำนาจตะวันตกเข้ายึดครองใจกลางเมืองโกเบ ทางการญี่ปุ่นพยายามเจรจาเรื่องนี้ ซึ่งพวกฝรั่งก็ได้ที บอกว่าเรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ…เรื่องก็เป็นเช่นนี้แหละครับ
ภาพวาดเหตุการณ์ที่ ทากิ เซนซาบุโร่ คว้านท้องตัวเอง (ที่มา japan-forward.com)
จากที่ได้กล่าวมานี้ ท่านผู้อ่านก็คงจะได้เห็นภาพที่ถูกต้องมากขึ้นว่า เซปปุกุ นั้น แทนที่จะเรียกว่า “ฆ่าตัวตาย” เอาจริงๆ ควรจะเรียกว่าเป็น “โทษประหาร” อย่างหนึ่งมากกว่า แม้ว่าในยุคสงครามนั้นจะเป็นการฆ่าตัวตายแบบที่เรียกว่า ยอมตาย (ซะตอนนี้) ดีกว่ายอมเป็นเชลย (ซึ่งยังไงก็ตายอยู่ดีแถมตายอย่างน่าอาย) เสียมากก็ตาม แต่ในสังคมวัฒนธรรมญี่ปุ่นโบราณมันก็ค่อยๆ กลายเป็น “โทษประหารชีวิต” อย่างหนึ่ง บวกกับค่านิยมประเพณีที่กำหนดว่า คุณจะต้องทำด้วยวิธีแบบนี้ๆ กลายเป็นแบบแผน เป็นขนบประเพณีไป มันมีเรื่องค่านิยมที่ว่า เกิดเป็นชายชาติทหาร ต้อง “แสดงสปิริต” ดังนั้นก็เคยคิดว่าการคว้านท้องนี่ล่ะ เป็นการ “แสดงสปิริต” ไปด้วย ดังเรื่องเล่าอีกเรื่องต่อไปนี้
สองพี่น้อง ซาคอนกับไนกิ อายุยี่สิบสี่และสิบเจ็ดปีตามลำดับ พยายามฆ่าอิเอยาสุเพื่อล้างแค้นให้กับการถูกประทุษร้ายของบิดา แต่ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปในค่ายได้ พวกเขาก็ถูกจับเป็นเชลยเสียก่อน จอมพลผู้เฒ่าชื่นชมความกล้าหาญของคนหนุ่มที่กล้าพยายามเอาชีวิตตน และสั่งให้พวกเขาได้รับอนุญาตให้ตายอย่างมีเกียรติ ฮาจิมาโระ น้องชายคนเล็กของพวกเขา ซึ่งมีอายุเพียง 8 ฤดูร้อน ถูกตัดสินให้ต้องโทษโดยมีชะตากรรมที่คล้ายคลึงกัน เมื่อมีการพิพากษาลงโทษสมาชิกชายทุกคนในครอบครัว และทั้งสามคนถูกนำตัวไปที่อารามที่จะถูกประหารชีวิต หมอที่อยู่ด้วยในโอกาสนี้ได้ฝากบันทึกประจำวันไว้ให้เรา ซึ่งฉากต่อไปนี้ได้แปลดังนี้
“เมื่อทุกคนนั่งเรียงกันเป็นแถวเพื่อจะถูกส่งตัวไปครั้งสุดท้าย ซาคอนหันไปหาน้องคนสุดท้องแล้วพูดว่า “เจ้าไปก่อน เพราะข้าอยากจะแน่ใจว่าเจ้าทำถูกต้องแล้ว” เมื่อเด็กน้อยตอบกลับไปว่า เขาไม่เคยเห็นคนแสดงการคว้านท้องให้ดูมาก่อน เขาจึงอยากเห็นพี่ๆ ทำก่อน แล้วค่อยตามพวกเขาไป พี่ชายยิ้มทั้งน้ำตา “พูดได้ดี เจ้าตัวเล็ก! เจ้าคุยได้แล้วว่าเจ้าเป็นลูกของพ่อของพวกเรา” เมื่อพวกเขาวางเขาไว้ระหว่างพวกเขา ซาคอนก็แทงกริชเข้าที่ท้องด้านซ้ายของตนแล้วถามว่า “ดูเถิด น้องพี่! ตอนนี้รู้แล้วหรือยัง? แค่ว่าอย่าดันกริชลึกจนเกินไป มิฉะนั้นจะหงายหลัง โน้มตัวไปข้างหน้าและเก็บเข่าให้นิ่ง” ไนกิก็ทำเช่นเดียวกันและพูดกับเด็กชายว่า “จงลืมตาไว้ ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจจะดูเหมือนผู้หญิงที่กำลังจะตาย หากกริชของเจ้ารู้สึกถึงสิ่งใดภายในและกำลังของเจ้าตกลง จงรวบรวมความกล้าและเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่าเพื่อตัดผ่าน” เด็กนั้นมองจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง และเมื่อทั้งสองหมดอายุแล้ว เขาก็เปลือยครึ่งท่อนอย่างสงบ แล้วทำตามตัวอย่างที่วางไว้แต่ละด้านนั้น”
สมัยก่อน ตอนผมเรียนสวนกุหลาบ เวลาอยู่ในกองเชียร์ (แปรอักษร) เวลาอยากจะดัน (จะเรียกว่ากดดัน หรือผลักดันดี?) ให้ใครทำอะไร พวกเราจะต้องตะโกนให้พร้อมกันว่า
สปิริต! สปิริต! สปิริต!
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าเกิดมาเป็นชายชาติซามูไร ถึงจะแค่แปดขวบ ก็ต้องแสดงสปิริต นะ
เพราะฉะนั้น มันคือโทษประหารชีวิต แต่ไม่ใช่ “แค่” โทษประหารชีวิต มันคือพื้นที่ที่ เมื่อคนเราเกิดเป็นชายชาติซามูไร ก็ต้องแสดงสปิริตด้วยการ “ตายอย่างมีเกียรติ” ไปด้วย
เกิดเป็นคนในสังคม ก็ต้องเล่นไปตามบทบาทหน้าที่ ที่สังคมกำหนดมา ที่จริงเรื่องนี้ยังโยงไปได้ถึงอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องของการ “ล้างแค้น” (คาตากิ-อุจิ) อย่างที่สำนวนกำลังภายในเขาว่า “บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ” นี่แหละครับ แต่วันนี้ว่ากันเรื่องคว้านท้องเสียยาวละ งั้นขอยกยอดไปโม้กันใหม่สัปดาห์หน้านะครับ สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (11) การควบคุมตนเอง
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (10) การศึกษาของซามูไร
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (9) ว่าด้วย ความภักดี (ชูงิ 忠義)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (8) ว่าด้วย เกียรติ (เมย์โยะ 名誉)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (7) ว่าด้วย ความมีสัจจะ (มาโคโตะ 誠)
#บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (12) ประเพณีการคว้านท้อง (เซปปุกุ 切腹)