คั่นรายการ โดย Lordofwar Nick
บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (11) การควบคุมตนเอง
สวัสดีครับ มาต่อกันนะครับ
วินัยแห่งความทรหดอดทน (fortitude) นั้น ในด้านหนึ่ง ปลูกฝังความอดทนโดยไม่คร่ำครวญ และการสอนเรื่องความนอบน้อม ในอีกด้านหนึ่ง มันเรียกร้องให้เราไม่ทำลายความเพลิดเพลินหรือความสงบสุขของผู้อื่น ด้วยการแสดงความโศกเศร้าหรือความเจ็บปวดของเราเอง ซึ่งประกอบเข้าด้วยกันเพื่อก่อให้เกิดการพลิกผันที่อดทนของจิตใจ และในที่สุดก็ทำให้มั่นคงเป็นลักษณะประจำชาติของลัทธิสโตอิกโดยภายนอก ข้าพเจ้าพูดว่าลัทธิสโตอิกโดยภายนอก เพราะข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าลัทธิสโตอิกแท้ๆ จะกลายมาเป็นลักษณะเฉพาะของทั้งชาติได้ และเนื่องจากมารยาทและขนบธรรมเนียมประจำชาติบางอย่างของเราอาจดูเหมือนจิตใจแข็งกระด้างสำหรับผู้สังเกตการณ์ชาวต่างชาติ แต่จริงๆ แล้ว เราอ่อนไหวต่ออารมณ์อันละเอียดอ่อนพอๆ กับเผ่าพันธุ์ใดๆ ใต้ท้องฟ้า
เอาตรงๆ นะ ในขณะที่ความมีวินัย ความอดทนนั้น โดยตัวมันเองเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมนะครับ แต่บางทีผมก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า การตีความและการประยุกต์ใช้ (ในการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน) ของคนญี่ปุ่นนั้น มัน “สุดโต่ง” และ “ไม่แยกแยะ” เกินไปรึเปล่า? ดังข้อความที่ผมจะยกมาเป็นตัวอย่างต่อไปนี้
ถือว่าเป็นการไม่สมชาย (unmanly) สำหรับซามูไรที่จะแพร่งพรายอารมณ์ต่างๆ บนใบหน้าของตนเอง “เขาไม่แสดงท่าทียินดีหรือโกรธ” เป็นวลีที่ใช้อธิบายลักษณะที่เข้มแข็ง ความรักใคร่ที่เป็นธรรมชาติที่สุดถูกควบคุมไว้ พ่อจะโอบกอดลูกชายได้ก็ต่อเมื่อต้องยอมเสียศักดิ์ศรีเท่านั้น สามีจะไม่จูบภรรยาของเขา ไม่ ไม่ใช่ต่อหน้าคนอื่น ไม่ว่าเขาจะทำอาจจะทำในที่รโหฐานหรือไม่ก็ตาม! อาจมีความจริงบางอย่างในคำพูดของเยาวชนผู้มีไหวพริบ เมื่อเขากล่าวว่า “สามีชาวอเมริกันจูบภรรยาในที่สาธารณะและทุบตีภรรยาในที่ส่วนตัว สามีชาวญี่ปุ่นทุบตีภรรยาในที่สาธารณะและจูบภรรยาในที่ส่วนตัว”
ความสงบเงียบแห่งกิริยา ความสงบเย็นแห่งจิตใจ ไม่ควรถูกรบกวนด้วยตัณหาใดๆ ข้าพเจ้าจำได้ว่าช่วงสงครามกับจีนที่ผ่านมา กองทหารหนึ่งออกจากเมืองแห่งหนึ่ง ผู้คนจำนวนมากแห่กันไปที่สถานีเพื่ออำลานายพลและกองทัพของเขา ในโอกาสนี้ ชาวอเมริกันคนหนึ่งเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้โดยคาดว่าจะได้เห็นการเดินขบวนเสียงดัง เนื่องจากทั้งประเทศเองก็ตื่นเต้นกันมาก มีพ่อ แม่ และคู่รักของทหารอยู่เป็นฝูง คนอเมริกันรู้สึกผิดหวังอย่างประหลาด เพราะในขณะที่เสียงนกหวีดดังขึ้นและรถไฟเริ่มเคลื่อนตัว หมวกของคนหลายพันคนก็ถูกถอดออกอย่างเงียบ ๆ และก้มศีรษะเพื่อแสดงความเคารพ ไม่มีการโบกผ้าเช็ดหน้า ไม่มีคำพูดใดๆ มีแต่ความเงียบอันลึกซึ่งมีเพียงหูที่ตั้งใจฟังเท่านั้นที่สามารถจับเสียงสะอื้นไห้ได้เล็กน้อย
ชีวิตในครัวเรือนก็เช่นกัน ข้าพเจ้ารู้จักพ่อคนหนึ่งที่ใช้เวลาทั้งคืนเพื่อฟังเสียงลมหายใจของลูกที่ป่วย โดยยืนอยู่หลังประตูเพื่อที่เขาจะไม่ถูกจับได้ว่ากระทำตนเป็นพ่อแม่ที่อ่อนแอ! ข้าพเจ้ารู้จักแม่คนหนึ่ง ซึ่งในวาระสุดท้ายของหล่อนไม่ยอมให้คนไปตามลูกชายของหล่อน เพื่อที่เขาจะไม่ถูกรบกวนในการศึกษาของเขา ประวัติศาสตร์และชีวิตประจำวันของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยตัวอย่างของแม่บ้านผู้กล้าหาญที่สามารถเปรียบเทียบกับเด็กรับใช้ที่น่าประทับใจที่สุดของพลูทาร์ก (นักประวัติศาสตร์และนักปรัชญาชาวโรมันเชื้อสายกรีก) ได้ ในบรรดาชาวนาของเรา เอียน แม็กลาเรนคงจะได้พบกับ มาร์เก็ต ฮาว หลายคนอย่างแน่นอน
มาถึงตรงนี้ พวก “สมัยใหม่” บางคน (รวมถึงพวกเฟมินิสต์ เฟมทวิต) อาจจะจีบปากจีบคอ บอกว่า เนี่ย เนี่ย เนี่ยแหละ ความเป็นลูกผู้ชายที่เป็นพิษ Toxic Masculinity ล่ะ ผมไม่ขอให้ราคากับวาทกรรมเฮงซวยที่เป้าหมายคือการทำลายรากฐานทางสังคมอันดี (คือการที่คนเราต้องเรียนรู้ที่จะอดทน เข้มแข็ง) และคิดจะเอา “วิถีของคนขี้แพ้” มาเป็นกระแสหลักในสังคม (เป้าหมายสุดท้ายคือทำให้อ่อนแอเพื่อครอบงำ) จริงอยู่ ที่ผมไม่เห็นด้วยกับการตีความหรือการประยุกต์ใช้หลักคุณธรรมข้อนี้อย่าง “สุดโต่ง” จนดูเหมือน “ไม่แยกแยะ” ในบางกรณี เช่นกรณีพ่อกับลูก (เพราะผมเชื่อว่าเราต้องทำให้ลูกรู้ว่าเรารักเขา) หรือแม่กับลูก (เราควรเปิดโอกาศให้ลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวที) แต่ผมก็ไม่โอเคกับการที่จะหยิบเอาความไม่ดีที่เกิดเพราะการที่สุดโต่งเกินไปในบางกรณี มาใช้เป็นข้ออ้างเพื่อทำลายความดีของหลักคุณธรรมนั้นๆ โดยสิ้นเชิง
ชีวิตทุกคนย่อมมีความเครียด ปัญหาสังคมที่เป็นอยู่ ไม่ใช่เพราะมีความเครียด แต่เพราะไม่รู้จักหนทางที่จะบริหารจัดการความเครียด หรือพูดให้กว้างกว่านี้ การบริหารจัดการ “จิต” ของตนเอง ต่างหาก แล้วก็โทษนั่น โทษนี่ โทษสังคม ครอบครัว โรงเรียน การเมือง รัฐบาล ฯลฯ โทษทุกอย่างที่อยู่นอกตัวเอง แต่ไม่เคยจะเหลียวมาสำรวจข้างในของตัวเองเลย ช่างน่าสมเพชเสียจริง
พูดถึงเรื่องที่ว่า ทำไมคนญี่ปุ่นถึงเห็นว่า การไม่แสดงอารมณ์อย่างเปิดเผยจึงเป็นเรื่องดี ข้อนี้ผมมองว่า มันคงเป็นเพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เล็กแคบ สังคมที่อยู่กันในขอบเขตแคบๆ เช่นแค่ในหมู่บ้าน มีความเป็นสังคมรวมหมู่สูงนั้น เป็นสังคมที่หา “ความเป็นส่วนตัว” ได้ยาก พูดอะไรไปเขาก็ได้ยินกันหมด เอะอะมากไปก็กระทบกระทั่งกับคนอื่นเอาได้ง่ายๆ บวกกับสภาพสังคมชนชั้น ที่คนชั้นล่างต้องพินอบพิเทาคนชั้นสูงกว่า แบบอย่างชาวนากับซามูไร เพราะถ้าพูดหรือทำกิริยาอะไรขัดหูขัดตาท่าน ท่านอาจชักดาบฟันเอาได้ง่ายๆ
นี่ก็เลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมภาษาญี่ปุ่นถึงต้องมีคำสุภาพใช้อย่างฟุ่มเฟือย และต้องไม่พยายามจะแสดงอารมณ์ลบๆ จำพวกโกรธหรือผิดหวังเสียใจโดยเฉพาะกับคนที่สถานะสูงกว่า แล้วทำไมคนอเมริกันรักเสรีภาพและความเป็นปัจเจกชน? ก็คงเพราะเขาอยู่ในที่ที่กว้างใหญ่โดดเดี่ยวสุดลูกหูลูกหา ประเภทบ้านหลังเดียวโด่ๆ กับไร่ข้าวโพดละมัง ภูมิอากาศภูมิประเทศนี่หละที่มีส่วนกำหนดนิสัยใจคอและวัฒนธรรมของชนชาตินั้นๆ แต่ผมขอพักการอภิปรายไว้แค่นี้ก่อนนะครับ
มีคำพูดชวนให้คิดว่าความอดทนต่อความเจ็บปวดและการไม่แยแสต่อความตายของเรานั้น เกิดจากเส้นประสาทที่ไวน้อยกว่า ข้อนี้ฟังดูมีเหตุผลพอฟังได้อยู่ คำถามต่อไปคือ ทำไมเส้นประสาทของพวกเราจึงตึงน้อยกว่า? อาจเป็นเพราะสภาพอากาศของเราไม่เร้าอารมณ์เท่าของชาวอเมริกัน อาจเป็นเพราะรูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของเราไม่ได้ทำให้เราตื่นเต้นมากเท่ากับที่สาธารณรัฐทำกับชาวฝรั่งเศส อาจเป็นเพราะเราไม่ได้อ่านนิยายเรื่อง Sartor Resartus (เขียนโดยโธมัส คาร์ไลล์) อย่างกระตือรือร้นเท่าคนอังกฤษ โดยส่วนตัวแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่ามันเป็นความตื่นตระหนกและความอ่อนไหวของเราต่างหาก ที่ทำให้เราจำเป็นต้องสำนักและบังคับใช้การข่มอารมณ์ตนเองอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าอะไรจะเป็นคำอธิบายก็ตาม หากไม่นำเอาวินัยในการควบคุมตนเองเป็นเวลานานหลายปีมาคำนึง ก็ไม่มีอันไหนถูกต้องได้
วินัยในการควบคุมตนเองอาจไปไกลเกินได้อย่างง่ายดาย มันอาจข่มกระแสอันเบิกบานของจิตวิญญาณได้เป็นอย่างดี มันอาจบังคับธรรมชาติอันว่าง่ายให้เป็นความบิดเบี้ยวและโหดร้ายได้ อาจก่อให้เกิดความดันทุรังเพาะเลี้ยงความหน้าซื่อใจคด หรือความรักใคร่แบบทึ่มทื่อ จงมีคุณธรรมอย่าให้สูงส่งไปนัก มันมีทั้งของเทียมและของปลอม เราต้องสำนึกถึงความเป็นเลิศเชิงบวกของตัวเองในคุณธรรมแต่ละประการ และปฏิบัติตามอุดมคติเชิงบวกของมัน และอุดมคติของการยับยั้งชั่งใจตนเองคือการรักษาระดับจิตใจของเรา ดังที่การแสดงออกของเราเป็น หรือยืมคำภาษากรีกที่ว่า ได้มาซึ่งสภาวะ euthymia (ความดีใจ อารมณ์ดี ปลอดโปร่ง) ซึ่ง Democritus (นักปราชญ์กรีกโบราณยุคก่อนโสกราตีส) เรียกว่าความดีอันสูงสุด จุดสุดยอดของการควบคุมตนเองนั้นถึงและแสดงให้เห็นภาพได้ดีที่สุดในขนบประเพณีอย่างแรกในสองอย่างซึ่งเราจะนำมาพิจารณาในตอนนี้ ซึ่งเรียกว่า ขนบประเพณีของการฆ่าตัวตายและการปลดเปลื้อง (the Institution of Suicide and Redress) ซึ่ง (อย่างแรกเรียกว่าฮาราคีรี และอย่างหลังเรียกว่าคาตากิ-อุจิ (敵討ち การล้างแค้นเพื่อคุณธรรม) นักเขียนชาวต่างชาติจำนวนมากได้บรรยายแล้วอย่างเต็มที่ไม่มากก็น้อย
แดโมกรีโตส (ที่มา wikipedia)
ก่อนที่จะจบเนื้อหาของอาทิตย์นี้เพื่อไปสู่เนื้อหาของอาทิตย์ถัดไป ผมขออภิปรายอะไรสักอย่าง
ผมมีสิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกท่านผู้อ่านให้ได้คิด
การเดินตามศีลธรรม คุณธรรม ที่เป็นอุดมคตินั้น เป็นสิ่งที่ดี เมื่อเราเข้าใจความหมาย วัตถุประสงค์ที่แท้ว่า เราจะทำไปเพื่ออะไร
แต่เราก็ต้องระลึกถึงความเป็นจริงไว้เสมอว่า ไม่มีสิ่งใดหรือใครที่สมบูรณ์แบบ คนเราย่อมมีข้อบกพร่องเสมอ
สิ่งใดที่ถึงขีดสุดย่อมพลิกกลับ ยารักษาโรคกินมากไปกลายเป็นยาพิษฉันใด การที่พยายามจะเดินตามอุดมคติมากไปจน “ฝืน” สิ่งที่คิดว่าทำเพื่อความดี อาจกลายเป็นความเลวได้ ฉะนั้นทำตามอุดมคติ เท่าที่ยังอยู่ในระดับที่ “ทำแล้วสุขใจ ปลอดโปร่งใจ” ดีกว่า หากบังคับตีกรอบ เดินตามทางอย่างเถรตรงเกินไปจนจิตใจขุ่นมัว อันนั้นมันก็ไม่ใช่แล้ว นี่พูดจากที่เคยอ่านหนังสืออ่านการ์ตูนเจอมาแล้วได้คิด รวมถึงชีวิตของตัวเองด้วย ผมพยายามตั้งตนให้อยู่ในวินัย ซ้อมบีเจเจให้ได้สัปดาห์ละสี่ครั้งเป็นอย่างน้อย แต่ก็ต้องคอยสำรวจจิตใจตัวเองด้วย ว่าอย่าให้อยู่ในจุดที่จะขุ่นมัวเกินไป รางกายไม่ใช่ว่าจะร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกวัน แต่วันไหนร่างกายไม่ค่อย ก็เคลื่อนไหวให้เบาๆ หย่อนไป (ไม่มีวินัย) ไม่ดี ตึงไป (จนฝืน) ก็ไม่ดี ทางสายกลางจึงจะดี แต่ทางสายกลางมันยาก เพราะต้องคิดต้องพิจารณาคอยปรับจูนคอยบริหาร คนจึงชอบสุดโต่งมากกว่าเพราะง่ายดีไม่ต้องคิดเยอะ
ก่อนนะจากกันวันนี้ พอดีคนแคปมาให้ผมดู ก็ต้องขออขอบคุณเพจ THE LIBRARY ที่เอาเรื่อง “วิถีเดินเดี่ยว” ไปเผยแพร่อีกต่อ ในฐานะคนเขียน รู้สึกใจฟูครับ ที่ปรัชญาแนวคิดของมูซาชิยังได้รับการต้อนรับในยุคสมัยเช่นนี้อยู่
อันนี้ก็ ฝากไว้ให้คิดนะครับ พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะครับสวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (10) การศึกษาของซามูไร
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (9) ว่าด้วย ความภักดี (ชูงิ 忠義)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (8) ว่าด้วย เกียรติ (เมย์โยะ 名誉)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (7) ว่าด้วย ความมีสัจจะ (มาโคโตะ 誠)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (6) ว่าด้วยความนอบน้อม (เรย์ 礼)
#บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (11) การควบคุมตนเอง