คั่นรายการ โดย Lordofwar Nick
บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (10) การศึกษาของซามูไร
เอ้า มากันเลยครับ มาอ่านกันเล้ย
ประเด็นแรกที่ต้องสังเกตในการสอนแบบอัศวินคือการสร้างอุปนิสัย โดยทิ้งความสามารถอันละเอียดอ่อนกว่าของความรอบคอบ เชาวน์ปัญญา และวิภาษวิธีไว้ในร่มเงา เราได้เห็นส่วนสำคัญในความสำเร็จด้านสุนทรียภาพในการศึกษาของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับคนที่มีวัฒนธรรม พวกมันเป็นเครื่องประดับมากกว่าสิ่งจำเป็นในการฝึกซามูไร แน่นอนว่าความเหนือกว่าด้านเชาวน์ปัญญานั้นได้รับการยกย่อง แต่คำว่า จิ (智) ซึ่งใช้เพื่อแสดงถึงความมีเชาวน์ปัญญา (intellectuality) นั้น เดิมที หมายถึงภูมิปัญญา (wisdom) และจัดวางความรู้ (knowledge) ไว้เฉพาะในที่รองลงมามากๆ เท่านั้น
ขาหยั่งที่รองรับโครงร่างของบูชิโดนั้นเรียกว่าจิ (智) จิน (仁) ยู (勇) คือ ภูมิปัญญา ความเมตตากรุณา และความกล้าหาญ ตามลำดับ ซามูไรนั้นโดยพื้นฐานแล้วเป็นพวกชอบลุยเลยไม่ต้องคิด (a man of action) วิทยาศาสตร์นั้นไม่มีอยู่แม้แต้น้อยนิดในกิจกรรมของเขาเลย เขาใช้ประโยชน์จากมันตราบเท่าที่มันเกี่ยวข้องกับวิชาชีพด้านอาวุธของเขา ศาสนาและเทววิทยาถูกผลักไสให้นักบวช เขาเอาตัวเองไปข้องเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นเพียงเท่าที่สิ่งเหล่านั้นช่วยหล่อเลี้ยงความกล้าหาญ เช่นเดียวกับกวีชาวอังกฤษ ซามูไรเชื่อว่า “ไม่ใช่บัญญัติศาสนาที่ช่วยมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ต่างหากที่พิสูจน์ความถูกต้องของบัญญัติศาสนา”
ปรัชญาและวรรณกรรมเป็นส่วนสำคัญของการฝึกอบรมทางปัญญาของเขา แต่ถึงแม้จะแสวงหาสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ใช่ความจริงเชิงวัตถุวิสัยที่เขาดิ้นรนให้ได้มา วรรณกรรมถูกแสวงหาในฐานะสิ่งบันเทิงเพื่อฆ่าเวลาเสียมาก ส่วนปรัชญานั้นก็ถูกแสวงหาในฐานะตัวช่วยในทางปฏิบัติในการสร้างอุปนิสัย หากไม่ใช่เพื่อการอธิบายปัญหาทางการทหารหรือการเมืองบางอย่าง
จากที่ได้กล่าวมา จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะสังเกตได้ว่า หลักสูตรการศึกษาตามหลักการสอนของบูชิโดจะประกอบด้วยหลักสูตรต่างๆ ดังต่อไปนี้เป็นหลัก อาทิ การฟันดาบ การยิงธนู ยิวยิวสู (柔術) หรือยะวาระ (柔) การขี่ม้า การใช้หอก ยุทธวิธี การคัดตัวอักษรด้วยพู่กัน จริยธรรม วรรณคดีและประวัติศาสตร์ ในหมู่นี้ ยิวยิตสูและการคัดตัวอักษรด้วยพู่กัน อาจต้องใช้คำอธิบายสักสองสามคำ ความเครียดอย่างมากเกิดขึ้นกับการเขียนที่ดี อาจเป็นเพราะตัวหนังสือคำ (logograms คือตัวหนังสือหนึ่งตัวเท่ากับคำหนึ่งคำอย่างอักษรจีน) มีส่วนเหมือนกับธรรมชาติของรูปภาพ มีคุณค่าทางศิลปะ และเพราะว่าการคัดตัวอักษรด้วยพู่กันนั้นเป็นที่ยอมรับว่าเป็นตัวบ่งชี้ถึงบุคลิกส่วนตัวของคนๆ หนึ่ง
ยิวยิตสูอาจนิยามโดยย่อว่าเป็นการประยุกต์ใช้ความรู้ทางกายวิภาคเพื่อจุดประสงค์ในการบุกหรือป้องกัน มันแตกต่างจากมวยปล้ำตรงที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ มันแตกต่างจากการโจมตีรูปแบบอื่นตรงที่ไม่ใช้อาวุธ ความดีของมันคือการจับหรือตีใส่ส่วนต่างๆ ของร่างกายศัตรู ซึ่งจะทำให้ศัตรูชาและไม่สามารถต้านทานได้ เป้าหมายของมันไม่ใช่เพื่อฆ่า แต่เพื่อทำให้ไร้ความสามารถสำหรับการกระทำในขณะนั้น
โอ้โฮเฮะ ยูยิตสูก็มาครับผม (ฮา)
เอาจริงๆ ถ้าผมเรียนขี่ม้า ยิงธนู แทงหอกด้วยนี่ ผมเป็นซามูไรได้แล้วนะ (ฮา) เพราะอย่างอื่นก็เรียนมาหมดแล้ว (ฮา)
ถ้าท่านผู้อ่านท่านใดติดตามอ่านที่ผมเขียนรายสัปดาห์มาแต่แรกเลยคือปลายปี 2020 ที่ผมเขียนถึงชีวิตการไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ที่จริงเทอมแรกผมยังไม่มีไรทำ ผมไปเข้าคลาสคัดพู่กัน (โฉะโด 書道) ที่มหาลัยด้วยนะขอบอก
ลัทธิอัศวินไม่ใช่สิ่งแสวงกำไร มันอวดโอ่ความจน เวนติดิอุส (นายพลโรมันที่เป็นเด็กในอุปถัมป์ของซีซาร์) “ความทะเยอทะยาน คุณธรรมของทหาร ยอมเลือกการขาดทุน มากกว่ากำไรซึ่งทำให้เขามัวหมอง” ดอน กิโฆเต้ภาคภูมิใจในหอกขึ้นสนิมและม้าผอมหนังหุ้มกระดูกของเขามากกว่าทองคำและดินแดน และซามูไรก็มีความเห็นอกเห็นใจอย่างสุดหัวใจกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์แห่ง La Mancha ที่ออกจากเกินจริงไปมาก เขาดูหมิ่นเงิน ศิลปะแห่งการทำเงินหรือกักตุนเงิน สำหรับเขามันเป็นกำไรอันโสมมจริงๆ
สำนวนเก่าแก่สำหรับพรรณนาความเสื่อมของยุคสมัยคือ “พลเรือนรักเงินและทหารกลัวความตาย” ความตระหนี่ซึ่งทองคำและความตื่นเต้นในชีวิต ได้รับการสรรเสริญพอๆ กับความไม่พอใจในการใช้พวกมันอย่างฟุ่มเฟือย “น้อยกว่าสิ่งอื่นใด” ศีลยุคปัจจุบันกล่าว “มนุษย์ต้องแค้นใจกับเงิน เพราะความร่ำรวยนั่นเองที่ปัญญาถูกขัดขวาง”
ดังนั้นเด็กๆ จึงถูกเลี้ยงดูมาโดยไม่สนใจเศรษฐกิจเลย การพูดถึงมันถือเป็นเรื่องใฝ่ต่ำ และความไม่รู้ถึงมูลค่าของเหรียญที่แตกต่างกันเป็นสัญญาณของการถูกเลี้ยงดูมาดี ความรู้เรื่องตัวเลขเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการรวบรวมกำลัง เช่นเดียวกับในการแจกจ่ายผลประโยชน์และศักดินา แต่การนับเงินกลับกลายเป็นหน้าที่ของคนชั้นต่ำกว่า ในระบบศักดินาหลายแห่ง การเงินสาธารณะนั้นบริหารงานโดยซามูไรชนิดที่ต่ำกว่าหรือโดยนักบวช บูชิทุกคนที่รู้จักคิด รู้ดีพอว่าเงินเป็นแหล่งกำลังวังชาของสงคราม แต่กลับไม่คิดที่จะยกเอาการสำนึกบุญคุณของเงินขึ้นมาเป็นคุณธรรม
เป็นเรื่องจริงที่บูชิโดกำชับให้มัธยัสถ์ แต่ไม่ใช่ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจเท่ากับที่เพื่อเป็นการบังคับใจตนเอง ความหรูหราฟุ่มเฟือยถือเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อความเป็นลูกผู้ชาย และความเรียบง่ายที่เคร่งครัดที่สุดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชนชั้นนักรบ กฎหมายป้องกันความฟุ่มเฟือยนั้นถูกบังคับใช้ในหลายวงศ์ตระกูล
อืม
ผมขออภิปราย ถึงเรื่องของอุดมคติ (อุดมการณ์) กับความเป็นจริง นะครับ
มันใช่ ที่เราต้องยับยั้งชั่งใจ ระวังความโลภ เพราะความโลภ ทำให้คนเสียคุณธรรม และบางครั้งก็ทำให้ชีวิตฉิบหายได้ ทุกวันนี้ก็ยังมีข่าวคนโดนหลอกโดยเอาความโลภมาเป็นตัวล่อ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พวกหลอกลวงคนไปทำงานรายได้ดีแล้วเอาไปกักขังทำงานคอลเซนเตอร์ จึงยังมีอยู่ในทุกวันนี้
แต่การตีกรอบคุณธรรมให้คนเดินตาม จะทำได้สักเท่าไหร่ ในยุคสมัยที่ “ทุนนิยมครองโลก” เพราะความอยากได้ อยากมี มันมีอยู่แล้วในใจคน และพอได้ลิ้มรสความสุขในการได้บริโภคแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจ และก็อยากจะแสวงหาเงินตราให้มันมากๆ ยิ่งๆ ขึ้นไป แต่ในขณะที่มันอาจจะดีกับปัจเจกบุคคล มันก่อให้เกิดอะไรกับโลกบ้าง?
การผลิตสินค้าเกษตร “เพื่อขาย” ทำให้เกิดการหักล้างถางพงมากมาย ไม่นับการใช้ยาฆ่าแมลง เราอยู่ในยุคที่มีอาหารกินเยอะขึ้นมากๆ ซึ่งเราย่อมชอบใจ แต่ในอีกด้านมันก็นำพาอะไรที่ไม่ดีๆ มามากมาย อุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม กินมากไปทำให้อ้วนและเกิด “โรคคนรวย” กันถ้วนทั่วแม้จะไม่รวย!
ทุนนิยม-บริโภคนิยม สอนให้เรารู้จักความสุขของการได้บริโภค พร้อมกับชี้มือไปด้วยว่า ถ้าจะสุขมากๆ ต้องหาเงินมาซื้อแล้วก็บริโภคมากๆ เกิดแนวคิดที่ว่าคนเรานั้น “ทำอะไรก็ได้เพื่อเงิน” ก่อให้เกิดอะไรขึ้นหลายอย่างในโลกนี้ไล่ตั้งแต่คอนเทนต์ขยะเรียกยอดวิวยอดไลค์ จนถึงแผนการสร้างโรคเพื่อจะได้ขายยา!
ผมไม่ได้ต่อต้านทุนนิยม เพราะต่อต้านไม่ได้ ๑ และก็ไม่ได้เห็นว่ามันเลวไม่มีดีจนต้องต่อต้านไปเสียทั้งหมด ๑ และใครก็ตามที่ชอบปั่นว่า ให้โค่นล้มนายทุน โค่นล้มผู้มีอำนาจ บลาๆ อันเป็นการโน้มนำไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์และการทำลายรากฐานของสังคมนั้น ควรจะไปดูว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเขมรกับการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน ได้ทิ้งอะไรเอาไว้บ้าง? มันเป็นเรื่องโง่เง่าสิ้นดีที่เราจะไม่ยอมรับในสิ่งที่มีอยู่ คลั่งแค้น และคิดแต่จะทำลาย ในขณะที่หนทางที่ดีกว่า คือคิดทางที่ “เป็นไปได้” ที่จะแก้ไขอะไรๆ ที่มันอาจจะเลยเถิดไป ให้กลับมาอยู่ในจุดที่ “พอดี” (optimal) ได้ โดยไม่จำเป็นต้องทำลายแบบขุดรากถอนโคน
ถ้าลัทธิทุนนิยมใช้ประโยชน์จาก “ความโลภ” ในการขยายตัว (ว่าถ้าเดินตามแนวพี่ ชีวิตดี๊ดีแน่นอน ถ้าประสบความสำเร็จ จะได้กินหรูอยู่แพง เสพสุขวาสนาไม่สิ้น) ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็ใช้ประโยชน์จาก “ความโกรธ” และ “ความหลง” (ความเขลา) ในการขยายตัวเช่นกัน (โดยปลุกปั่นให้คนพาลคิดว่า ตัวเองถูกเอาเปรียบ ไม่ได้ความเป็นธรรม อดอยากยากแค้น ต้องฆ่าพวกคนที่เขารวย เขามีความสุขมากกว่าพวกเราซะ โดยหลงคิดไปว่า ทำแบบนี้แล้วจะสร้างสังคมอุดมคติได้) ฉะนั้นจึงเลวทั้งคู่
แต่เราก็ต้องยอมรับว่าในตัวคนเรามีความเลวที่ว่ามานี้ครบทุกข้อในจิตใจ
แต่สำคัญคือ เราจะ ควบคุมตนเอง สำรวจกาย วาจา ใจ มีความละอายต่อการทำผิดทำร้ายผู้อื่น มากแค่ไหน สิ่งนี้แหละ คือตัวตัดสินอนาคตของโลก ถ้าคนส่วนใหญ่ เรียนรู้การควบคุมตนเอง ให้อยู่ในจุดที่ “พอดี” ได้ โลกก็ยังอยู่ได้ ถ้าไม่ โลกนี้ก็รอวันฉิบหายได้เลย
นี่ผมพูดเปิดไปสู่หัวข้อในสัปดาห์หน้าแล้วนะ อิอิ
ระเบียบวินัยทางจิตซึ่งทุกวันนี้ได้รับความช่วยเหลือเป็นส่วนใหญ่จากการศึกษาคณิตศาสตร์ ได้รับการจัดหาด้วยการอรรถกถาทางวรรณกรรมและการอภิปรายด้านกรณียธรรม วิชาเชิงนามธรรมเพียงไม่กี่วิชาเท่านั้นที่ทำให้จิตใจของเด็กหนุ่มลำบาก จุดมุ่งหมายหลักของการศึกษาของพวกเขา ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปแล้ว คือการกำหนดอุปนิสัย (decision of character) คนที่จิตใจเก็บไว้เพียงแค่ข้อมูล ไม่พบผู้ชื่นชมมากนัก การรับใช้สามอย่างของการศึกษาที่ Bacon (Francis Bacon รัฐบุรุษและนักเขียนชาวอังกฤษ) ให้ไว้นั้นคือ เพื่อความสุขใจ เพื่อประดับ และเพื่อความสามารถ
บูชิโดได้ตัดสินใจว่าจะเลือกการรับใช้ข้อสุดท้ายมากกว่า โดยที่ของการใช้สิ่งเหล่านี้คือ “ในการตัดสินและการจัดการกิจธุระ” ไม่ว่าจะเพื่อการดำเนินกิจสาธารณะหรือเพื่อควบคุมตนเอง มันต้องมีจุดหมายในทางปฏิบัติในมุมมองที่ว่าการศึกษานั้นถูกจัดการ (เพื่อสิ่งนั้น) “การเรียนโดยปราศจากความคิด” ขงจื๊อกล่าว “เป็นการเสียแรงเปล่า ความคิดที่ปราศจากการเรียนนั้นเป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยอันตราย”
ฟรานซิส เบคอน (ที่มา wikipedia)
ซามูไรญี่ปุ่น เรียนเพื่อ อบรมบ่มนิสัย ให้รู้จักคิด สามารถทำกิจต่างๆ ตามวิชาชีพของตนได้
ฝรั่งตะวันตก เรียนเพื่อ ให้มีความรู้ความสามารถ ให้สุขใจ ให้เป็นอาภรณ์ประดับ
คนไทย เรียนเพื่อ “ให้เป็นเจ้าคนนายคน”…
…คือไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหรือยกระดับความคิดจิตใจตนเองเลย หวังแต่ผลลัพธ์อันเป็นเปลือกนอกเท่านั้น…
ระดับความคิดอ่านที่ตื้นเขินหรือลุ่มลึก เป็นเครื่องชี้บ่งว่า ชนชาตินั้นจะเจริญก้าวหน้า หรือด้อยพัฒนา
น่าสมเพช ที่พวกที่เรียกตัวเองว่า “คนรุ่นใหม่” แทนที่จะคิดเอง ทบทวนเอง ถึงคุณค่าและความหมายที่แท้ของการศึกษา แล้วก็ขวนขวาย พยายามในสิ่งที่ทำได้ด้วยสองมือตัวเองเพื่อพัฒนาตนเอง แต่กลับไปชูป้าย ร้องแรกเหอกระเฌอ บอกให้คนนั้นคนนี้เปลี่ยนแปลงไอ้นั่นไอ้โน่นไอ้นี่ ให้มันถูกจริตตัวเอง
คนที่แน่จริง เขาไม่เที่ยวเรียกร้องให้คนอื่นเปลี่ยนอะไรๆ ให้ตัวเองหรอก คนที่แน่จริง คือคนที่พัฒนาตัวเองขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องสนขีดจำกัดใดๆ ต่างหาก แต่ก็อย่างว่า มีแต่ความรู้แต่ไม่มีความคิด ไม่รู้จักคิด มันก็แค่นั้น และถ้ายิ่งความรู้ก็ไม่มีหรือมีแค่ครึ่งๆ กลางๆ แล้วยังไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักควบคุม ตรวจสอบตัวเองแล้วด้วยเนี่ย ยิ่งทุเรศสิ้นคนเข้าไปใหญ่ เป็นได้แค่จอกแหนถูกพัดไปตามกระแสเพื่อสนองแผนการของคนบางกลุ่มบางจำพวก (ซึ่งคิดร้ายทำลายชาติ) เท่านั้นเอง
เมื่อใดที่อุปนิสัยต่างหากไม่ใช่เชาวน์ปัญญา จิตวิญญาณต่างหากไม่ใช่หัว นั้นถูกเลือกโดยครู เพื่อเป็นวัตถุที่จะทำงานและพัฒนา อาชีวะของเขานั้นจะมีส่วนที่เป็นคุณลักษณะอันศักดิ์สิทธิ์ “พ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดฉัน ครูคือผู้ที่ทำให้ฉันเป็นมนุษย์” ด้วยความคิดนี้เอง จึงมีความเคารพนับถือโดยยกครูบาอาจารย์ไว้สูงมาก คนผู้เรียกปลุกความมั่นใจและความเคารพจากเด็กนั้น จำเป็นต้องมีบุคลิกที่เหนือกว่าโดยไม่ขาดความคงแก่เรียน เขาเป็นพ่อแก่เด็กที่ไม่มีพ่อ และเป็นที่ปรึกษาแก่ผู้หลงผิด “บิดาและมารดาของเจ้า” ดังในคติพจน์ของเรา “เป็นเหมือนสวรรค์และโลก อาจารย์และเจ้านายของเจ้าเป็นเหมือนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์”
ระบบการจ่ายค่าบริการทุกประเภทในยุคปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้เลื่อมใสในบูชิโด ซึ่งเชื่อในบริการที่สามารถให้บริการได้ต่อเมื่อไม่มี (เรื่องของ) เงินหรือราคา (เข้ามาเกี่ยวข้อง) การบริการทางจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นของพระสงฆ์หรือครูอาจารย์ จะต้องไม่ตอบแทนเป็นทองคำหรือเงิน ไม่ใช่เพราะมันไม่มีราคาค่างวด (valueless) แต่เพราะมันประมาณค่ามิได้ (invaluable) ต่างหาก ในที่นี้ สัญชาตญาณในเกียรติ อันไม่คิดเป็นตัวเลขของบูชิโดนั้น ได้สอนบทเรียนที่แท้จริงยิ่งกว่าเศรษฐกิจการเมืองสมัยใหม่ ซึ่งค่าจ้างและเงินเดือนจะจ่ายให้ได้กับเฉพาะบริการที่มีผลลัพธ์ที่มีขอบเขตแน่นอน จับต้องได้ และวัดค่าได้เท่านั้น ในขณะที่บริการที่ดีที่สุดที่ทำในการศึกษา
กล่าวคือ ในการพัฒนาจิตวิญญาณ (ซึ่งรวมถึงบริการของพระด้วย) ไม่ใช่สิ่งที่มีขอบเขตแน่นอน จับต้องได้ และวัดค่าได้ ด้วยความที่วัดค่าไม่ได้ เงิน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดมูลค่าที่เห็นได้ชัดเจน จึงไม่ดีพอที่จะใช้ การใช้ที่ได้รับอนุมัติ ที่ลูกศิษย์นำเงินหรือสิ่งของไปให้ครูในฤดูกาลต่างๆ ของปีนั้น สิ่งเหล่านี้มิใช่การจ่ายเงินแต่เป็นเครื่องบูชา ซึ่งผู้รับยินดีต้อนรับอย่างแท้จริง เนื่องจากพวกเขามักเป็นคนมีขนาดของปัญญาอันน่าเกรงขาม อวดโอ่ความยากจนอย่างมีเกียรติ ถือศักดิ์ศรีมากเกินกว่าจะทำงานใช้แรงกาย และหยิ่งทะนงเกินกว่าจะขอทาน พวกเขาเป็นบุคลาธิษฐานที่แรงกล้าของจิตวิญญาณสูงส่งที่ไม่สะทกสะท้านกับความความทุกข์ยาก พวกเขาเป็นการแสดงให้เห็นเป็นรูปร่างของสิ่งที่ถือเป็นปลายทางของการเรียนรู้ทั้งหมด และด้วยเหตุนี้จึงเป็นตัวอย่างที่มีชีวิตของวินัยในหมู่วินัยทั้งหลายนั้น คือ การควบคุมตนเอง (Self-control) ซึ่งเป็นสิ่งที่ซามูไรต้องมีโดยทั่วกัน
ก่อนที่เราจะจากกันวันนี้ ผมขอนิดนึง
ผมเคยได้ยินคำจากอาจารย์ท่านหนึ่งใน ม.เอกชนแห่งหนึ่ง เกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อไอ้ข้อบังคับมากมายหลายหลาก งานประกันคุณภาพ เคพีไอ ฯลฯ ซึ่งอาจารย์ท่านนั้นพูดว่ามันเป็นการ “ทำครูให้เป็นพนักงานออฟฟิศ ทำครูให้ไม่เป็นครู”
การพยายามเอา “ตัวเลข” มาใช้ตีราคา “สิ่งที่ไม่น่าจะตีค่าเป็นตัวเลขได้” มันไม่เป็นการฝืนธรรมชาติไปหน่อยหรือ? ไอ้งานประกันคุณภาพ เคพีไอ นี่แหละ มันคงจะทำให้เวลาในการทำงานเป็นครู ต้องหมดไปกับกองเอกสาร แล้วเวลาที่จะให้คำปรึกษานักเรียนนักศึกษาล่ะ? แล้วหน้าที่ความเป็นครูมันมีอยู่เพื่ออะไร?
ไม่นับวิธีการวัดผลนักเรียนที่ให้ราคาแค่ “ความรู้” คือตอบข้อสอบได้ (เพราะมันวัดคะแนนได้) โดยไม่ต้องสนใจความคิดหรือทัศนคติ ใดๆ เลย มิน่าล่ะ ประเทศนี้ถึงเต็มไปด้วยคนที่เข้าโรงเรียน แต่หา “คนมีการศึกษา” (คือมีทั้งความรู้และความคิด) ได้น้อยนิดมากๆ
บางทีผมก็อยากให้มีคนมาอ่าน “บูชิโด” ตอนนี้กันเยอะๆ หน่อยแล้วก็เอาไปขบคิดให้มากๆ หน่อยว่า สังคมเราประเทศเราตอนนี้มันอยู่ตรงจุดไหน แล้วจะไปทางไหนต่อ? หากยังไม่มีความตระหนัก ว่าสิ่งที่ทำๆ อยู่ มันอาจผิดพลาด เหลวไหลไร้แก่นสารทั้งเพเลยก็ได้ เราก็อาจจะต้อง หาทางแก้ไขกันไปในเมื่อเรารู้แล้วว่าอะไรคือหนทางที่ถูกที่ควร
สำคัญคือ กล้าทำหรือเปล่า?
ที่สำคัญคือ ทุกวันนี้จะมีใครกล้าพอที่จะ “ยากจนอย่างมีเกียรติ” หรือเปล่า ครูจบราชภัฎเห็นไอ้หนุ่มนายร้อยเอารถมาส่งครูสาว เลยว่าจะไปกู้เงินสหกรณ์ผ่อนรถยนต์…(อันนี้ผมพูดลอยๆ จากเนื้อเพลง “มอเตอร์ไซค์ฮ่าง” เท่านั้นเองนะ)
เอาล่ะครับ คราวหน้าก็จะขอนำเสนอเนื้อหาที่น่าจะมีประโยชน์มากๆ สำหรับยุคสมัยนี้ ไม่ว่าอะไรๆ ในยุคสมัยนี้มันจะ bullshit แค่ไหน ขอเพียงท่านผู้อ่าน มีสติอยู่กับตัวเองได้ เราคงรอดชีวิตไปและมีชีวิตที่ดีตามอัตภาพได้ ผมเชื่ออย่างนั้น
พบกันใหม่คราวหน้าสวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (9) ว่าด้วย ความภักดี (ชูงิ 忠義)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (8) ว่าด้วย เกียรติ (เมย์โยะ 名誉)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (7) ว่าด้วย ความมีสัจจะ (มาโคโตะ 誠)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (6) ว่าด้วยความนอบน้อม (เรย์ 礼)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (5) ว่าด้วย ความเมตตากรุณา (จิน 仁)
#บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (10) การศึกษาของซามูไร