ผมจำได้ดีว่าผมรู้สึกร่างกายที่ส่วนใหญ่เป็นธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจนแท้ๆ มันเหมือนเปลี่ยนเป็นตะกั่ว… ผมรู้สึกหนักไปทั้งตัว… ราวกับมีวิญญาณแห่งความบาป มาขี่คอผมอยู่ และจู่ๆ คงมีผีปิศาจเสก เสกให้ผมเห็นภาพลวงตา ผมไม่เห็นเก้าอี้ กระดานหรือหลอดไฟเลย… ผมเห็นเหมือนมีลานประหาร อยู่กลางพายุเปลวเพลิง อยู่ด้านหน้า
คุณเคยดูหนังสยองขวัญพวก Conjuring Insidious หรือ Annabelle ไหม…
หนังผีพวกนี้โดยทั่วไปมันจะไม่ได้ให้ผีปิศาจมีพลังทางกายภาพมากนัก ที่จริงมันไม่มีพลังพอที่จะหยิบมีดแทงคนหรือพลักคนตกตึกได้ด้วยซ้ำ แต่มันจะใช้วิธี เริ่มจากหลอกหลอน ตามด้วยทำให้เป้าหมายหวาดกลัว ต่อไปจะทำให้เราจิตตก ผวา… และท้ายสุดมันจะครอบครองจิตใจของเป้าหมายนั่น…
มีหัวหน้าญี่ปุ่นคุณ N ผมเคยทำงานให้กับเขาเนี่ยแหล่ะ ผมว่าเขามีพลังแบบนี้นะ… เขาไม่เคยชกหน้า หรือเอามีดมาไล่แทงผม แต่เขาจะใช้พลังที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ค่อยๆ หลอกหลอนพวกเรา!!
ตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้าทำงาน ปิศาจเริ่มกดดันผมทันที…
โปรเจค Bill Payment อันนี้ต้องใช้ได้ในอีกสามเดือนข้างหน้า… มันสำคัญมาก และผมก็คาดหวังกับคุณ หากคุณทำพลาด ผมคงต้องพิจารณาเรื่อง probation ว่าคุณควรผ่านช่วงทดลองงานไหม
ตอนนั้นผมเองก็ช็อคนะ คือนี่ถ้าทำไม่ได้ จะไล่กันออกเลยเหรอเนี่ยแต่โชคดี ตอนนั้นผมทำสำเร็จเลยรอดตัวไป หัวหน้าก็ชมเรา
แต่แน่นอน ชีวิตการทำงานก็เหมือนชีวิตรัก ช่วงเวลาที่หอมหวานมักไม่ยาวนาน… แต่ช่วงเวลาที่ร้อนระอุสิ… คือบทพิสูจน์
หลังจากผ่านไปสักเกือบปี เขาโมโหผมที่แจ้ง Issue ช้าไปเพราะผมพยายามจะแก้ปัญหานั้น โดยมั่นใจในตัวเองและทีมว่า “เอาอยู่” และจริงๆ ก็เอาอยู่จริงๆ แหล่ะ แต่เขาต้องการรู้ว่าเกิดปัญหา ไม่ใช่มาให้รายงานว่าเกิดปัญหาแล้วแก้เป็นงู้นเป็นงี้โดยไม่บอกหัวหน้า…
ซึ่งนี่เป็นจุดเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่คุณพ่อของผมที่ทำงานกับคนญี่ปุ่นมาสามสิบปี เน้นย้ำผมมากๆ ว่าเวลาจะรายงานหัวหน้าญี่ปุ่น ซึ่งน่าจะขัดความรู้สึกหลายๆ คน
จงแจ้งข่าวร้ายก่อนเสมอ เพราะหากมีผู้บริหารหรือฝ่ายอื่นถามเรื่องนี้แล้วเขาไม่รู้แต่เราดันรู้ หัวหน้าจะระเบิดอารมณ์ทันที
หัวหน้าคนญี่ปุ่นไม่ได้ชอบเลยถ้าสมมติผ่านไป สองวันแล้วเราบอกว่ามีปัญหางี้ๆๆ แล้วเราบอกว่าเราแก้ไขได้แบบนี้ ผัวะ ผัวะ ชมสิว่าเราเก่งสิ….
เขาคือผู้บังคับบัญขา เขาต้องการเข้าใจปัญหา และใช่ว่าจะเห็นด้วยกับวิธีแก้ปัญหาของเรา อย่าทำเรื่องพวกนี้โดยคิดว่าไม่ต้องบอก เด็ดขาด
ถัดมาในปีเดียวกัน ผมรีบแจ้งข่าวร้ายให้เจ้านายทันทีเพราะพบแล้วว่า ระบบมีปัญหา… แต่ N ซังต้องการมากกว่านั้น เขาสอนผมว่าเมื่อพบ issue
หนึ่ง บอก impact first มันเป็นกับลูกค้าทุกรายไหม หรือเฉพาะลูกค้าบางกลุ่ม มีเงื่อนไข หรือส่วนไหนกระทบ
สอง หลังจากนั้นค่อยมาหาว่าปัญหาเกิดจากอะไร (root cause) พร้อมด้วยข้อสุดท้ายที่หลายๆ คนเบื่อที่จะทำ
สาม คุณต้องหา counter measure เพราะผู้บริหารต้องการมากว่าไม่ควรมีเหตุการณ์แบบนี้อีก…
เรื่องนี้สำคัญเพราะคนส่วนใหญ่จะโดนหลอกเรื่องรีบหา root cause ก่อนเพราะมันเป็นจะทำให้เราแก้ปัญหาได้เร็วที่สุด… แต่ขอให้ระวังให้ดี… ผู้บริหารเมื่อรู้ข่าวร้าย เขาจะอยากรู้ impact ที่เกิดขึ้นก่อนสาเหตุ
ทันทีที่ผมแค่บอกปัญหาเสร็จ ผมรีบถามยกหูถามข้อมูลเพิ่มเติมทันที แต่ยังไม่ทันอ้าปากพูดเลย เจ้านายก็ตะโกนระยะสิบสองหลาให้คนทั้งชั้นได้ยินว่า วิ่งงงงงงง !!!!! (เป็นภาษาเจแปนอ่ะนะ) ผมวางสายแทบไม่ทัน รีบวิ่งไปที่ลิฟท์จากชั้นสิบหก ลงไปชั้นสองทันที งงมากว่าพลังอะไรกันทำให้ผมต้องวิ่งขนาดนี้ หัวหน้าเชื่อว่างานจะเดินเร็วขึ้นเมื่อ face to face ไม่ให้มาเล่นพูดฟุ่มเฟือยทางโทรศัพท์…
เหล่าลูกทีมของผม เริ่มรู้สึกว่า N ซังเริ่มหลอกหลอน และกินวิญญาณของผมไปได้เยอะแล้ว เขาสามารถทำให้ผมต้องวิ่งร้อยเมตรในออฟฟิศ ให้ผมทำงานถึงสามสี่ทุ่มหลายคืน ตอนนั้นผมตาคล้ำ ผิวแห้งกร้าน จิตใจหวาดระแวง มันก็เหมือนโดนปิศาจหลอกหลอน ทำร้ายจริงๆ !!
ช่วงปลายเดือนตุลาในปีหนึ่ง…ผมจำ Halloween นั้นได้ดี…. เพราะมันสร้างความผวา และสั่นประสาทผมมาก…
ผมพบว่ามีแบงค์พันธมิตรของเราเจ้าหนึ่ง คำนวณค่าธรรมเนียมของเราผิด ผมชี้แจงอย่างโคตรระมัดระวังว่า ทำไมเราเจอก่อนลูกค้า และเราควรบอกลูกค้าหรือเรียก compensation ยังไง… ตรงนั้นไม่ใช่ปัญหา… และผมดูหล่อมากด้วยซ้ำ
แต่ปัญหามันอยู่ที่วันถัดมาผมได้ข้อมูลว่าเขาคิดค่าธรรมเนียมผิดไปเท่าไหร่ แบงค์พันธมิตรนั่นส่งรายการที่แก้ไขมาให้เรา.. ผมรู้ค่าคร่าวๆ อยู่แล้ว แต่ผมประมาทเกินไป ผมไม่ได้ดูราย transaction ตลอดเกือบปีว่ามันถูกไหม (ก็ทั้งปี มีเป็นหมื่นเป็นพันรายการหลักหลายล้าน) และที่น่าเจ็บใจคือ มันผิดไป 42.19 บาท….
คืนนั้นหัวหน้าของผมปริ้นท์เอกสารนั่นออกมา ที่น่าจะมีประมาณพันกว่าบรรทัด เขาหยิบไม้บรรทัดขึ้นมาขีดและนั่งดูทุกบรรทัด พร้อมกดเครื่องคิดเลข !!! เขาเริ่มพึมพำตอนหนึ่งทุ่ม… (มันแปลกๆ เขาบ่นกับตัวเองเป็นภาษาญี่ปุ่น ผมแอบได้ยิน)
รุ่นพี่รุ่นน้องที่น่ารักเดินมาหาผม บอกว่าดูท่ามันจะผิดอยู่บรรทัดนึง….
“กูรู้แล้ว…. แต่พวกเรารู้เมื่อสายไป” เหงื่อผมแตกเต็มมือ….
“พี่มีทางเลือกสองทาง….” รุ่นน้องบอก…
“หนึ่ง พี่รีบเดินไปขอโทษหัวหน้าตอนนี้ สอง พี่รีบกลับบ้าน ผมจะหลอกล่อดึงความสนใจให้ และเดินไปขอโทษหัวหน้าพรุ่งนี้”
ผมยังจำนาทีนั้นได้ดี… นาทีที่ผมหลับตา สูดหายใจและลุกขึ้นมา
“ลูกผู้ชาย… ทำผิดก็ต้องรับผิด” ผมคิด…
ผมจำได้ดีว่าผมรู้สึกร่างกายที่ส่วนใหญ่เป็นธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจนแท้ๆ มันเหมือนเปลี่ยนเป็นตะกั่ว… ผมรู้สึกหนักไปทั้งตัว… ราวกับมีวิญญาณแห่งความบาป มาขี่คอผมอยู่ และจู่ๆ คงมีผีปิศาจเสก เสกให้ผมเห็นภาพลวงตา ผมไม่เห็นเก้าอี้ กระดานหรือหลอดไฟเลย… ผมเห็นเหมือนมีลานประหาร อยู่กลางพายุเปลวเพลิง อยู่ด้านหน้า …
หากเป็นหนังผี… ฉากนี้คงเป็นฉากประมาณว่า ตุ๊กตา Annabelle ปล่อยเสียงกรีดร้อง กระจกบ้านแตก หรือคงเป็นฉากที่ผีโผล่ออกมา โดยข้างนอกมีลมพายุถาโถม มีภาพหลอนเลือดทะลักไหลออกมา เต็มไปหมด
…. ผมจำไม่ได้หรอก ว่าหัวหน้าด่าอะไรบ้าง แต่จำได้ว่าเหตุการณ์วันนั้น จบที่ประมาณห้าทุ่มกว่าๆ
วิญญาณของผมหลุดลอยไปแล้ว… มันเป็นประสบการณ์ที่สำคัญมาก เพราะมันทำให้คุณเข้าใจว่า การไว้ใจผู้อื่น การไม่ตรวจสอบหลักบรรทัด (ถึงมันจะมีเป็นพันเป็นหมื่น)… คือหนทางสู่หายนะอย่างแท้จริง
“ไปทำมาใหม่” N ซังโยนเอกสารนั่นลงโต๊ะตอนห้าทุ่ม
ไม่รู้ว่าเป็นความจงใจ หรือบังเอิญ เอกสารสามสี่สิบแผ่นนั่น หล่นกระจายที่พื้น
ในนาทีนั้น… ผมคิดนะ ชกหน้ามันซะที แล้วลาออกดีกว่าไหม ?!
เรื่องแนะนำ :
– หนังสือญี่ปุ่นน่าอ่าน EP.3 ( ซีซั่น 2019)
– วินัยจะซื้อชัยชนะได้ไหม?
– [ทดความคิด] ธนาคารนอกคอก – เพราะเราเป็นได้มากกว่าที่เป็น
– [ทดความคิด] ซูริ กะคุ 数理学 กับโป้ง ก้อย อิ่ม
– [ทดความคิด] เมื่อคุณต้องเลือก… ตามกฎหรือแหกมันซะ?