เพื่อนๆ ที่เคยบริจาคเลือดเป็นประจำที่ไทย พอต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ เคยมีใครได้ลองบริจาคเลือดที่ประเทศที่เราเรียนต่อบ้างหรือเปล่าคะ วันนี้จะมานำเสนอประสบการณ์บริจาคเลือดที่ญี่ปุ่น
เพื่อนๆ ที่เคยบริจาคเลือดเป็นประจำที่ไทย พอต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ เคยมีใครได้ลองบริจาคเลือดที่ประเทศที่เราเรียนต่อบ้างหรือเปล่าคะ วันนี้จะมานำเสนอประสบการณ์บริจาคเลือดที่ญี่ปุ่น
โดยสถานที่รับบริจาคเลือดมีทั้งแบบรถเคลื่อนที่ และตั้งอยู่ในตึกต่างๆ ซึ่งมีเยอะมาก หาง่ายและสะดวกในการไปมากค่ะ โดยขั้นตอนการบริจาคก็ไม่ต่างจากไทยมาก เริ่มจากขั้นแรก หากไม่เคยบริจาคมาก่อนจะต้องไปที่ reception เพื่อลงชื่อสมัครสมาชิกและรับ Member card เพื่อการบริจาคครั้งต่อไป สามารถยื่นใบนี้ได้เลย
โดยจะมีการสะสมแต้มเพื่อรับแก้วหรือประกาศนียบัตรซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งและปริมาณในการบริจาค หลังจากนั้นก็ต้องกรอกแบบสอบถามข้อมูลส่วนตัวต่างๆ หากเป็นชาวต่างชาติต้องอาศัยในญี่ปุ่นมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี จึงจะสามารถบริจาคได้ เมื่อเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนข้อมูลเสร็จแล้วก็จะให้สายข้อมือที่มีเขียนชื่อเราอยู่
และให้การ์ดห้อยคอเราไว้ เพื่อแสดงว่าเราคือคนที่รอบริจาคเลือดค่ะ หลังจากนั้นก็ต้องไปตอบคำถามในคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นหน้าจอสัมผัส เห็นแล้วแบบไฮโซมาก คำถามก็จะไม่ต่างจากที่เราเคยกรอกที่ไทยเท่าไหร่ เช่น ภายใน 3 วันมีทานยาหรือฉีดวัคซีนมาหรือเปล่า พักผ่อนเพียงพอมั้ย มีประวัติป่วยไข้เป็นอย่างไร และเคยได้รับการถ่ายเลือดในประเทศอังกฤษหรือไม่ เป็นต้น ตรงจุดนี้แหละค่ะต้องหยิบดิคขึ้นมาเปิดกันเลย เพราะคันจิตัวยากๆ หน้าไม่คุ้นทั้งนั้น แม้จะกินเวลานานแต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี
หลังจากนั้นคำตอบที่เราตอบๆ ไปก็จะถูกส่งไปให้คุณหมออ่านก่อนที่จะเรียกเราเข้าไปตรวจ โดยคุณหมอก็จะถามซ้ำคำถามเดิมว่านอนหลับพักผ่อนเพียงพอหรือเปล่า ที่นู่นค่อนข้างกังวลเรื่องความปลอดภัยเราว่าจะกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยไหม ไม่ได้ไปเป็นลมกลางทางตรงไหน
ส่วนตัวเองที่มาจากประเทศไทยซึ่งอยู่ในเขตร้อนและมีความเสี่ยงต่อโรคมาลาเรีย แม้ว่าจะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงน้อยไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงมากอย่างประเทศแถบทวีปอาฟริกาก็ตาม ก็โดนคุณหมอซักประวัติเจ็บไข้อย่างละเอียด พร้อมอธิบายให้ฟังชัดเจนโดยการโชว์รายชื่อประเทศที่แบ่งตามความเสี่ยง เสี่ยงมากจะเป็นสีแดง รองลงมาก็เหลือง ถ้าสีขาวคือไม่มีข้อมูลว่าเกิดโรคนี้ขึ้น หลังจากนั้นคุณหมอก็จะวัดความดันและและตรวจสุขภาพ และเมื่อมั่นใจแล้วว่าเราสามารถบริจากเลือดได้ คุณหมอก็จะคำนวนว่าเราสามารถบริจาคได้เท่าไหร่ ของเราคุณหมอขอร้องว่าบริจาค 400ML ได้ไหม เราก็โอเคค่ะ เต็มแมคเลย
เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องบริจากเลือด ก็รู้สึกตกใจมากเพราะเขาห้ามใช้โทรศัพท์เลย ห้ามถ่ายรูปหรือคุย มันเลยเงียบมาก พยาบาลก็นำทางไปทำการตรวจเลือดก่อนบริจาคจริง มาถึงขั้นตอนนี้นึกว่าจะได้บริจาคซะแล้ว ปรากฏว่าอากาศวันนั้นหนาวมาก เส้นเลือดหดตัว หาเส้นไม่เจอ ให้กินน้ำอุ่นๆ ใส่โค้ททำให้ร่างกายอบอุ่นก็แล้วก็ยังหาไม่เจอ ปกติเป็นคนบริจาคที่ไทยประจำอยู่แล้วไม่เคยมีปัญหานี้เลย พอมาบริจากประเทศหนาวๆ เท่านั้นแหละ สุดท้ายก็ถูกเชิญให้กลับและค่อยมาใหม่วันหลัง แอบเสียใจ แต่เราตั้งใจมุ่งมั่นว่าจะต้องบริจาคให้ได้ เราเลยกลับมาอีกครั้งในวันถัดไปเลย
และในที่สุดก็เจาะเลือดไปตรวจได้ พยาบาลแอบจำหน้าได้ด้วย เค้าพูดขอบคุณใหญ่เลย และอธิบายว่า การตรวจก่อนบริจาคจริงนั้นคือการตรวจระดับฮีโมโกลบินและยืนยันกรุ๊ปเลือดเราอีกครั้ง
ในที่สุดก็ ถึงขั้นตอนการเจาะเลือดเพื่อบริจาค โดยจะมี 2 ปริมานคือ 200ML และ 400ML จริงๆ มีมากกว่า 400ml และ 600ml แต่เป็นการบริจาคอีกแบบนึงเรียกว่า apheresis donation แต่เราไม่ได้บริจาค และแน่นอน เราบริจาค 400ML ตามที่คุณหมอแนะนำ(อีกแล้ว) ไม่ว่าจะมาวันไหนหมอแกก็ขอร้อง 400ml คงเป็นเพราะน้ำหนักเราเกินมาเยอะ ที่เตียงนอนมีทีวีที่เป็นส่วนตัวของแต่ละคนให้นั่งดูด้วย ให้อารมณ์เหมือนนั่งบนเครื่องบินยังไงยังงั้น แถมกดเปลี่ยนช่องได้ด้วย เพลินไปเลย แปปๆ ก็ครบ 400ml แล้ว เมื่อบริจาคเสร็จ เค้าจะให้น้ำเปล่ามา 1 ขวด ก็นอนพักจิบน้ำไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะรู้สึกโอเคไม่มึนหัว ก็ลุกจากเตียงและกลับไปที่ reception ซึ่งข้างๆ จะมีไมโลร้อน น้ำชาร้อน ขนม และไอติมฮาเกนแดสให้กินฟรีด้วย พร้อมกับหนังสือคู่มือที่เขียนวิธีปฏิบัติตัวหลังจากการบริจาคเลือดว่าสิ่งไหนควรทำ ไม่ควรทำ และหากรู้สึกไม่ดีต้องทำอย่างไร โดยจะวาดเป็นรูปการ์ตูน อ่านแล้วเข้าใจง่ายดีค่ะ
ก่อนจะกลับต้องคืนป้ายห้อยคอด้วยนะ พนักงานตรง reception เค้าดูดีใจมากที่ชาวต่างชาติอย่างเราไปบริจาคด้วย ก้มขอบคุณเราใหญ่เลย เรานี่เดินกลับไปพร้อมกับความประทับใจกับการบริการ ความอิ่มเอมใจที่ได้บริจาคเลือดช่วยเหลือคนอื่น และความอิ่มท้องกับขนมและไอติม สรุปเลย การบริจาคเลือดที่ญี่ปุ่นสำหรับเรา ขั้นตอนต่างๆ ไม่ต่างจากไทยมาก ที่ต่างคงเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่อาจจะพร้อมกว่า และความสะดวกในการเดินทาง รวมถึงแคมเปญการรนรงค์ต่างๆ ที่ทำออกมาดีมาก สามารถจูงใจคนให้มาบริจาคได้เป็นอย่างดี หากใครมาเรียนต่อที่ญี่ปุ่นและอยากจะบริจาคเลือดก็ลองหาสถานรับบริจาคเลือดใกล้ๆ ที่เราอยู่ได้จากเว็บไซต์สภากาชาดญี่ปุ่นเลยนะคะ
พบปะ “เจ๊เอ๊ด” และ #ทีมเจ๊เอ๊ด ได้ที่ >>> www.facebook.com/jeducationfan
ข้อมูลเรียนต่อญี่ปุ่น-เรียนภาษาญี่ปุ่น >>> www.jeducation.com
เรื่องแนะนำ :
– 5 ข้อแนะนำ ก่อนไปงานแนะแนวญี่ปุ่น
– เพื่อนบอกไปเรียนต่อญี่ปุ่น ไหงเฟสบุ้คมีแต่รูปเที่ยว
– ในวันที่ก๊งเหล้ากับพระ….ญี่ปุ่น
– แต่งกายไปเดินป่าชมใบไม้เปลี่ยนสี สไตล์สาวญี่ปุ่น
– วีซ่านักเรียนที่ญี่ปุ่น