อะวะโมะริ (泡盛) เหล้าเชื่อมสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น
วันนี้นำทุกท่านมาสู่เรื่องการร่ำสุราเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ
ก่อนอื่นต้องพูดถึงคำว่า “สุรา” ก่อน คือจริง ๆ แล้วในภาษาไทยมีการแยกกันใช้ระหว่างคำว่า “สุรา” และ “เมรัย” โดยสุราหมายถึง น้ำเมาที่ได้จากการกลั่น ในขณะที่เมรัยจะหมายถึง น้ำเมาที่เกิดจากการหมักหรือแช่ ดังที่คอเหล้ารู้กันดีว่าเหล้ามี 2 ประเภทคือเหล้ากลั่น (สุรา) และ เหล้าหมัก (เมรัย) นั่นเอง เพื่อความสะดวกขออนุญาตใช้คำว่าเหล้าเลยก็แล้วกัน
บางท่านอาจจะรู้จักเหล้าอะวะโมะริของจังหวัดโอะกินะวะ (沖縄県) กันดีอยู่แล้วว่าเป็นเหล้าชนิดหนึ่งในตระกูลเหล้ากลั่นของญี่ปุ่น แต่ที่จริงแล้วมีหลายแหล่งข้อมูลกล่าวกันว่าอะวะโมะรินี่คือ “ต้นฉบับของเหล้ากลั่นแบบโชจู (焼酎) ญี่ปุ่น” ต่างหาก คือไม่ได้เป็นแค่เหล้าชนิดหนึ่งในตระกูลเหล้ากลั่นญี่ปุ่น แต่อาจจะเป็นต้นกำเนิดของเหล้ากลั่นญี่ปุ่นทั้งปวงด้วยซ้ำ เพราะมีประวัติศาสตร์ยาวนานมาก (จริงหรือไม่ก็ไม่ทราบ อันนี้แค่เท่าที่พอมีหลักฐานอยู่)
เดิมทีจังหวัดโอะกินะวะก็ไม่ได้เป็นประเทศญี่ปุ่น แต่เคยเป็นประเทศเอกราชประเทศหนึ่งที่ชื่อว่า “ราชอาณาจักรริวกิว (琉球王国)” ถ้าใครพอมีความรู้ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นหรืออ่านอักษรคันจิออกก็จะรู้ได้ทันทีว่าริวกิวนี่ไม่ใช่ญี่ปุ่นอย่างแน่นอน เพราะญี่ปุ่นนั้นปกครองด้วยระบบจักรพรรดิ (皇帝) คือผู้ครองประเทศเป็น Emperor ดังนั้นดินแดนของประเทศจึงมีลักษณะเป็นจักรวรรดิ (帝国: Empire) แต่ว่าริวกิวนั้นปกครองด้วยระบบราชาหรือกษัตริย์ (王様) คือผู้ครองประเทศเป็น King ดินแดนของประเทศจึงเป็นราชอาณาจักร (王国: Kingdom) แค่นี้ก็เห็นชัดเจนมากว่าเป็นคนละประเทศแน่นอน โดยราชอาณาจักรริวกิวนี้มีอายุตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 15 และภายหลังถูกญี่ปุ่นผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น และสิ้นสุดลงในปี ค. ศ. 1879 เพราะถูกเปลี่ยนชื่อกลายเป็นจังหวัดโอะกินะวะไป
แต่สิ่งที่ริวกิวทิ้งไว้เป็นมรดกก็คือเหล้าอะวะโมะริชนิดนี้ล่ะ ในโอะกินะวะนั้นขุดพบเครื่องปั้นดินเผาจากอยุธยาเป็นจำนวนมากรวมทั้งไหเหล้า จึงสันนิษฐานว่ามีการไปมาหาสู่กันระหว่างริวกิวกับอยุธยาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 แล้ว หลายท่านก็เห็นพ้องกันว่าชาวริวกิวน่าจะเรียนรู้การกลั่นเหล้าชนิดนี้มาจากเหล้าขาวของอยุธยาแน่นอน เพราะแม้กระทั่งในปัจจุบันก็ยังต้องใช้ข้าวไทยพันธุ์ Indica ในการกลั่นถึงจะได้รสชาติของอะวะโมะริที่แท้จริง ในขณะที่ถ้าใช้ข้าวญี่ปุ่นพันธุ์ Japonica ยังไงก็ไม่ได้รสชาติแบบดั้งเดิม ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงฟันธงว่ายังไงชาวริวกิวก็ต้องเรียนรู้วิธีกลั่นมาจากอยุธยาสิ ไม่งั้นอยู่คนละประเทศตั้งไกล จู่ ๆ จะรู้ได้ยังไงว่าเอาข้าวไทยมาทำเหล้าแบบนี้ได้เล่า จริงมั้ย
นอกจากนี้ชาวญี่ปุ่นยุคโบราณยังชำนาญการทำเหล้าหมักอย่างเดียว ไม่ชำนาญการกลั่นเหล้า จึงน่าจะได้รับ Know-how การกลั่นเหล้าจากอยุธยามาทำอะวะโมะริ และยังเผยแพร่วิธีกลั่นไปยังญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่ทำให้เกิดเป็นโชจูญี่ปุ่นนานาชนิดในภายหลังด้วย ตามตำนานจึงเชื่อกันว่าอะวะโมะรินี่ล่ะคือเหล้ากลั่นที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นต้นกำเนิดเหล้ากลั่นทั้งปวงทุกชนิดของญี่ปุ่นในปัจจุบันอีกด้วย
เนื่องจากอะวะโมะริโดยเฉลี่ยมีดีกรีสูงกว่าเหล้าญี่ปุ่นประเภทอื่น คนญี่ปุ่นจึงไม่นิยมดื่มเพียว ๆ กันเท่าไร มักผสมโซดา, น้ำผลไม้, น้ำอัดลม, น้ำ ฯลฯ ต่าง ๆ ในการดื่ม แต่ชาวโอะกินะวะแท้ ๆ จำนวนมากยังนิยมดื่มเพียว ๆ ใส่แต่น้ำแข็งเพื่อความสะใจในอารมณ์เหล้าโรงอันจัดจ้านซึ่งเป็นมรดกแห่งอยุธยามาหลายศตวรรษ แต่ถ้าใครคออ่อนอยากดื่มอะวะโมะริที่ละมุนละไมกว่าต้นฉบับ ก็แนะนำอะวะโมะริประเภท “คูสุ (古酒)” คืออะวะโมะริที่มีอายุมากกว่า 3 ปีขึ้นไปและปล่อยให้หลับใหลอยู่ในไหดินยาว ๆ จนกลายเป็นเหล้าละมุนกลมกล่อมขึ้นกว่าอะวะโมะริแบบปกติ
ยังมีหลายครอบครัวเวลาที่มีเด็กเกิดใหม่ จะนิยมนำอะวะโมะริมาเทใส่ไหดินเก็บไว้ เมื่อเวลาผ่านไปจนเด็กคนนั้นอายุครบ 20 ปีก็จะเปิดไหนำมาดื่มฉลองกันในครอบครัวอีกด้วย อันนี้ไม่ถึงกับเป็นวัฒนธรรมหลักที่ทำกันทุกครอบครัวในโอะกินะวะ เพียงแต่หลายครอบครัวเลยที่นิยมทำแบบนี้ จุดนี้คล้ายกับต้นกำเนิดของเหล้านารีแดง (女儿红- หนี่ว์เอ๋อร์หง) ในประเทศจีน (ที่ได้ยินกันบ่อย ๆ ในหนังจีนกำลังภายในนั่นแหละ) ที่มีตำนานว่า ฝ่ายสามีของครอบครัวหนึ่งดีใจที่ภรรยาตั้งครรภ์ หวังว่าจะได้ลูกชาย จึงซื้อเหล้ามาเตรียมดื่มฉลองวันคลอด แต่ผลคือคลอดออกมาเป็นลูกสาว ฝ่ายสามีจึงเสียใจนำเหล้าที่เตรียมไว้ไปฝังดินทิ้งหมด เวลาผ่านไปพอเด็กหญิงเติบโตขึ้นเป็นสาวพร้อมออกเรือน ในวันแต่งงาน ฝ่ายพ่อนึกได้ว่าเคยฝังเหล้าในดินเอาไว้ จึงนำออกมาดื่ม พบว่ามีรสละมุนน่าอภิรมย์มาก จึงกลายเป็นธรรมเนียมว่าบ้านไหนคลอดลูกสาว ก็จะเตรียมเหล้าฝังดินไว้ไม่แตะต้อง จนเด็กสาวคนนั้นเติบโตพร้อมแต่งงาน จึงจะเอาเหล้าที่ฝังดินไว้มาเปิดเลี้ยงแขก ตรงนี้มีจุดคล้ายกันคือเหล้าที่บ่มเพาะด้วยประวัติศาสตร์และความทรงจำแห่งครอบครัว จึงมีค่าเหนือกว่าเงินทองใด ๆ จะซื้อได้
ปัจจุบันมีโรงกลั่นอะวะโมะริมากกว่า 40 แห่งในจังหวัดโอะกินะวะ และจัดเป็นสินค้าเด่นมากประจำจังหวัด สร้างรายได้ให้กับท้องถิ่นเป็นอย่างมาก (ในขณะที่เหล้าขาวต้นฉบับของไทยยังไม่ประสบความสำเร็จทางการตลาดในระดับที่โอะกินะวะทำได้ น่าเสียดายยิ่งนัก)
เรื่องแนะนำ :
-ทำไมเรียนปริญญาเอกสายศิลป์ที่ญี่ปุ่นถึงจบยากกกกกกก!?
– ทำไม Manga และ Anime ญี่ปุ่นถึงโด่งดังถึงเพียงนี้?
– สุกี้ยากี้ และเที่ยวบิน JL123
– Tokyo Love Story 1991 และ 2020 – ความแปลกแยกและความผิดฝาผิดตัวแห่งโตเกียว
#อะวะโมะริ (泡盛) เหล้าเชื่อมสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น