‘เบญจมาศ’ – – เมื่อความรักของมารดากลายมาเป็นดอกไม้!
‘เบญจมาศ’ ถือเป็นหนึ่งในดอกไม้อันเป็นมงคลและสูงค่าของแดนอาทิตย์อุทัยมาตั้งแต่สมัยยุคนารา เพราะนอกจากจะเป็นดอกไม้ซึ่งเต็มไปด้วยความงามสง่าสะดุดตาแล้ว เบญจมาศยังมีคุณสมบัติเป็นยาสมุนไพรที่ชาวญี่ปุ่นสมัยก่อนนิยมใช้ในการรักษาโรคอีกด้วย และเพราะมีทั้งความสวยและคุณประโยชน์ ดอกเบญจมาศจึงได้รับเลือกให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นตั้งแต่ในช่วงยุคเมจิเป็นต้นมา และนั่นทำให้เบญจมาศกลายเป็นดอกไม้ซึ่งเป็นตัวแทนของความสูงค่า ความงามสง่า ความอดทน รวมถึงยังนับเป็นหนึ่งในดอกไม้มงคลของชาวญี่ปุ่นอีกด้วย
หนึ่งในคุณสมบัติอันโดดเด่นที่ขับเน้นให้ดอกเบญจมาศมีความงดงามสะดุดตาไม่เหมือนดอกไม้อื่นใด ก็คงต้องยกให้กับกลีบดอกเล็กๆ ที่สลับซับซ้อนห่อหุ้มกันจนกลายเป็นชั้นหนา ซึ่งชาวญี่ปุ่นก็มีตำนานบอกเล่าถึงเรื่องราวที่มาของรูปทรงอันแปลกตาของเจ้าดอกเบญจมาศนี้เช่นกัน จะเป็นยังไง สนุกมหัศจรรย์แค่ไหนนั้น ไปดูพร้อมกันเลย!
ว่ากันว่านานมาแล้วในยุคอดีต มีครอบครัวเกษตรกรเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ด้วยกัน 3 คน พ่อ แม่ ลูก แม้ว่าครอบครัวนี้จะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่พวกเค้าก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในทุกๆ วัน – – อยู่มาวันหนึ่ง ลูกชายตัวน้อยเกิดอาการป่วยหนักอย่างน่าประหลาดใจ เด็กน้อยร้องไห้ตลอดเวลาจากอาการไข้ขึ้นสูงในตอนเช้า ผิวของเขาซีดเซียวราวกับกระดาษและเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง อาการป่วยเหล่านี้เกิดขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ ทั้งผู้เป็นพ่อและแม่ต่างก็พยายามหาทุกวิถีทางที่จะรักษาลูกชายของพวกเขาให้หายดี ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยยาสมุนไพร การรักษาจากหมอในท้องถิ่น หรือแม้กระทั่งใช้ตำรับยาสุดลึกลับจากเพื่อนบ้าน แต่อาการของเด็กน้อยก็ยังไม่กระเตื้องขึ้นมาแต่อย่างใด – –
ในวันที่ทั้งพ่อและแม่เริ่มหมดหวังลงไปทุกทีที่จะเยียวยาให้อาการของผู้เป็นลูกดีขึ้น พวกเขาก็หวนนึกถึงเรื่องเล่าของชายชราลึกลับซึ่งอาศัยอยู่ในป่าตามลำพังขึ้นมาได้ ว่ากันว่าชายชราผู้นี้มีความชาญฉลาดรอบรู้กว่าผู้ใดในแผ่นดิน เพียงแต่ไม่เคยมีใครซักคนที่มีโอกาสได้พบเห็นตัวจริงของชายชราผู้นี้เลยสักครั้งเท่านั้นเอง – – เมื่อมองไม่เห็นหนทางไหนดีกว่านี้ ผู้เป็นแม่จึงตัดสินใจที่จะเดินทางออกไปตามหาชายชราตามคำบอกเล่าเพียงลำพัง โดยทิ้งให้สามีคอยดูแลลูกชายซึ่งป่วยไข้อยู่ที่บ้าน ด้วยความรักของผู้เป็นแม่ ทำให้เธออดทนต่อความยากลำบากที่ต้องพบเจอตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการบุกป่าฝ่าดงไม้หนาทึบ ลำธารที่ทั้งลึกและกว้างใหญ่ หรือหนามอันแหลมคมของเหล่ากุหลาบป่าที่ทิ้งร่องรอยบาดแผลเอาไว้ให้เธอทั่วทั้งร่างกาย
หลังรอนแรมอย่างยากลำบากกลางป่ามายาวนาน วันหนึ่ง ผู้เป็นแม่ก็ได้พบกับทุ่งหญ้ากว้างกลางผืนป่า กลางทุ่งหญ้ามีกระท่อมไม้เก่าๆ ตั้งอยู่ หน้าประตูกระท่อม เธอเห็นชายชราที่มีหนวดเครายาวเหยียดถึงช่วงเอวกำลังยืนและมองตรงมายังตัวเธอ แล้วชายชราก็เอ่ยถามถึงสาเหตุที่ทำให้เธอเดินทางมาที่บ้านหลังนี้ ผู้เป็นแม่จึงเล่าอาการป่วยของลูกชายให้ชายชราตรงหน้าฟังพลางร้องไห้และขอร้องให้เขาช่วยรักษาลูกชายของเธอ ชายชรารับฟังเรื่องราวทั้งหมดด้วยอาการสงบนิ่ง หลังจากนั้นจึงเชิญเธอเข้าไปพักผ่อนในกระท่อมของเขา ด้านในกระท่อมหลังเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นจากกองไฟในเตาผิง รอบด้านตกแต่งอย่างเรียบง่ายด้วยพรมทอมือและเฟอร์นิเจอร์ไม้ แม้จะเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย แต่ผู้เป็นแม่ก็ยังคงกระวนกระวายด้วยความกังวลในเรื่องอาการป่วยของลูกชายเธอ เธอเริ่มต้นขอความช่วยเหลือจากชายชราอีกครั้งพลางร้องไห้ “ลูกชายของข้าป่วยหนักมานาน เขาต้องทรมานกับอาการไข้ ร่างกายของเขาซีดขาวและเย็นเยียบไปจนถึงกระดูก ข้าเกรงว่าเขากำลังจะตายในไม่ช้านี้ หากข้าไม่สามารถหาวิธีช่วยเหลือเขาได้” ผู้เป็นแม่กล่าว ..
ชายชรามองนิ่งมายังผู้หญิงตรงหน้า พลางเอ่ยว่า “ข้าเสียใจอย่างมากที่ต้องบอกว่าลูกชายของเจ้าอาจจะต้องจากไปตลอดกาลในอีกไม่นานนัก เสียดายจริงๆ ที่ข้าไม่รู้วิธีที่จะรักษาเขาให้หายเป็นปกติได้ สิ่งเดียวที่ข้าทำได้ ก็คือบอกให้เจ้ารู้ว่าลูกชายอันเป็นที่รักของเจ้านั้นจะเหลือเวลาชีวิตอีกนานแค่ไหนเท่านั้นเอง” – – เมื่อผู้เป็นแม่ได้ยินดังนั้น นางจึงร้องไห้ออกมาด้วยความสิ้นหวัง ชายชราจึงเอ่ยกับนางอีกครั้งว่า “เจ้าไม่ควรเสียเวลาไปกับการยอมแพ้และความสิ้นหวัง สิ่งที่ข้าอยากให้เจ้ารีบทำในตอนนี้ คือการมุ่งหน้าเข้าไปในป่าอีกครั้ง จากนั้นจงมองหาดอกไม้สีเหลืองหรือสีทองที่พวกเจ้าเรียกมันว่า ‘ดอกเบญจมาศ’ หากพบแล้วจงเลือกหยิบขึ้นมาหนึ่งดอก แล้วดูที่จำนวนกลีบของมัน จำนวนกลีบของดอกไม้ดอกนั้นนั่นละ คือจำนวนวันที่ลูกชายของเจ้ายังคงเหลือลมหายใจอยู่”
เมื่อผู้เป็นแม่ได้ยินดังนั้น นางจึงรีบวิ่งออกไปในป่าและเริ่มค้นหาดอกเบญจมาศ เมื่อเห็นสีเหลืองอันสดใสของมันโดดเด่นอยู่กลางป่า นางจึงรีบเด็ดมันขึ้นมา ก่อนจะพบว่าเบญจมาศดอกนั้นมีกลีบทั้งหมดอยู่เพียงแค่สี่กลีบ!! เมื่อนางคิดว่าลูกชายจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงแค่สี่วันเท่านั้น นางจึงเริ่มร้องไห้ออกมาด้วยความเศร้าเสียใจ ก่อนที่จะชะงักงันเมื่อมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของนาง!! – – ด้วยความหวังเล็กๆ เพื่อจะช่วยให้ลูกชายสุดที่รักได้มีชีวิตอันยืนยาวต่อไป หญิงสาวผู้เป็นแม่จึงเอื้อมมือออกไปหยิบดอกเบญจมาศดอกเดิมขึ้นมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นนางจึงเริ่มต้นฉีกกลีบดอกทั้งสี่กลีบออกเป็นเส้นเล็กๆ จนทำให้ดอกไม้ที่มีเพียงสี่กลีบในตอนแรกนั้นแลดูเหมือนมีกลีบดอกนับพันห่อหุ้มอยู่!!
เมื่อได้ดังนั้น มารดาของเด็กชายจึงรีบนำดอกไม้ไปให้ชายชราในกระท่อม เมื่อรับดอกไม้มา ชายชราจึงเริ่มทำการนับกลีบดอกเบญจมาศอย่างตั้งใจ แต่ด้วยจำนวนที่มากมายของกลีบเล็กๆ ที่ซ้อนทับกันอยู่ ทำให้เขาไม่สามารถนับกลีบดอกเบญจมาศที่อยู่ในมือจนสำเร็จได้ ชายชราเหลือบมองมายังหญิงสาวผู้เป็นมารดาของเด็กชายด้วยสายตาอันอ่อนโยน ก่อนอมยิ้มน้อยๆ อย่างมีเมตตา แล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าดอกไม้ดอกนี้เต็มไปด้วยกลีบดอกนับพันกลีบ ซึ่งนั่นคือข่าวดี! เพราะมันหมายถึงว่าลูกชายของเจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนานแสนนาน ข้าคิดว่าเขาจะเติบโตและกลายเป็นชายหนุ่มที่เข้มแข็ง ได้มีภรรยาที่ดี และมีความสุขกับลูกหลานรวมถึงผู้คนในครอบครัวอีกมากมาย – – ได้ยินแบบนี้แล้วเจ้าเริ่มมีความหวังมากขึ้นหรือไม่? แล้วทำไมเจ้าถึงยังไม่รีบกลับไปหาลูกชายอีกเล่า!”
หญิงผู้เป็นแม่ได้ยินดังนั้นจึงยิ้มออกมาด้วยความดีใจ นางกล่าวลาชายชราครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะรีบเดินทางด้วยความสุขและความหวังมุ่งหน้ากลับมายังบ้านของตนเอง – – เมื่อมาถึง เธอจึงรีบเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ภาพแรกที่เห็นคือลูกชายอันเป็นที่รักกำลังนั่งอยู่บนเตียงพลางพูดคุยเจื้อยแจ้วอย่างมีความสุขสดใส หลังจากนั้น อาการไข้ของเด็กชายก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ เขาเติบโตขึ้นมาเป็นชายหนุ่มซึ่งแข็งแกร่งตามที่ชายชราเคยบอกไว้ และเมื่อถึงวัยอันควรเขาจึงได้แต่งงานมีลูกหลานสืบสกุลมากมาย กลายเป็นหัวหน้าครอบครัวใหญ่อันแสนสุขสืบต่อมาอีกยาวนาน – –
ว่ากันว่า หลังจากนั้น ดอกเบญจมาศที่เคยมีกลีบเพียงแค่สี่กลีบก็กลายมาเป็นดอกไม้ที่มีกลีบเล็กๆ ซ้อนกันเป็นจำนวนมากมาย คล้ายกับจำนวนกลีบดอกไม้ที่หญิงสาวผู้เป็นมารดาได้ทำเอาไว้ตลอดมา – – และนั่นอาจเป็นที่มาซึ่งทำให้ดอกเบญจมาศกลายเป็นสัญลักษณ์ของความอดทน งามสง่า และสูงค่า เพราะมันเกิดจากความรักอันยิ่งใหญ่ที่ผู้เป็นมารดามีต่อบุตรชาย ซึ่งเป็นความรักที่ไม่อาจหาอะไรมาเปรียบเปรยได้ และด้วยความรักอันบริสุทธิ์อย่างไม่มีเงื่อนไข จึงก่อให้เกิดเรื่องราวมหัศจรรย์ต่างๆ อีกมากมาย … แล้วเอาไว้วันหลังจะหามาเล่าให้ฟังกันใหม่นะ!!
เรื่องแนะนำ :
– อัพเดทความสวยกับการรีวิวเครื่องสำอางแบบ asmr จาก h_m_cosme
– 5 ของหวานธีมซากุระที่น่าลองในโตเกียว
– ชิมราเมนรสอร่อยจาก 8 ร้านยอดนิยมในญี่ปุ่นที่คาเฟ่หุ่นยนต์ Club the Pepper
– ชวนแวะจิบชาและชิมขนมปังในคาเฟ่สไตล์ย้อนยุคที่ Bread, Espresso and Sakaisuji Club
– หลีกหนีความวุ่นวายแล้วมาดื่มด่ำกับธรรมชาติ ณ สวนพฤกษศาสตร์ในชิบุย่า
ที่มา: อ้างอิงจากบทความ The Story of Japanese Chrysanthemum จากเว็บไซต์ https://www.readmio.com
ข้อมูลและภาพประกอบจาก
https://flowerduet.com/kiku-the-art-of-the-japanese-chrysanthemum/#
https://twitter.com/ParksJindai/status/1192314400566177792
https://japancitytour.com/national-flower-japan-chrysanthemum/
#(ถึง) ไม่อยากรู้…แต่อยากเล่า ‘เบญจมาศ’