เรื่องตลก Nobel ทำไมคนไทยยังไปไม่ถึงซะที
มีกฎข้อนึงที่สำคัญมาก อาจจะมากที่สุดในการเล่าเรื่องตลกเลยก็ว่าได้… คือเราต้องห้ามบอกผู้เล่าว่า เรากำลังจะเล่าเรื่องตลก
ตอนนี้ผู้เขียนอยากจะเขียนเรื่องนึง… อยากจะเขียนเรื่องโนเบล ให้เป็นเรื่องตลก
ปีนี้ กรรมการผู้ตัดสินโนเบลยังกับจะเล่นมุกตลกให้กับคนไทย เพราะสื่อญี่ปุ่นพาดหัวว่า คนญี่ปุ่นที่ได้โนเบลปีนี้ คุณมานาเบะ คือชายผู้ สร้าง “ระฆัง” เตือนภัยโลกร้อนให้กับชาวโลก
รางวัล โนเบล “ไม่มีระฆัง” เลยต้องมอบให้กับ นักวิทยาศาสตร์ ผู้สร้าง “ระฆัง”
ระฆังที่ว่าคืออิหยังล่ะ?
พวกเราชาวโลก รู้กันมานานแล้วว่า โลกร้อนเพราะพวกเราปล่อยก๊าซ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ ที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก โลกก็เลยร้อนขึ้น เรื่องนี้เด็กประถมก็รู้ แต่สิ่งที่พวกเราไม่เคยรู้เลยว่า แล้วปล่อยก๊าซมากแค่ไหน โลกจะร้อนขึ้นขนาดไหน ร้อนช้าหรือร้อนเร็ว
ไอน์สไตน์เกือบจะกล่าวไว้ว่า การทำนายสภาพอากาศล่วงหน้าเป็นร้อยปี เปรียบเสมือนกับคุณอยากวัดระยะเดินของคนตาบอดที่มีสุนัขนำทางตัวนึง โดยสุนัขตัวนี้ ทั้งวิ่งไปซ้ายทีขวาที เดินไปหน้าหลัง พร้อมกับวิ่งพันขาคนตาบอด
โดยเราจะต้องใช้ข้อมูลการเคลื่อนที่ของสุนัขตัวนี้ ซึ่งเหมือนกับข้อมูลสภาพอากาศทั่วโลก ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ มาใช้เพื่อวัดระยะเดินคนตาบอด ซึ่งเท่ากับภาวะโลกร้อน มันจึงมีความซับซ้อน ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ตัวแปรควบคุมเยอะมากที่จะคาดการณ์ได้ให้แม่นยำ
แต่มีชายคนนึง ที่ชื่อมานาเบะนี่แหล่ะ เอาทั้งทฤษฎีการเคลื่อนที่แบบบราวน์เนี่ยน ข้อมูลอากาศทั่วโลก เอาสูตรคณิตศาสตร์ spin glass พร้อมกับความเชื่อที่จะแก้โจทย์ปัญหานี้ให้ได้ โยนเข้าไปในซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
“หากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพิ่มขึ้นสองเท่า มันจะส่งผลให้โลกของเราร้อนขึ้น 2.3 องศา”
หลังจากเขาตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นนี้ ค่ำคืนนึงต้นฤดูใบไม้ร่วง มีโทรศัพท์มาจากสวีเดน
“คุณมานาเบะ ยินดีด้วย… คุณได้โนเบล”
“เอ๊ะ คุณโทรผิดหรือเปล่า”
“ไม่ๆ ก็เรื่องที่คุณสร้างแบบจำลอง การทำนายโลกร้อน ไงครับ”
“คุณบ้าหรือเปล่า คุณรู้ไหมว่างานวิจัยนั่น… ผมตีพิมพ์เมื่อไหร่”
“ทราบครับ… ตอนที่คุณอายุสี่สิบหกปีไง”
“แต่ตอนนี้ ผมอายุเก้าสิบนะ”
“ขอโทษที่ทำให้คุณรอนาน… ช่วยมารับเงินด้วย คุณน่าจะทราบว่าโนเบลจะให้เฉพาะคนที่ยังมีชีวิตอยู่ คนอื่นน่าจะตายหมดแล้ว เหลือคุณนี่แหล่ะ”
ตอนผมเป็นเด็ก ผมสงสัยนะ… ว่าทำไมคนไทยยังไม่เคยได้รางวัลโนเบลสักที เป็นเพราะระบบการศึกษาแบบท่องจำของเราหรือเปล่านะ ?
แต่อาจไม่ใช่…
อาจเป็นเพราะคนไทยเก่งแหล่ะ แต่อายุยืนไม่พอ รอจนได้รางวัล?
สิบกว่าปีที่แล้ว ผู้เขียนมีฝันอย่างนึง ว่าอยากได้รางวัลโนเบล เหมือนเป็นเรื่องตลกเลยสินะนี่…
ผมไม่ได้อยากได้เพราะเงินนะ พูดจริงๆ นะสาบานได้เลยทั้งๆ ที่รู้ด้วยว่าเกิด โป้งโชคดี เผลอได้รางวัลนี้ขึ้นมา จะได้เงินตั้งเกือบสี่สิบล้านบาท แต่พูดแล้วเหมือนจะเป็นพระเอกไป.. แต่อยากได้เพราะอยากสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ จริงๆ
ผมอยู่ในยุคที่พูดได้ว่า ญี่ปุ่นร่ำรวยและรุ่งเรืองในการได้รางวัลโนเบลมาก
ผมเคยเห็นอาจารย์ที่ได้โนเบล ตัวเป็นๆ เดินอยู่ในมหาวิทยาลัย
อาจารย์ที่สอนฟิสิกส์ เล่าให้ฟังว่าเมื่อวานไปกินราเมงกับอาจารย์โนเบล
หรือความจริงคือ อาจารย์ที่ได้โนเบล ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เกรดเฉลี่ยต่ำกว่าค่า mean ด้วยซ้ำ
คุณคิดดูสิ เด็กญี่ปุ่นที่ได้เห็น สัมผัส ได้ยิน หรือได้รู้แบบนี้ ล้วนเป็นสิ่งบันดาลใจว่า โนเบลไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อมเลย
แม้แต่ตัวเราเอง ก็ได้คะแนนตอนเรียนดีกว่าอาจารย์ที่ได้โนเบลด้วยซ้ำ (ไม่ได้โม้นะ) ดังนั้นโนเบล เราเลยหลงคิดไปว่ามันไม่ได้เป็นฝันที่ไกลเกินความจริงขนาดนั้น
ต่างจากประเทศไทย… จะมีเด็กมหาลัยของไทยซักกี่คนเคยเจอนักวิทยาศาสตร์โนเบล แถมเราคงคิดไปด้วยซ้ำว่าคนที่จะได้โนเบลคงเรียนเก่ง ผลการสอบเข้าขั้นอัจฉริยะ ดูยังไงก็เป็นฝันที่ใหญ่โตเกินที่คนไทยจะไปถึง?
ผู้เขียนยังคงฝันว่า… จะมีคนไทยสักคน ที่ได้สัมผัสโนเบล
และหากวันนั้นมาถึง มันจะเป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ เราจะมีเด็กๆ ที่ใผ่ฝันเป็นนักวิทยาศาสตร์มากขึ้น เราจะมีคนที่รักการเรียนรู้ รักการค้นพบ มากขึ้นเป็นกอง และมันคงจบที่ว่า เราจะมีประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม
ฤาการที่เราจะได้ Nobel จะเป็นแค่เรื่องตลก ฝันลมๆ แล้งๆ ของคนไทย?
PS
คุณมานาเบะ กลายเป็นคนญี่ปุ่นที่อายุมากที่สุดตอนรับรางวัลโนเบล
บทสนทนา เป็นเพียงจินตนาการ ของผู้เขียน
เรื่องแนะนำ :
– โนเบล…(อีกแล้ว)
– 継続は力なり – กรุงโตเกียวก็สร้างไม่เสร็จในวันเดียว
– [เรื่องสั้น 2058] @bV6eBJOQc7bUvgO
– สัมภาษณ์หางาน กับเงินเดือน 250,000
– วิ่งสุดท้ายแข่งกับ นีล อาร์มสตรอง ?
#เรื่องตลก Nobel ทำไมคนไทยยังไปไม่ถึงซะที