Flower Studio Parterre จากร้านดอกไม้เพื่อชุมชน สู่สะใภ้ทูตดอกไม้ไทย-ญี่ปุ่น
ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีผู้อ่าน marumura ทุกท่านนะคะ ชื่อโนโซมิ สะใภ้ไทยที่เขียนเพจ เมื่อฉันมาอยู่อิวาเตะค่ะ หลังจากที่แต่งงานและย้ายมาเป็นสะใภ้ร้านดอกไม้อยู่ที่จังหวัดอิวาเตะ ภูมิภาคโทโฮขุ นอกจากเรื่องดอกไม้และวัฒนธรรมต่างๆ ของที่นี่ที่น่าสนใจแล้ว ก็ได้มีโอกาสรู้จักกับผู้คนหลากหลายอาชีพ เลยตั้งใจอยากมาเล่าเผื่อเป็นเกร็ดความรู้และแรงบันดาลใจต่างๆ ให้กับผู้อ่านทุกท่านค่ะ
เมื่อ 28 ปีก่อนที่คุณแม่สามีเริ่มทำร้านดอกไม้ อยู่ในช่วงที่่่มีความต้องการดอกไม้สูงเนื่องจากบ้านคนญี่ปุ่นสมัยก่อนจะมีห้องรับแขกที่ปูเสื่อทาทามิ มักประดับดอกไม้จัดสไตล์ญี่ปุ่น (อิเคบานะ) อยู่เสมอ ถือเป็นยุคทองของครูสอนจัดอิเคบานะก็ว่าได้
กาลเวลาผ่านไปโครงสร้างบ้านเปลี่ยนไป ผู้คนอาศัยตามอพาร์ทเม้นท์เพิ่มขึ้น การจัดอิเคบานะจึงค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ ด้านธุรกิจสถานที่รับจัดงานงานแต่งงาน งานศพก็เริ่มหันมาจัดดอกไม้เอง ทำให้ร้านดอกไม้จำนวนมากต้องปิดกิจการลง นี่เป็นเรื่องราวของร้านดอกไม้เล็กๆ ที่ประคับประคองมาได้ถึงทุกวันนี้ จนกู้สถานการณ์ช่วงวิกฤตกลับมาได้เมื่อลูกชายคนสุดท้องและสะใภ้ไทยมาช่วยสานต่อธุรกิจ
สุขจากการปลูกดอกไม้กระถาง
คุณแม่โชโกะยามว่างจากการเป็นครูโรงเรียนอนุบาลและเลี้ยงลูก 4 คน เธอชอบจัดสวนและปลูกดอกไม้กระถางจำนวนมากจนประกวดได้รางวัลชนะเลิศ ขณะที่ท้องลูกคนที่ 5 ซึ่งก็คือสามีของโน เธอคิดว่าถึงเวลาแล้วที่อยากลองใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับดอกไม้ที่ชอบบ้าง จึงตัดสินใจเริ่มทำร้านดอกไม้หลังคลอดโชเฮได้ 2 เดือน เธอตั้งชื่อร้านเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า「花工房パルテール」(Flower Studio Parterre) แปลว่า ชั้นวางดอกไม้
การตั้งชื่อร้านนั้นเธอให้เหตุผลว่า คนญี่ปุ่นมักนิยมตั้งชื่อร้านต่างๆ เป็นภาษาฝรั่งเศสทำให้ร้านดูดี และทันสมัย การเปิดร้านดอกไม้ที่ญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องมีใบประกอบอาชีพใดๆ แต่เมื่อเริ่มทำร้านจึงมารู้ว่าความต้องการของดอกไม้จัดช่อ และจัดรูปแบบต่างๆ มีมากกว่าดอกไม้กระถาง ทำให้คุณแม่โชโกะเรียนรู้ด้วยตัวเองเพราะอยากหาแนวการจัดที่ชอบมากที่สุด
ดอกไม้ไม่ต้องพูดอะไรก็ขายตัวมันเอง
ถึงแม้ตลาดขายส่งดอกไม้จะอยู่ต่างเมือง ต้องขับรถไปกลับร่วม 3 ชั่วโมง ร้านเราจะไปดูของเอง อาทิตย์ละ 3 ครั้งจึงได้ดอกไม้ที่สวย แปลกตา มีความสดใหม่ แถมราคาไม่สูงเท่าร้านที่ซื้อผ่านพ่อค้าคนกลาง ทำให้ลูกค้าได้ดอกไม้ในปริมาณที่สมราคา เมื่อดอกไม้มาถึงร้าน จะมีการควบคุมคุณภาพให้ดีที่สุด เริ่มจากเตรียมดอกไม้ให้อยู่ในสภาพที่ดูดน้ำและอยู่ได้นานโดยหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี หรือหากหน้าร้านมีดอกไม้ที่ยังดูสวยแต่คาดเดาได้ว่าอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่วันก็จะแยกออกมาก่อน เมื่อดอกไม้ร้านเราอยู่ได้นานลูกค้าก็ประทับใจและอยากที่จะกลับมาอุดหนุนอีก
นอกจากขายดอกไม้สด ก็มีของตกแต่งบ้านซึ่งทำจากดอกไม้สบู่ที่คุณแม่โชโกะชอบและสนใจ เมื่อลูกค้าสอบถามก็สามารถตอบรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน
บทสนทนาสร้างความประทับใจ
แน่นอนว่าหากเราไปร้านไหนแล้วมีคนจำเราได้ก็จะรู้สึกดี คุณแม่โชโกะจึงพยายามจำเอกลักษณ์ของลูกค้า รวมถึงสไตล์ดอกไม้ที่ชอบสั่ง ส่วนมากลูกค้าผู้ชายจะไม่ค่อยมีไอเดียเรื่องดอกไม้ จึงมักออเดอร์ว่า “โอมากาเสะ” หรือตามใจผู้จัด เราก็จะคอยถามเป็นเชิงไกด์ไลน์แทนว่าคนรับเพศอะไร อายุประมาณเท่าไหร่ เนื่องในโอกาสอะไร นำไปให้เลยหรือให้พรุ่งนี้ เพื่อจัดออกมาให้ใกล้เคียงตามความเหมาะสมของผู้รับมากที่สุด โดยไม่เบื่อที่จะซักถาม สำหรับลูกค้าที่มาซื้อประจำเราจะมีบัตรสะสมแต้มที่ไม่มีค่าสมาชิกและใช้ได้ตลอดไม่มีวันหมดอายุ นอกจากการประทับตราแล้วเราจะเขียนวันที่ไว้ เมื่อลูกค้าโดยเฉพาะผู้สูงอายุมาซื้อและเราเห็นว่าไม่ได้มาสักระยะก็จะถามไถ่สุขภาพ สาระทุกข์สุขดิบทำให้ลูกค้ารู้สึกได้ถึงความห่วงใยและใส่ใจ
สืบต่อธุรกิจสู่คนรุ่นใหม่
ถึงแม้ว่าโชเฮ สามีของโนจะเกิดและเติบโตมาคู่กับร้านดอกไม้ แต่เขาสนใจเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ จึงห่างบ้านไปเรียนคณะ Food science ที่กรุงโตเกียวและทำงานได้ 3 ปี เมื่อยอดขายร้านดอกไม้เริ่มลดลงเรื่อยๆ โชเฮจึงตัดสินใจที่จะกลับมาสานต่อธุรกิจ ด้วยเหตุผลที่อยากตอบแทนบุญคุณของคุณพ่อคุณแม่ที่เลี้ยงดูมาและเสียดายหากร้านต้องปิดตัวลง เมื่อกลับมาช่วยช่วงแรกคุณพ่อไม่ยอมรับในสิ่งที่วางแผนเพื่ออนาคตของร้าน เช่น การขยายแหล่งขายสินค้า เพิ่มกำลังคน หรือช่องทางออนไลน์ จึงขอให้เชื่อใจและพิสูจน์ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นใน 1 ปีถัดมา ทั้งนี้สามีไปอยู่หน้าร้าน และจัดดอกไม้ด้วยตัวเองเพื่อเข้าใจและรู้ถึงปัญหาได้อย่างถ่องแท้
การแก้ปัญหาพลิกวิกฤต
เริ่มจากการเพิ่มยอดขายโดยไม่ลดต้นทุนหรือใช้คุณภาพสินค้าที่ด้อยลง แต่สามีกลับคิดที่จะขยายคู่ค้าและเพิ่มช่องทางการทำธุรกิจ โดยหาคู่ค้าที่ยังมีช่องว่างที่ร้านดอกไม้เข้าไปร่วมธุรกิจได้ อย่างสถานที่จัดงานแต่งที่จ้างร้านดอกไม้ต่างเมืองอยู่ ร่วมมือกับภาครัฐในการทำของที่ระลึกตอบแทนผู้บริจาคภาษีบำรุงเมือง รวมไปถึงส่งของขึ้นห้างใหญ่ในกรุงโตเกียวโดยเน้นคุณภาพ และปริมาณเป็นปัจจัยหลัก อีกทั้งขยายช่องทางออนไลน์นอกจากเว็บไซต์ร้านที่มีอยู่แล้ว
โดยสร้างเพจเฟสบุ๊ค อินสตาแกรม ไลน์ เพื่ออัพเดตสินค้าใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไปตลอด ทั้งนี้ทั้งนั้นจะไม่ลงเงินกับสื่อโฆษณาเพราะเชื่อว่าคนญี่ปุ่นมักจะเชื่อใจในด้านของการบอกต่อปากต่อปากมากกว่า นอกจากนี้มีการจับมือร่วมกับธุรกิจอื่นๆ ในท้องถิ่น สำหรับจัดเซ็ตของขวัญพิเศษเช่น ร้านชีสเค้กชื่อดัง โรงงานแคชเมียร์ ทำให้หลายคนรู้จักร้านเรามากยิ่งขึ้น
หลักเศรษฐศาสตร์ของร้านดอกไม้
แทนที่จะทิ้งดอกไม้ที่เหลือ กลับนำดอกไม้ที่คิดว่าใกล้จะเหี่ยวมาตากแห้งแต่เนิ่นๆ เพื่อทำเป็นดอกไม้แห้งและนำมาแปรรูปสินค้าในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ในน้ำมัน (Herbarium) งานเรซิ่นส่งขึ้นห้างสรรพสินค้า จนช่วงหลังมีห้างสั่งซื้อในปริมาณมาก จึงต้องซื้อดอกไม้มาอบแห้งเพิ่ม จึงฉุกคิดได้ว่าเราน่าจะซื้อดอกไม้แห้งจากชาวบ้านที่ทำอาชีพนี้อยู่แล้ว ซึ่งไปเจอคุณยายที่ตั้งใจอบดอกไม้ออกมาอย่างสวยงาม แต่ถูกตลาดสหกรณ์กดราคาอยู่เสมอ จึงสนับสนุนซื้อในราคาที่สมกับคุณภาพ และเปลี่ยนความเชื่อให้กับชุมชนชาวบ้านที่ใกล้เคียงว่า หากเราตั้งใจทำให้สินค้าออกมาได้มาตรฐาน ก็จะมีคนที่เห็นคุณค่าของผลงานโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร ปัจจุบันมีชาวบ้านหลายคนใส่ใจและตั้งใจทำสินค้าของตัวเองให้ดีเพิ่มขึ้น
ช่วยเหลือชุมชน สร้างสังคมที่น่าอยู่
เดิมทีคุณแม่โชโกะรับเป็นครูสอนจัดดอกไม้ให้กับนักเรียนมัธยมปลาย ชมรมดอกไม้ประมาณ 3-4 โรงเรียน ทางโรงเรียนมีงบที่จำกัดเลยไม่คิดค่าสอน ขอเพียงค่าอุปกรณ์ดอกไม้ เพื่อเพิ่มรอบที่มาฝึกฝนก่อนการแข่งขันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมาได้ คุณแม่มองว่าเป็นการสนับสนุนโรงเรียนในชุมชน หากนักเรียนที่สอนได้เป็นตัวแทนประจำจังหวัดก็รู้สึกภูมิใจถือเป็นความสุขทางใจ
ส่วนสามีโชเฮหลังจากงานขึ้นห้างกำลังไปได้สวย แต่ขาดแคลนแรงงานในการทำ และได้ข้อมูลมาว่าสามารถจ้างงานผู้ที่ต้องอยู่ติดบ้าน เช่น ผู้ดูแลพ่อแม่สูงวัย แม่ลูกอ่อน ซึ่งพวกเขาต้องการมีรายได้เช่นกัน ในเมื่องานของเราสามารถทำที่ไหนก็ได้ จึงยินดีสนับสนุนพวกเขาเพราะหากต้องจ่ายค่าแรงเท่ากันก็อยากที่จะให้โอกาสกับผู้ที่มีข้อจำกัดก่อน คนทั่วไปที่ยังมีทางเลือกอื่น
นอกจากนี้คุณสามีก็นำงานอีกส่วนหนึ่งไปให้กับศูนย์ผู้บกพร่องทางร่างกาย ซึ่งที่นี่เป็นสถานที่รวมของคนพิการเพื่อทำงานต่างๆ แต่ด้วยข้อจำกัดของพวกเขา เช่น ความเร็วในการทำงาน ทำให้หลายหน่วยงานไม่สามารถแบ่งงานมาให้ทำ เรามองว่าพวกเขาก็เป็นคนในชุมชนเหมือนกัน เมื่อพวกเขาไม่มีงานก็จะทำให้ผู้พิการอีกหลายคนที่อยากจะเข้าศูนย์นี้เข้ามาไม่ได้ ช่วงแรกๆ ยอมรับว่าอาจจะสอนยากกว่าคนอื่นๆ แต่ตอนนี้ฝีมือพวกเขาพัฒนา มีความคล่องมากขึ้นอีกทั้งงานประณีตมาก คิดว่าหากบริษัทอื่นๆ ทราบตรงจุดนี้ก็จะหันมาให้โอกาสพวกเขาบ้าง
สะใภ้ทูตดอกไม้ไทย-ญี่ปุ่น
สามีเล่าว่าการที่ได้โนมาช่วยร้านดอกไม้ นอกจากไอเดียต่างๆ ที่บางทีคาดไม่ถึง ด้วยความคิดต่างมุมมองของคนไทยก็ทำให้ร้านพัฒนาหลุดจากกรอบเดิมๆ อีกทั้งมีการนำดอกไม้ไทยที่ของโครงการหลวงเข้ามา ทำให้ที่ร้านมีดอกไม้ที่ดึงดูดลูกค้าเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันเราได้ส่งออกดอกไม้พรีเซิร์ฟโดยโรงงานญี่ปุ่นไปยังประเทศไทย ทำให้คนไทยได้ใช้ดอกไม้สวย คุณภาพดี อีกทั้งตัวโนเองได้มีโอกาสไปสอนการจัดดอกไม้ตามเทรนล่าสุดของญี่ปุ่น ได้รู้จักผู้คนมากขึ้น จนในที่สุดได้ทำหนึ่งในความฝันของตัวเองให้เป็นจริง นั่นคือการมีหน้าร้านดอกไม้ของตัวเองที่ห้าง Isetan ในประเทศไทย
ด้วยเศรษฐกิจที่ซบเซาและผลกระทบจากไวรัสโคโรน่า ทำให้หลายธุรกิจน่าจะกำลังอยู่ในขาลง จึงหวังว่าเรื่องเล่านี้จะเป็นแรงผลักดันในการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างไปในทางที่ดีขึ้นนะคะ
เพจร้านดอกไม้ https://www.facebook.com/flowerstudioparterrethailand/
ทักทายพูดคุยกับ NOZOMI ได้ที่ www.facebook.com/japansimplelife
เรื่องแนะนำ :
– พลังของละครอามะจัง สู่การฟื้นฟูจังหวัดอิวาเตะที่เคยประสบภัยพิบัติ
– ใบไม้เปลี่ยนสีที่อิวาเตะ
– Sahara Glass Park : มาลองทำแก้วกันเถอะ!
– ตระเวนเที่ยวเทศกาลหน้าร้อนของอีสานญี่ปุ่นกันหน่อยไหม
– Winter Wonderland in IWATE