![]() |
พลเอกบัญชร ชวาลศิลป์ เป็นทหารอาชีพเต็มตัวที่เริ่มงานเขียนสู่สาธารณะตั้งแต่ปี 2524 ด้วยเรื่องราวของชีวิตนักเรียนนายร้อยในชุด “สอยดาวมาร้อยบ่า” ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ “นายร้อยสอยดาว” ปัจจุบันมีงานเขียนประจำอยู่ในสยามรัฐทั้งรายวันและรายสัปดาห์ และยังเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์และวิทยุอีกด้วย เกษียณอายุราชการได้หลายปีแล้ว เลือกที่จะใช้ชีวิตสบายๆ จึงมีเวลาเต็มที่สำหรับการใช้ชีวิตกลางแจ้งตามสไตล์ที่ชื่นชอบ รวมทั้งยังคงมีเวลาให้กับการอ่าน ดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งปฏิบัติมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ระยะหลังๆ ให้ความสนใจและค้นคว้าเรื่องราวในอดีตตามประสาคนสูงวัย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์สงครามจึงกลายเป็นวัตถุดิบที่อยากนำมาแลกเปลี่ยนแง่มุมความคิดกับทุกท่าน |
พบกันได้ทุกวันศุกร์เวลา 12.00 น.ถึง 13.30 น.ทาง FM 101 ในรายการ “เสธ.บัญชร ชวนคุย” ที่จัดคู่กับนฤนารท พระปัญญา
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพุธใน www.marumura.com

พันเอก ฮิโรมิฉิ ยาฮาร่า อดีตเสนาธิการอาวุโสกองทัพที่ 32 ประจำเกาะโอกินาว่า บันทึกเหตุการณ์นาทีสุดท้ายของกองกำลังป้องกันเกาะโอกินาว่า ไว้ดังนี้…
“เวลา 03.00 น. พลเอก อูชิจิมา เรียกผมเข้าไปในห้อง ท่านนั่งขัดสมาธิอยู่ในเครื่องแบบเต็มยศ พลเอกโชกำลังดื่มวิสกี้ยี่ห้อโปรด “คิง ออฟ คิงส์” และกำลังมึนมาก ดวงหน้าอันคุ้นเคยล้อมรอบคนทั้งสองอยู่ ผมทำความเคารพอย่างขึงขัง แต่ไม่ได้พูดอะไรเลย โชชวนผมดื่มวิสกี้พร้อมยื่นสับปะรดที่เสียบอยู่บนปลายดาบมาให้ เล่นเอาตกใจในตอนแรก แต่ผมก็กิน จากนั้นโชว่า “ท่านนายพลครับ ท่านนอนหลับสบายเชียวนะ ผมคอยตั้งนานให้ท่านตื่น เพราะกลัวจะเลยเวลาเสียก่อน”
อูชิจิม่าว่า “ผมนอนไม่ค่อยหลับหรอก เพราะคุณกรนซะสนั่น เสียงยังกะฟ้าคำรามแน่ะ”
โช “ใครจะไปก่อนครับ ท่านหรือผม? ให้ผมไปก่อนจะได้นำทางท่านสู่อีกโลกดีมั้ย?”
อูชิจิม่า “ผมไปก่อน”
โช “ท่านครับ… ท่านจะไปสวรรค์ ส่วนของผมไปนรก ผมไม่อาจไปเป็นเพื่อนท่านสู่อีกโลกหนึ่งได้ ก่อนที่ ทาคาโมริ ไซโกะ วีรบุรุษของเราจะกระทำฮาราคีรีได้เล่นหมากรุกกับทหารรับใช้ และท่านพูดว่า [ข้าจะตายเมื่อเอ็งพร้อม] ส่วนผม…ก็จะดื่มคิง ออฟ คิงส์ ไปเรื่อยๆ ระหว่างรอความตาย” ว่าแล้วเขาหัวเราะออกมาสนั่น
ขณะพลเอกโชเอ่ยถึงทาคาโมริ ไซโกะ ทุกคนต่างมองไปที่พลเอกอูชิจิม่า เพราะผู้ใต้บังคับบัญชามักเรียกขานท่านว่าไซโกะอยู่เสมอ
นายพลทั้งสองต่อกลอนกันไปมา ผมได้ยินไม่ค่อยถนัดนัก แต่พอจะจำได้ว่าทั้งสองเอ่ยว่าญี่ปุ่นไม่สามารถอยู่ได้หากไม่มีโอกินาวา ซึ่งต่อมาผมได้รู้ว่าถ้อยคำท้ายๆ ของทั้งสองคือ กลอนบทสุดท้ายของอูซิจิม่า…
ท้องทุ่งแห่งยูขุชิมา…
เหี่ยวแห้งร่วงโรยไปก่อนใบไม้ร่วง
แต่จะกลับสู่โมมิโคกุเมื่อเหล่าไม้ผลิบาน
และ…
ปีศาจยึดดินแดนตะวันตกเฉียงใต้เอาไว้แน่น
เราพุ่งลูกธนูออกไปให้โลกพรั่น
สวรรค์ก็พลันด่างพร้อย…
เพื่อปกป้องมาตุภูมิ
กลอนบทสุดท้ายของโช…
ยานบินท่วมฟากฟ้า เรือมาเต็มน่านน้ำ
กระนั้น…เราต่อสู้หาญกล้ากว่าเก้าสิบวัน
น้ำเลี้ยงชีวิตพลันแห้งหดหมดสิ้น
หากวิญญาณมิแดดิ้น…
โลดแล่นสู่สรวงสวรรค์!
เวลาไม่คอยท่า ทุกคนในถ้ำลุกยืนเรียงแถวเพื่อทำความเคารพเป็นครั้งสุดท้าย พันตรีโอโนะผู้มีใบหน้าอ่อนเยาว์ราวเด็กน้อย หากจิตวิญญาณทรหดยิ่งเดินกลับเข้ามาพร้อมรายงานว่า ได้ส่งรายงานฉบับสุดท้ายสู่กองบัญชาการทหารสูงสุดแล้ว ซึ่งมีข้อความว่า….
“กองทัพในพระองค์ได้เตรียมการเพื่อปกป้องดินแดนมาตุภูมิเสร็จสิ้นแล้ว”
โอโนะเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายรหัสมานานหลายปี เขาหัวเราะอย่างขื่นๆ เราใช้คำคำเดียวกันนี้มาตั้งแต่ครั้งยอมแพ้ที่เกาะอัตตูในทะเลแปซิฟิกเหนือ นายพลโชกับผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ทั้งนายทหารและทหารผู้ได้ในความทุกข์ยากแห่งสงคราม รวมถึงนางสาวเฮชิคิย่าและผู้หญิงอื่นๆ ต่างเข้ามาแสดงความเคารพ สตรีเยาว์วัยเหล่านี้มีกำหนดออกเดินทางพร้อมทหารที่เหลือลงไปยังถ้ำอื่นๆ ตามแนวหน้าผาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น นาคาทสึกะทหารรับใช้ของพลเอกโชให้กระติกใส่น้ำอันมีค่ายิ่งแก่พวกเธอพลางบอกว่า ท่านไม่ต้องการสิ่งนี้อีกต่อไป ทหารคนสนิทของโชกล่าวว่า “ท่านครับ ผมเสียใจที่จะต้องไปก่อนได้มีโอกาสจุดธูปที่หน้าศพของท่าน” โชยิ้มออกมาฝืดๆ
พลเอกอูชิจิม่ายืนขึ้นเงียบๆ พลเอกโชถอดเครื่องแบบสนาม จากนั้นตามด้วยท่านสมุห์บัญชีชาโตะ ภายใต้แสงเทียน ขบวนเคลื่อนไปที่ทางออกด้วยหัวใจและร่างกายที่หนักอึ้ง เมื่อถึงหน้าปากถ้ำ แสงจันทร์ไล้ลงเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ท้องฟ้าไร้การเคลื่อนไหว สายหมอกยามเช้าลอยเอื่อยขึ้นจากในหุบเขา ดูราวทุกสิ่งในโลกหวั่นไหว เฝ้าคอยด้วยความรู้สึกสุดลึกล้ำ
พลเอกอูชิจิม่าลงนั่งนิ่งเงียบในที่นั้นเพื่อทำพิธีห่างออกมาจากหน้าปากถ้ำสิบก้าว หันหน้าออกสู่ทะเล พลเอกโชและชาโตะลงนั่งข้างๆ ร้อยเอกซะคากูฉิ ผู้ช่วยในพิธีฮาราคีรียืนอยู่ด้านหลัง ส่วนผมอยู่ห่างออกมาอีก 3 – 4 ก้าว เหล่าทหารยืนที่ปากถ้ำ รอคอย…
บนพื้นที่ด้านหลังเสื้อเชิ้ตสีขาวของพลเอกโชมีคำกลอนเขียนอย่างประณีตงดงามไว้ด้วยพู่กัน
ข้ารับใช้ชาติอย่างอาจหาญ
และถวายชีพแด่องค์ราชันย์
ภายใต้แสงแรกแห่งวัน ผมได้เห็นคำขวัญซึ่งเขียนขึ้นด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ด้วยมือของเจ้าของคำขวัญเอง พลเอกโชเหลียวกับมาทางผมพร้อมส่งรอยยิ้มสง่างามอย่างเดาความรู้สึกได้แล้วพูดขึ้นด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ยาฮาร่า คุณจะได้เห็นว่าผมตายอย่างไร และบอกแก่คนรุ่นหลังๆ ต่อไป”
ชะคากูฉิ ครูสอนฟันดาบกำดาบอันศักดิ์สิทธิ์ของเขาไว้ด้วยมือทั้งสอง เงื้อขึ้นสูงเหนือศีรษะของท่านนายพล แต่กลับลดวงดาบลงแล้วกล่าวว่า “มืดเกินกว่าจะเห็นคอของท่านครับ กรุณาคอยสักครู่…”
จนกระทั่งพร้อม…
แต่ละคนหยิบกริชที่ใช้ในธรรมเนียมฮาราคีรีเสียบท้องอันเปลือยเปล่าของตน และขณะที่ทั้งสองทำดังนั้น ชะคากูฉิก็ตวัดดาบคมกริบของเขาอย่างเชี่ยวชาญและรวดเร็วลงตัดศีรษะของท่านนายพล เริ่มด้วยนายพลอูชิจิม่า จากนั้นจึงเป็นนายพลโช
เหมือนเขื่อนพังทลาย ทหารที่เหลือแตกแถวฮือแล้ววิ่งลงหน้าผาไป ผมลงนั่งที่หน้าถ้ำพร้อมร้อยเอกซะคากูฉิซึ่งร้องออกมาอย่างงงๆ ว่า “สำเร็จแล้ว!” ใบหน้าซีดเผือดของเขามีริ้วรอยของความพอใจ เราจ้องท้องฟ้าที่ค่อยๆ สว่างขึ้นอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงสิ้นเชิง ช่างเป็นนาทีสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนั้น!
นั่นคือการปิดฉากอย่างยิ่งยงให้กับการศึกแสนสาหัสนาน 3 เดือนของเราให้กับกองทัพที่ 32 ที่เราภาคภูมิใจยิ่ง และให้กับชีวิตของท่านนายพลทั้งสอง
ขณะนั้นเป็นเวลา 04.30 น.ของวันที่ 23 มิถุนายน 1945
นี่คือรูปธรรมแห่งคำขวัญ “ตายในสนามรบเป็นเกียรติของทหาร” !!!
(ขอบคุณ “สมรภูมิเดือดโอกินาวา” แปลโดย ฉัตรนคร องคสิงห์)
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพฤหัสบดี ใน www.marumura.com