![]() |
พลเอกบัญชร ชวาลศิลป์ เป็นทหารอาชีพเต็มตัวที่เริ่มงานเขียนสู่สาธารณะตั้งแต่ปี 2524 ด้วยเรื่องราวของชีวิตนักเรียนนายร้อยในชุด “สอยดาวมาร้อยบ่า” ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ “นายร้อยสอยดาว” ปัจจุบันมีงานเขียนประจำอยู่ในสยามรัฐทั้งรายวันและรายสัปดาห์ และยังเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์และวิทยุอีกด้วย เกษียณอายุราชการได้หลายปีแล้ว เลือกที่จะใช้ชีวิตสบายๆ จึงมีเวลาเต็มที่สำหรับการใช้ชีวิตกลางแจ้งตามสไตล์ที่ชื่นชอบ รวมทั้งยังคงมีเวลาให้กับการอ่าน ดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งปฏิบัติมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ระยะหลังๆ ให้ความสนใจและค้นคว้าเรื่องราวในอดีตตามประสาคนสูงวัย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์สงครามจึงกลายเป็นวัตถุดิบที่อยากนำมาแลกเปลี่ยนแง่มุมความคิดกับทุกท่าน |
พบกันได้ทุกวันศุกร์เวลา 12.00 น.ถึง 13.30 น.ทาง FM 101 ในรายการ “เสธ.บัญชร ชวนคุย” ที่จัดคู่กับนฤนารท พระปัญญา
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพุธ ใน www.marumura.com

แฟน คลินต์ อีสต์วูด คงไม่มีใครพลาดหนังฝาแฝด “FLAGS OF OUR FATHER” กับ“LETTER FROM IWO JIMA” ฝีมือการสร้างและกำกับของเขาเมื่อปี 2549 ไม่แน่ใจว่าได้นำมาฉายตามโรงหนังบ้านเราหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือทุกวันนี้ยังมีวางขายบนแผงหนังแผ่นซึ่งดูท่าว่าคงขายดีพอควรเพราะขาดตลาดอยู่บ่อยๆ “หนัง 69 บาท” ทั้งสองเรื่องนี้มาจากตำนานการสู้รบของทหารสหรัฐกับญี่ปุ่นครั้งสงครามแปซิฟิกบนเกาะเล็กๆ ห่างลงไปทางใต้ประมาณ 700 ไมล์เศษจากเกาะใหญ่ญี่ปุ่น
อิโวจิมา
สืบเนื่องจากความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของกองทัพเรือญี่ปุ่นที่มิดเวย์เมื่อมิถุนายน 2485 จากนั้นดุลยภาพของสงครามแปซิฟิกก็เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ กองทัพอเมริกันค่อยๆ กระชับพื้นที่รุกไล่เข้าใกล้เกาะใหญ่ญี่ปุ่นตามลำดับ จนกระทั่งประสบความสำเร็จครั้งสำคัญในการแย่งยึดฟิลิปปินส์คืนได้เมื่อตุลาคม 2487 และภายหลังการมอบหมายให้นายพลแม็คอาเธอร์ปักหลักอยู่ที่ฟิลิปปินส์เพื่อสถาปนาความมั่นคงของยุทธบริเวณแปซิฟิกใต้ จากนั้นกองกำลังส่วนใหญ่ของสหรัฐภายใต้บัญชาการของนายพลเรือนิมิตซ์ก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่ที่หมายแตกหักขั้นสุดท้ายเพื่อยุติสงคราม
กรุงโตเกียว !!!
เพื่อบรรลุที่หมายกรุงโตเกียว กองทัพสหรัฐกำหนด “ที่หมายระหว่างทาง” ไว้ที่อิโวจิมา ด้วยความมุ่งหมายสำคัญคือใช้เป็นฐานบินเพิ่มเติมจากที่หมู่เกาะมาเรียนนา สำหรับส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ บี – 29 พร้อมกับเครื่องบินขับไล่คุ้มกันไปโจมตีกรุงโตเกียวและเมืองใหญ่อื่นๆ ซึ่งระยะทางเพียง 700 ไมล์เศษจะทำให้เครื่องบินรบหลักทั้งสองประเภท มีเวลาเหลือเฟือสำหรับปฏิบัติภารกิจเหนือเกาะใหญ่ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเองก็อ่านแผนการรบของสหรัฐออก จึงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการรักษาเกาะ
อิโวจิมาจึงถือได้ว่าเป็นความเป็นความตายของญี่ปุ่น ดังนั้นจึงคัดเลือกนายทหารมือดีที่สุดคนหนึ่งมาทำหน้าที่บัญชาการป้องกันเกาะสำคัญแห่งนี้!
พลโท ทาดามาชิ คูริบายาชิ
คูริบายาชิเป็นอดีตนายทหารม้าที่ได้รับการยอมรับทั้งความรู้ ความสามารถ และจิตใจสู้รบ ในช่วงทศวรรษ 1920 เขาเคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยทูตทหารประจำกรุงวอชิงตัน จึงได้ประจักษ์กับตนเองถึงความยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมหนักของสหรัฐเป็นอย่างดี เขาเคยเขียนจดหมายถึงทางบ้านว่า “สหรัฐนั้นควรเป็นประเทศสุดท้ายในโลกที่ญี่ปุ่นควรสู้รบด้วย” แต่ด้วยความเป็นทหารอาชีพเลือดนักรบบูชิโดไม่แตกต่างจากนายพลยามาโมโต ที่แม้ไม่เห็นด้วยในการทำสงครามกับสหรัฐ แต่เมื่อเป็นภารกิจของชาติ เขาก็ละทิ้งความเห็นที่แตกต่างนั้นไว้ แล้วทุ่มเทปฏิบัติตามคำสั่งอย่างถึงที่สุด ใช้ชีวิตของตนเป็นเดิมพัน จนเป็นที่ยอมรับในกองทัพญี่ปุ่นและเป็นที่ครั่นคร้ามของศัตรู
คูริบายาชิรู้ดีเหมือนนายทหารในกองบัญชาการที่กรุงโตเกียวที่ส่งเขาไปอิโวจิมาว่า เขาไม่มีทางเอาชนะทหารสหรัฐที่เกาะแห่งนี้ได้เลย แต่ก็ตั้งใจจะสร้างความสูญเสียและความเสียหายให้กับทหารสหรัฐให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อสหรัฐจะได้คิดให้หนักในการบุกเกาะใหญ่ญี่ปุ่น
คูริบายาชิเดินทางมาถึงเกาะอิโวจิมา เมื่อมิถุนายน 2487 ในช่วงเวลาก่อนความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นที่ฟิลิปปินส์จะมาถึงในเดือนตุลาคม เขาตระหนักดีว่า นี่เป็นการเดินทางเที่ยวเดียว ไม่มีเที่ยวกลับ และในทันทีที่มาถึง เขากับฝ่ายเสนาธิการก็ออกตรวจตราพื้นที่เพื่อเตรียมการป้องกันเกาะที่มีความสำคัญต่อความอยู่รอดของแผ่นดินแม่นี้อย่างเต็มที่
เกาะอิโวจิมามีขนาดเล็กด้วยความยาวเพียง 4 ไมล์และกว้าง 2 ไมล์ครึ่ง และเนื่องจากแท้จริงแล้วเกาะแห่งนี้คือยอดภูเขาไฟที่ดิบสนิทแล้ว ดังนั้นบนตัวเกาะจึงปกคลุมด้วยเถ้าถ่านสีดำจากลาวาที่ทับถมอยู่ ต้นไม้ใหญ่แทบจะหาไม่ได้
เหนือสุดของตัวเกาะคือยอดเขาสูง 550 ฟุต ตั้งตระหง่านสูงเด่นนาม “ซูริบาชิ” ซึ่งจะกลายเป็นที่มาของภาพนาวิกโยธิน 6 คนช่วยกันปักธงชาติสหรัฐอันลือลั่น – FLAGS OF OUR FATHERS
ทันทีที่สำรวจสนามรบเสร็จสิ้น คูริบายาชิซึ่งรู้ดีว่า เขาไม่อาจหวังพึ่งกำลังสนับสนุนจากหน่วยเหนือ ไม่ว่าจะจากกองทัพเรือหรือกองทัพอากาศได้เลย รวมทั้งกำลังหนุนทางบกเพิ่มเติมก็เป็นไปไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับเขาและทหารจำนวนประมาณ 20,000 คนที่มีอยู่ขณะนั้นเท่านั้น ความอยู่รอดของพวกเขาเพื่อสร้างความสูญเสียและความเสียหายให้แก่ข้าศึกจึงขึ้นอยู่กับการดัดแปลงภูมิประเทศทุกตารางนิ้วให้เอื้อต่อภารกิจตั้งรับให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ภายใต้ความจำกัดและขาดแคลนทั้งทรัพยากรและเวลา.

ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพฤหัสบดี ใน www.marumura.com