พลเอกบัญชร ชวาลศิลป์ เป็นทหารอาชีพเต็มตัวที่เริ่มงานเขียนสู่สาธารณะตั้งแต่ปี 2524 ด้วยเรื่องราวของชีวิตนักเรียนนายร้อยในชุด “สอยดาวมาร้อยบ่า” ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ “นายร้อยสอยดาว” ปัจจุบันมีงานเขียนประจำอยู่ในสยามรัฐทั้งรายวันและรายสัปดาห์ และยังเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์และวิทยุอีกด้วย
เกษียณอายุราชการได้หลายปีแล้ว เลือกที่จะใช้ชีวิตสบายๆ จึงมีเวลาเต็มที่สำหรับการใช้ชีวิตกลางแจ้งตามสไตล์ที่ชื่นชอบ รวมทั้งยังคงมีเวลาให้กับการอ่าน ดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งปฏิบัติมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ระยะหลังๆ ให้ความสนใจและค้นคว้าเรื่องราวในอดีตตามประสาคนสูงวัย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์สงครามจึงกลายเป็นวัตถุดิบที่อยากนำมาแลกเปลี่ยนแง่มุมความคิดกับทุกท่าน |
พบกันได้ทุกวันศุกร์เวลา 12.00 น.ถึง 13.30 น.ทาง FM 101 ในรายการ “เสธ.บัญชร ชวนคุย” ที่จัดคู่กับนฤนารท พระปัญญา
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพุธ ใน www.marumura.com
บทบาทน่าสนใจของพันโทยาฮารา
ในเดือนพฤษภาคม ๒๔๘๔ ได้มีการยกระดับสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยขึ้นเป็นสถานเอกอัครราชทูต และแต่งตั้งให้พันเอกทามูรา (Tamura) เป็นผู้ช่วยทูตทหารบก โดยมีพันโทยาฮาราเป็นผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบก เขาจึงได้มีโอกาสกลับมาปฏิบัติงานในเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง นายทหารญี่ปุ่นคนนี้น่าสนใจทีเดียว
ญี่ปุ่นประชิดแดนไทย
หลังจากได้เข้ามาสร้างบทบาทของตนในอินโดจีนของฝรั่งเศสซึ่งกำลังเพลี่ยงพล้ำต่อเยอรมันจนเข้มแข็ง ในที่สุดเมื่อ ๒๔ กันยายน ๒๔๘๔ ญี่ปุ่นก็ส่งกำลังทหารขึ้นบกที่ท่าเรือไฮฟองมุ่งเข้าสู่กรุงฮานอย ทำให้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในดินแดนนี้ และในวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๔๘๔ ก็ลงนามในสนธิสัญญาเป็นพันธมิตร่วมกับเยอรมนีและอิตาลี
ต่อมาญี่ปุ่นก็ตั้งกองบัญชาการของตนที่กรุงไซง่อนแล้วส่งกองพลรักษาพระองค์ (Konoe Imperial Guards Division) เคลื่อนกำลังข้ามแม่น้ำโขงผ่านกรุงพนมเปญ เข้ามาประจำอยู่ที่เมืองศรีโสภณ ซึ่งห่างจากพรมแดนของไทยด้านอรัญประเทศไม่มากนัก
แสนยานุภาพแห่งกองทัพลูกพระอาทิตย์จึงจ่อประชิดแดนไทยแค่เอื้อม !!!
พันโทยาฮาราในบทสำคัญ
ในห้วงระยะเวลาเดียวกันนั้นเอง ญี่ปุ่นก็ได้เร่งระดมสร้างสนามบินขึ้นหลายแห่งในพื้นที่ตอนใต้ของอินโดจีนฝรั่งเศส (ซึ่งถูกญี่ปุ่นลดอำนาจไปหมดสิ้นแล้ว) และจากสภาวการณ์ดังกล่าวนี้เอง อังกฤษจึงได้เตรียมเสริมกำลังกองทัพของตนเป็นการใหญ่ทั้งในมลายู สิงคโปร์ และพม่า รวมทั้งได้มีการเคลื่อนย้ายกำลังบางส่วนเข้าไปตามแนวชายแดนพม่าและมลายูที่ติดกับไทยอีกด้วย
ญี่ปุ่นมีแผนการที่จะเคลื่อนกำลังกองทัพเข้าสู่ประเทศไทยโดยสันติ เพราะหวังจะใช้ไทยเป็นแหล่งสนับสนุนในการส่งกำลังเพื่อเข้าบุกมลายูและพม่าต่อไป แต่หากไทยไม่ยอมให้ผ่านแต่โดยดี ก็พร้อมใช้กำลังทหารเข้ายึดทันที ทั้งนี้ได้กำหนดแผนการที่จะเคลื่อนกำลังเข้าสู่ประเทศไทยตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน ๒๔๘๔ โดยใช้กำลังกองทัพที่ ๑๕ ซึ่งมี พลโท อีดา เป็นแม่ทัพ กำลังส่วนนี้ประจำการอยู่ที่กรุงไซง่อนโดยจะเคลื่อนที่เข้าสู่ประเทศไทยทางด้านอรัญประเทศ
และระหว่างนี้เอง พันโทยาฮาราก็ได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นฝ่ายเสนาธิการประจำกองทัพที่ ๑๕ อีกตำแหน่งหนึ่ง ทำให้สามารถใช้สิทธิพิเศษทางการทูตเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย ไปติดต่อราชการลับกับกองทัพที่ ๑๕ ซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมบุกประเทศไทยได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพฤหัสบดี ใน www.marumura.com