คนญี่ปุ่นเป็นชาติที่ขี้เกรงใจ ช่างถนอมน้ำใจอยู่แล้ว ขนาดคุยโนะเนะกันเขาก็คิดมากอยู่แล้ว เพราะภาษาญี่ปุ่นต้องมีคำยกย่อง คำถ่อมตน คำสุภาพหลายระดับ พอปรับโหมดเป็นภาษาอังกฤษปุ๊บ เขาเลยกลัวผิดแกรมม่า กลัวพูดผิดแล้วเป็นการเสียมารยาทต่อฝ่ายตรงข้าม
ข้อใดต่อไปนี้ เป็นปฏิกิริยาคนญี่ปุ่นเมื่อคุณไปเที่ยวแล้วถามทางพวกเขาเป็นภาษาอังกฤษ
ก. เขาตอบว่า “โอ้ โน่ๆๆๆๆ” แล้วโบกมือเป็นใบพัดด้วยความเร็วสูง
ข. เขาตอบว่า “โน่. ไอ แค้น อี๊ท อิงลิช. ซ้อหรี่”
ค. เขาพลิกตัวสับขาหลอกแบบโรดัลนิญโญหลบไปอย่างรวดเร็วระดับความเร็วแสง
ง. เขาตอบเป็นภาษาญี่ปุ่น (อยู่ได้) แม้ว่าคุณจะย้ำประมาณ 18 รอบว่า คุณไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นเลยก็ตาม (เขาตั้งอกตั้งใจตอบแบบจริงจังเสียด้วย)
ทั้ง 4 ข้อบนน่าจะเป็นปฏิกิริยาส่วนใหญ่ที่นักท่องเที่ยวไทยพบเจอกันนะคะ หากคุณเผอิญเจอคนญี่ปุ่นที่ไม่สะดุ้ง ไม่หนีคุณ และตอบภาษาอังกฤษได้คล่อง คาดว่าคุณคงเที่ยวอยู่แถวโตเกียว และโชคดีได้พบกับคนญี่ปุ่นพันธุ์หายากเข้าแล้วล่ะค่ะ ดิฉันแนะนำว่า คราวหน้า ถ้าคุณพบคนแบบนี้อีก ให้จับมือและขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเลยนะคะ หายากจริงๆ
คนญี่ปุ่นโดยปกติ แม้จะเป็นระดับเด็กมหาลัยหรือมนุษย์เงินเดือนก็ตาม มักจะเห็นว่าการพูดภาษาอังกฤษเป็นเรื่องลำบากมาก เท่าที่ดิฉันสังเกต คาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากเรื่องดังต่อไปนี้ค่ะ
1. ขี้เกรงใจ ขี้กลัว
คนญี่ปุ่นเป็นชาติที่ขี้เกรงใจ ช่างถนอมน้ำใจอยู่แล้ว ขนาดคนญี่ปุ่นคุยโนะเนะกันเขาก็คิดมากอยู่แล้ว เพราะภาษาญี่ปุ่นต้องมีคำยกย่อง คำถ่อมตน คำสุภาพหลายระดับ พอปรับโหมดเป็นภาษาอังกฤษปุ๊บ เขาเลยกลัวผิดแกรมม่า กลัวพูดผิดแล้วเป็นการเสียมารยาทต่อฝ่ายตรงข้าม (พี่แกก็เลยเล่นไม่พูดเอาซะเลย)
อันที่จริง ฝรั่งก็ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นเวลาเห็นคนต่างชาติพูดภาษาอังกฤษผิดๆ ถูกๆ นะคะ แถมระดับภาษาเขาก็ไม่ได้ยกย่อง “คุณ” หรือมีพวกคำแสดงความสุภาพเช่น “ครับ/ค่ะ” ซึ่งต่างจากภาษาญี่ปุ่น
นอกเรื่องนิดหนึ่ง แล้วถ้าคนต่างชาติพูดภาษาญี่ปุ่นผิดๆ ถูกๆ ล่ะ อันนี้แล้วแต่ความใจกว้างของคนญี่ปุ่นแต่ละคนและระดับความสัมพันธ์ของคุณกับเขา ถ้าเขาเป็นเจ้านายหรืออาจารย์ เขาอาจคาดหวังให้คุณพูดภาษาให้เก่งกว่านี้ และอาจกดดันคุณเล็กน้อย (ด้วยวาจาหรือสายตา แล้วแต่คน) แต่ถ้าเขาเป็นคุณลุงคุณป้าข้างบ้าน คนญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยสนิทสนมกับเรา เขาอาจจะทนๆ ฟังภาษาแปร่งๆ ของคุณได้ และไม่ได้ตำหนิอะไรต่อหน้าค่ะ ไม่ต้องห่วง
2. สิ่งแวดล้อมที่สะดวกสบาย (เกินไป)
ตอนนี้ ดิฉันสอนวิชาการตลาดอยู่ค่ะ ตอนแรกเห็นสไลด์ที่พี่ๆ อาจารย์ใช้สอน ก็ไม่เข้าใจว่า อาจารย์ก็คนไทย เด็กก็คนไทย ทำไมสไลด์ Power point ต้องเป็นภาษาอังกฤษด้วย แต่ผ่านไป 2-3 วัน ก็ถึงบางอ้อว่า เราใช้ตำราภาษาอังกฤษนี่เอง และสำนักพิมพ์เขาก็ทำ Power point มาให้เลย ผู้สอนอย่างเราแค่ใส่รูปหรือปรับคำเล็กน้อยเท่านั้น แถมศัพท์เฉพาะบางคำ ใช้ภาษาอังกฤษทับไปเลยก็ดีกว่า ถ้าแปลเป็นไทยมันจะดูทะแม่งๆ เช่น “Targeting” (แทนคำว่า “การระบุลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย”) “Customer Relationship Management” (แทนคำว่า “การบริหารจัดการความสัมพันธ์กับผู้บริโภค”) เด็กมหาลัยไทยก็เลยคุ้นๆ กับศัพท์ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี
แต่ที่ญี่ปุ่น ตำราทุกเล่มที่มาจากต่างประเทศจะถูกแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นค่ะ สมัยเรียน ดิฉันทุกข์ทรมานเล็กน้อย เพราะตำราเรียนเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย หนังสือธุรกิจเล่มใหม่ๆ ออกปุ๊บ หลังจากนั้น 3-4 เดือน ฉบับญี่ปุ่นก็วางแผงแล้ว ไม่เหมือนบ้านเรา ที่ใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี หรือหนังสือดีๆ บางเล่มก็ต้อง(ทน) อ่านเป็นภาษาอังกฤษเอา
ส่วนพวกคู่มือใช้สินค้า ป้าย ฉลากสินค้านำเข้าต่างๆ บริษัทเขาก็แปลเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เรียบร้อย เพราะเขารู้ว่า เขียนเป็นภาษาอังกฤษไป คนญี่ปุ่นแปลไม่ออก เดี๋ยวเอาไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ช่างแตกต่างกับพวกเราชาวสยามเหลือเกิน หลายบริษัทเห็นว่า ตลาดไทยเป็นตลาดเล็กๆ ภาษาไทยก็มีคนอ่านเขียนอยู่ประเทศเดียว เลยให้เราอดทนอ่านภาษาอังกฤษไป เราต้องแปลเอง ช่วยเหลือตัวเอง แต่ถ้ามองในแง่ดี นั่นก็ทำให้เราแกร่งภาษาอังกฤษมากขึ้นค่ะ
(จนบัดนี้ ยังไม่ค่อยเข้าใจว่า ทำไมสินค้าหลายชิ้นมากที่ Ikea บางนา ต้องมีสติ๊กเกอร์แปะเป็นภาษาญี่ปุ่น ทำนองว่า Ikea Japan)
3. สิ่งแวดล้อมชาวเกาะ
เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศเกาะ เขาก็อยู่กันในหมู่คนญี่ปุ่น ไม่ค่อยได้เจอต่างชาติเท่าไร ไม่เหมือนบ้านเรา มีแรงงานพม่า ลาว เขมรเข้ามาทำงานบ้าง คนมาเลเซีย สิงคโปร์ข้ามมาทำธุรกิจ มาท่องเที่ยวบ้าง คนอินเดีย ศรีลังกา ก็ต้องมาเปลี่ยนเครื่องที่ไทยเวลาจะไปประเทศอื่น (เกี่ยวไหมนี่) เอาเป็นว่า ความหลากหลายทางประชากรของเราสูงกว่าคนญี่ปุ่นก็แล้วกันค่ะ
4. ปัญหาด้านการศึกษา
อันนี้ ดิฉันคิดว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้สักที แบบฝึกหัดและข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษของคนญี่ปุ่น ข้อสอบของคนญี่ปุ่นไม่รู้เป็นอะไร ชอบให้นักเรียน “แปล”
ตอนอยู่มหาลัยปี 1 ดิฉันก็ต้องเรียนภาษาอังกฤษค่ะ แต่เชื่อไหมคะ ดิฉันได้ฝึกภาษาญี่ปุ่นมากกว่าอีก เพราะอาจารย์จะมีเรียงความเป็นภาษาอังกฤษมา 1 หน้า แล้วให้พวกเราแปลกันคนละประโยค วนไปทั้งห้องแบบนี้ เรียนมันหยั่งงี้ทั้งเทอม เด็กพูดอังกฤษได้ก็บ้าแล้ว ลองดูแบบฝึกหัดวิชาภาษาอังกฤษของเด็กมัธยมญี่ปุ่นกันค่ะ
ภาพ:
ข้อ 1. จงแปลประโยคภาษาญี่ปุ่นต่อไปนี้ให้เป็นภาษาอังกฤษ
ข้อ 2. จงแปลประโยคภาษาอังกฤษต่อไปนี้ให้เป็นภาษาญี่ปุ่น


(ตัวอย่างข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษเด็กม. 2)
I ………… the horse when a dog appeared.
A: am riding
B: was riding
C: ride
D: rode
Cr: http://www.trueplookpanya.com/true/examination_display.php?exam_id=548
เพราะฉะนั้น คนญี่ปุ่นที่ชินกับการ “แปล” ภาษาอังกฤษเป็นภาษาญี่ปุ่น พอต้องพูดภาษาอังกฤษโต้ตอบจริงๆ ในหัวเขาก็จะแปลจากอังกฤษเป็นญี่ปุ่นก่อน ตึ๊ด ตึ๊ด ตึ๊ด (เสียงสมองประมวลคำ) พอทำความเข้าใจได้ แล้วจะตอบกลับ ก็ต้อง ตุ๊ด ตุ๊ด ตุ๊ด “แปล” ความคิดภาษาญี่ปุ่นเป็นอังกฤษต่อ เลยใช้เวลานาน ก็เลย “อะโหน่..อะโหน่…ไอ…ยู” พูดไม่ออกสักที น่าสงสารจริงๆ
ทักทายพูดคุยกับเกตุวดี ได้ที่ >>> Japan Gossip by เกตุวดี Marumura