ออกเดินทางไปกับ ‘ในครึ่งที่ยังว่างของกระเป๋าเดินทางสีฟ้า’
เคยรู้สึกไหมว่า ในขณะที่เราออกท่องเที่ยวยังสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เหมือนกับว่าเวลาหยุดเคลื่อนไหว และเราได้หนีออกจากโลกแห่งความจริง แต่กระนั้นในโลกแห่งความฝันก็ทำให้เราได้นึกย้อน ขบคิดถึงชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง
จากความน่ารัก อบอุ่นที่ชวนให้อยากออกเดินทางใน “คาเฟ่ลูส เมนูที่รักจากการเดินทาง” มาถึง “ในครึ่งที่ยังว่างของกระเป๋าเดินทางสีฟ้า” เล่มนี้ ฟุมิเอะ คนโด ยังคงบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทาง ซึ่งนอกจากจะพาไปเยือนหลายๆ ประเทศแล้ว ยังให้มุมมองและความคิดในการใช้ชีวิตผ่านเรื่องราวการเดินทางของผู้คนที่เป็นทั้งกลุ่มเพื่อน แม่ลูก คนรัก เจ้านายลูกน้อง ที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับกระเป๋าเดินทางใบสีฟ้าสดใส
กระเป๋าเดินทางนำโชค ที่เชื่อมโยงตัวละครเข้าด้วยกัน
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อมามิ ยามากุชิ ตัวแทนของหญิงสาวที่แต่งงานแล้ว ซึ่งมีนิสัยขี้กังวล ไม่กล้าทำเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่คุ้นชิน แต่ก็มีความฝันว่าอยากเดินทางไปเยือนนิวยอร์กสักครั้งในชีวิต ซึ่งอยู่มาวันหนึ่งเธอได้พบเจอกับกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ
‘กระเป๋าใบนั้นทำด้วยหนังดีไซน์คลาสสิก แต่ที่สะดุดตาคือสีฟ้าสดใส เป็นสีฟ้าเจิดจ้าเหมือนกับสีสันของท้องฟ้าในวันนี้พอดี’
การพบเจอกระเป๋าใบนี้ ทำให้มามิ ตัดสินใจที่จะออกเดินทางไปนิวยอร์กด้วยตัวคนเดียว
‘แม้จะตื่นตระหนกตลอดเวลาเหมือนสัตว์กินพืช แต่บางครั้งกระต่ายขี้กลัวก็ออกเดินทางเหมือนกัน’
จากการเดินทางไปนิวยอร์ก กระเป๋าถูกส่งต่อความโชคดีให้กับ ฮานาเอะ นากาโนะ เพื่อนสาวในกลุ่ม ที่เกิดเหตุกระเป๋าเดิมเสียกะทันหันก่อนไปทริปฮ่องกง การไปฮ่องกงในครั้งนี้ทำให้เธอได้ปลดล็อกตัวเองและมีคนรักกลับมาเป็นของแถม
เรื่องราวการเดินทางของกระเป๋าดำเนินต่อไปสู่เพื่อนสาวอีกสองคนในกลุ่มอย่าง ยูริกะ ทาจิฮาระ หญิงสาวผู้ชอบออกไปสัมผัสโลกกว้างผ่านการท่องเที่ยวแบบ Backpacker และยูโกะ ซาวะ สาวนักเขียนที่หลงรักปารีสและออกเดินทางไปทำข้อมูลเพื่อเขียนบทความ
‘ต่อให้มันจะเก่าโทรมเพียงใด กระเป๋าเดินทางก็คงมีโอกาสได้เห็นทิวทัศน์ต่างๆ มากมายกว่ากระเป๋าสำหรับไปงานปาร์ตี้แน่ๆ’
นอกจากการเดินทางของ 4 สาวแล้ว กระเป๋าใบนี้ยังเชื่อมโยงไปถึงคนรอบข้างอย่าง ชิโอริ ญาติของฮานาเอะซึ่งอาศัยอยู่ที่ปารีส การเดินทางของกระเป๋าทำให้เธอได้ไตร่ตรองและพบเจอกับเหตุการณ์ที่ช่วยให้เข้าใจความรู้สึกของตัวเองได้อย่างแท้จริง
‘พอไปต่างประเทศนาฬิกาก็จะหยุดเดิน แล้วค่อยเริ่มเดินอีกครั้งเมื่อกลับญี่ปุ่น เข็มนาฬิกาของชิโอริยังคงหยุดนิ่งเช่นกัน’
การเดินทางของกระเป๋ายังไม่จบลงเพียงเท่านั้น เพราะมันได้เชื่อมโยงไปถึงยูมิ โฮชิอิ แม่เลี้ยงเดี่ยวที่เป็นผู้ขายกระเป๋าให้กับมามิ ซึ่งการกลับมาพบกันอีกครั้งของทั้งสองทำให้เธอได้ตกผลึกทางความคิด และยินยอมให้ฮารุนะ ลูกสาวของเธอห่างจากอ้อมอกไปเรียนที่เยอรมนี ในขณะที่ฮารุนะอยู่ที่เยอรมนี (แน่นอนว่าเอากระเป๋าเดินทางสีฟ้าใบนั้นไปด้วย) เธอก็ได้ทบทวนและทำความรู้จักกับตัวเองมากขึ้น
นอกจากนั้นเนื้อเรื่องยังพาเราไปถึงจุดกำเนิดของกระเป๋าเดินทางสีฟ้าใบนี้ และเรื่องราวความน่ารัก อบอุ่นของข้อความที่มามิได้พบเจอในกระเป๋าครั้งแรก ‘ขอให้โชคดีจงมีแด่การเดินทางของคุณ’
สิ่งที่สอดแทรกอยู่ในเรื่องราวการเดินทาง
ในหนังสือเล่มนี้ นอกจากเรื่องราวการเดินทางของตัวละครแล้ว เรายังได้เห็นแง่มุมหนึ่งของสังคมของประเทศญี่ปุ่นที่ทำให้ตัวละครหลายตัวรู้สึกอึดอัดและอยากหนีออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว ทั้งคนที่ยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่ แยกตัวออกมาอยู่คนเดียว หรือครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว, เรื่องของหน้าที่การงาน, การถูกกดขี่ทางสังคมเพราะความเป็นผู้หญิง, เงินเก็บที่ได้จากอาชีพการงาน ฯลฯ
‘ต้องทำงานล่วงเวลาเป็นเรื่องปกติทั้งที่ก็ไม่ได้มีงานสำคัญอะไร เมื่อไหร่ที่รีบจัดการงานตัวเองให้เสร็จแล้วกลับบ้านตรงเวลาก็จะถูกเจ้านายพูดเสียดสี’
‘ถึงจะรักษาความสะอาดอย่างดี แต่หากไม่แต่งหน้าก็จะถูกตำหนิว่า ขาดสำนึกความเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน และถูกสั่งให้สวมถุงน่องแม้ในกลางฤดูร้อน’
และแน่นอนว่าเมื่อเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการเดินทาง เนื้อหาภายในจึงสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว บรรยากาศ วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของแต่ละประเทศเอาไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์ก ฮ่องกง ฝรั่งเศส อาบูดาบี เยอรมนี รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นเอง
‘อัลไอน์เป็นเมืองโอเอซิสอยู่กลางทะเลทราย…ตัวเมืองเต็มไปด้วยอินทผาลัมสมกับฉายาการ์เด้นซิตี้’
‘การใช้แป้งเซโมลินาสำหรับทำพาสต้า ซึ่งที่อิตาลีจะใช้วิธีต้มสุกในน้ำปริมาณมากอย่างสปาเกตตีหรือมะกะโรนี แต่พอเป็นประเทศที่อยู่ใกล้ทะเลทราย แป้งเซโมลินาก็ถูกแปรรูปเป็นคูสคูสที่แค่นึ่งก็กินได้แล้ว’
‘ฮารุนะยังเคยตกใจตอนที่ได้ยินว่าฤดูสตรอว์เบอร์รีของที่นี่คือฤดูร้อน เพราะที่ญี่ปุ่นจะเริ่มมีให้เห็นประมาณช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคม ก่อนจะหายไปจากท้องตลาดในเดือนพฤษภาคม’
อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจึงชวนให้คิดถึงความรู้สึกเมื่อออกเดินทาง….ตั้งแต่แพลนกำหนดการ ระหว่างการเดินทาง และความรู้สึกเมื่อการเดินทางสิ้นสุดลงในแต่ละครั้ง แม้ระหว่างทางอาจจะมีหลงทางบ้าง เจอปัญหาบ้าง แต่ที่สุดแล้วเราเชื่อว่าการเดินทางสามารถช่วยเติมพลังให้แก่ชีวิตได้มากจริง ๆ และถ้าหากไม่อยู่ในช่วงสถานการณ์โควิดแบบนี้ เราก็อยากจะบอกคุณผู้อ่านทั้งหลายว่า ‘เก็บกระเป๋าแล้วออกเดินทางกันเถอะค่ะ’ เพราะ ‘จะแก่แค่ไหน การเดินทางก็ยังเป็นเรื่องที่สนุกอยู่ดี’
เรื่องแนะนำ :
– ส่องไอเดียสมุดบันทึกต้อนรับปีใหม่ 2021
– ชวนอ่าน คาเฟ่ลูส เมนูที่รักจากการเดินทาง หนังสือที่ให้มากกว่าความสนุกและอบอุ่นเมื่ออ่านจบ
– KANOGU วาดภาพให้สดชื่นด้วยสีมีกลิ่นจากน้ำมันหอมระเหย
– ชวนอ่าน : นกต่อ อดีตที่ตามหลอกหลอนและการเอาชีวิตรอดของนางนกต่อ
– เสริมความแข็งแกร่งและใกล้ชิดธรรมชาติให้มากขึ้นด้วยที่กั้นหนังสือที่ทำจากหิน
#ออกเดินทางไปกับ ‘ในครึ่งที่ยังว่างของกระเป๋าเดินทางสีฟ้า’