ที่แย่มากก็คือ พลเรือนชาวโอกินาว่าประมาณ 42,000 คนที่ตกอยู่ตรงกลางระหว่างกองทัพทั้งสองต้องเสียชีวิตเพราะการถล่มกันและกันด้วยปืนใหญ่และระเบิด !!!
![]() |
พลเอกบัญชร ชวาลศิลป์ เป็นทหารอาชีพเต็มตัวที่เริ่มงานเขียนสู่สาธารณะตั้งแต่ปี 2524 ด้วยเรื่องราวของชีวิตนักเรียนนายร้อยในชุด “สอยดาวมาร้อยบ่า” ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ “นายร้อยสอยดาว” ปัจจุบันมีงานเขียนประจำอยู่ในสยามรัฐทั้งรายวันและรายสัปดาห์ และยังเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์และวิทยุอีกด้วย เกษียณอายุราชการได้หลายปีแล้ว เลือกที่จะใช้ชีวิตสบายๆ จึงมีเวลาเต็มที่สำหรับการใช้ชีวิตกลางแจ้งตามสไตล์ที่ชื่นชอบ รวมทั้งยังคงมีเวลาให้กับการอ่าน ดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งปฏิบัติมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ระยะหลังๆ ให้ความสนใจและค้นคว้าเรื่องราวในอดีตตามประสาคนสูงวัย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์สงครามจึงกลายเป็นวัตถุดิบที่อยากนำมาแลกเปลี่ยนแง่มุมความคิดกับทุกท่าน |

ยูจีน บี.สเล็ดจ์ นาวิกโยธินสหรัฐผู้กรำศึกมาตั้งแต่เกาะเปลีลิวจนถึงโอกินาว่าบันทึกช่วงเวลาสุดท้ายของประสบการณ์บนสมรภูมินรกแห่งนี้ไว้ใน “WITH THE OLD BREED” และฉัตรนคร (องคสิงห์) เขมาสารี แปลเป็น “แปซิฟิก สมรภูมิเดนตาย สหายร่วมรบ” รวมทั้ง สตีเฟ่น สปิลเบิร์ก กับทอม แฮงค์ส นำมาสร้างเป็นหนังชุดออกฉายทางช่อง HBO เมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา ไว้ดังนี้…
“มีหน้าคุ้นๆ เหลืออยู่แค่ไม่กี่หน้า ทหารผ่านศึกเปลีลิวซึ่งขึ้นบกพร้อมกองร้อยเราในวันที่ 1 เมษายน เหลือแค่ 26 นาย และผมยังสงสัยว่าจะมีพวกขาเก่าที่รอดพ้นจากการบาดเจ็บหนใดหนหนึ่งที่เปลีลิวหรือโอกินาว่าถึง 10 นายหรือเปล่า
ตัวเลขที่ออกมาของฝ่ายเราคือ เสียชีวิตและสูญหาย 7,613 นาย ได้รับบาดเจ็บในการรบ 31,807 นาย ผู้ป่วยเป็นโรคทางจิตและระบบประสาทที่ “ไม่ใช่จากการรบ” จำนวน 26,211 นาย ซึ่งอาจเป็นตัวเลขที่สูงกว่าของสมรภูมิไหนๆ ในแปซิฟิก เหตุผลที่ตัวเลขหลังนี้สูงมีอยู่ 2 ประการคือ ฝ่ายญี่ปุ่นระดมถล่มปืนใหญ่และปืนครกเข้าใส่กองกำลังของสหรัฐอเมริกาอย่างหนักที่สุดเท่าที่เคยทำมาในสมรภูมิแปซิฟิก กับความยืดยาวของการตีวงล้อมในการต่อสู้กับข้าศึกที่บ้าคลั่งดุเดือด
นาวิกโยธินและหน่วยเสนารักษ์ของกองทัพเรือที่เข้าสมทบได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายรวมกันที่ 20,020 นาย
แต่จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บล้มตายของฝ่ายญี่ปุ่นนั้นไม่แน่ชัด อย่างไรก็ตาม มีการนับจำนวนข้าศึกที่เสียชีวิตที่โอกินาว่าได้ 107,539 ศพ มีทหารจากกองกำลังข้าศึกที่ยอมแพ้ประมาณ 10,000 นาย กับอีกประมาณ 20,000 ที่อาจติดตายอยู่ในถ้ำหรือถูกฝังโดยฝ่ายญี่ปุ่นเอง และแม้จะไม่มีการนับจำนวนอย่างถูกต้องชัดเจน แต่ในการประเมินขั้นสุดท้ายนั้น ทหารตามป้อมปราการต่างๆ ถูกสังหารเกือบทั้งหมด
และที่แย่มากก็คือ พลเรือนชาวโอกินาวาประมาณ 42,000 คนที่ตกอยู่ตรงกลางระหว่างกองทัพทั้งสองต้องเสียชีวิตเพราะการถล่มกันและกันด้วยปืนใหญ่และระเบิด !!!
กองพลนาวิกโยธินที่ 1 สูญเสียกำลังทหารหนักมากที่โอกินาว่า ตัวเลขเป็นทางการคือ มีผู้เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บและสูญหาย 7,665 นาย นอกจากนั้นยังมีตัวเลขไม่แน่ชัดของผู้ได้รับบาดเจ็บที่อยู่ในส่วนของกองกำลังทดแทน ซึ่งเป็นเพราะชื่อของพวกเขาไม่เคยเดินทางถึงบัญชีรายชื่อการเข้าเป็นกำลังทดแทน เมื่อคำนึงถึงว่า รายชื่อผู้ได้รับบาดเจ็บส่วนใหญ่สังกัดกรมทหารราบทั้งสามของกองพล (ประมาณ 3,000 นายในแต่ละกรม) ก็เห็นได้ชัดว่ากองร้อยปืนเล็กโดนหนักมาก เช่นเดียวกับที่โดนที่เปลีลิว กองพลนี้สูญเสียทหาร 6,526 นายที่เปลีลิว และ 7,665 นายที่โอกินาว่า รวมเป็น 14,191 นาย หากนับในเชิงสถิติ หน่วยทหารราบต่างๆ สูญเสียในสองสมรภูมินี้มากกว่า 150 % ส่วนทหารจำนวนน้อยอย่างเช่นผม ซึ่งไม่เคยโดนกระสุนเลยนั้นก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นพวกที่รอดผ่านจากนรกแห่งสมรภูมิมาได้ในฐานะผู้รอดพ้นจากกฎแห่งค่าเฉลี่ย”
หมดศึกโอกินาว่า เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลาย ตามด้วยข่าวญี่ปุ่นยอมแพ้ ทำให้มีเวลาสำหรับการย้อนรำลึกถึงความเป็นมาของชีวิต…
“พอสร้างค่ายพักเสร็จ เราก็พยายามหาทางผ่อนคลายจากการทัพอันหนักหนาถึงพริกถึงขิง ทหารผ่านศึกกลอสเตอร์บางส่วนหมุนเวียนกลับบ้านทันทีโดยมีกำลังทดแทนเข้ามาแทนที่ มีข่าวลือบ้าๆ เข้ามาว่าเดี๋ยวเราจะต้องเข้าโจมตีแผ่นดินใหญ่ของญี่ปุ่นเป็นรายการต่อไป โดยมีการประเมินอีกต่างหากว่าจะมีทหารฝ่ายเราได้รับบาดเจ็บล้มตายประมาณหนึ่งล้านคน
ไม่มีใครอยากพูดเรื่องนี้เลย…
วันที่ 8 สิงหาคม เราได้ยินข่าวว่ามีการทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกลงที่ญี่ปุ่น มีข่าวเข้ามามากมายอยู่นานประมาณ 1 สัปดาห์ว่าอาจมีการยอมแพ้ ครั้นพอถึงวันที่ 15 สิงหาคม 1946 สงครามก็จบสิ้นลง
เราได้ข่าวนี้อย่างไม่ค่อยอยากเชื่อ ซึ่งรวมเข้ากับความรู้สึกผ่อนคลายอันอธิบายไม่ถูก เพราะเราคิดว่าญี่ปุ่นไม่มีวันยอมแพ้แน่ มีหลายคนไม่ยอมเชื่อเรื่องนี้และนั่งนิ่งเงียบอย่างงงงัน เราจำได้ถึงเพื่อนๆ ที่ตายมากมายเหลือเกิน มีอีกมากมายที่ต้องพิการเสียแขนขา อีกมากมายที่มีอนาคตสดใสรออยู่ แต่ต้องกลายเป็นเถ้าถ่านแห่งอดีต
มีความใฝ่ฝันมากมายที่ต้องสูญสลายไปในความบ้าคลั่งที่กลืนกินเรา นอกเหนือจากพวกโห่ร้องตะโกนยินดีไม่กี่คนแล้ว บรรดาผู้รอดชีวิตจากขุมนรกลงนั่งด้วยดวงตากลวงโบ๋เงียบงันพยายามทำความเข้าใจกับโลกที่จะไม่มีสงคราม
กองพลนาวิกโยธินที่ 1 เดินทางต่อไปจีนในเดือนกันยายนเพื่อภารกิจยึดครอง กรมนาวิกโยธินที่ 5 ไปสู่นครปักกิ่งอันมีเสน่ห์เย้ายวนใจ และหลังจากอยู่ที่นั่นประมาณ 4 – 5 เดือน ผมก็หมุนเวียนกลับอเมริกา
ผมมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เมื่อรู้ว่าตัวเองอยู่ในบัญชีรายชื่อคนที่จะได้กลับบ้าน ถึงเวลาโบกมือลาเหล่าสหายสนิทในเค 3/5 การจะต้องขาดจากความผูกพันซึ่งเกิดจากการร่วมรบในสองสมรภูมิเป็นเรื่องเจ็บปวด กองพลที่ดีที่สุดและมีชื่อเสียงว่าเยี่ยมยอดที่สุดในด้านการรบของอเมริกาได้กลายเป็นบ้านของผมในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากอย่างถึงที่สุด เมื่ออยู่ในแนวหน้า ณ ที่ซึ่งไม่มีสิ่งใดกั้นกางระหว่างเรากับข้าศึกนอกจากพื้นที่ (มีอยู่เพียงเล็กน้อยแต่ก็ล้ำค่ายิ่ง) นั้น เราได้หลอมรวมเข้าด้วยกันอันเวลามีอาจทำให้ลบเลือน
เราคือพี่ คือน้อง คือสหาย
ผมจากมาด้วยความรู้สึกอัดอั้น เศร้าโศก และเค 3/5 จะยังคงอยู่ในใจผมตลอดไป”
ผ่านสงครามมาจนถึงกระสุนนัดสุดท้ายที่ลั่นออกไป นักรบนาวิกโยธินท่านนี้ มองสงครามอย่างไร ?
“สงครามเป็นเรื่องโหดร้าย ไม่มีเหตุผล น่าอับอาย ไร้เกียรติ เป็นความสูญเปล่าอย่างไม่น่าให้อภัย การสู้รบที่ยังคงทิ้งร่อยรอยอันลบไม่ออกไว้ในใจผู้ที่ถูกบังคับให้ต้องทนรับมัน ปัจจัยเดียวที่ช่วยไถ่ถอนก็คือ ความกล้าหาญอย่างไม่น่าเชื่อของเหล่าสหาย รวมถึงความเสียสละที่มีให้แก่กันและกัน ค่ายฝึกนาวิกโยธินสอนวิธีการฆ่าอย่างมีประสิทธิภาพให้กับเรา รวมถึงการพยายามอยู่ให้รอด แต่มันก็สอนให้เรารู้จักความซื่อสัตย์แก่กันและกัน รวมถึงให้รักกันด้วย
ความรักสามัคคีในหมู่คณะนั่นเองที่ช่วยประคับประคองเราไว้
จนกว่าโลกจะก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ และประเทศต่างๆ หยุดความพยายามข่มเหงซึ่งกันและกัน ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่คนเราจะต้องมีความรับผิดชอบและยินดีที่จะเสียสละเพื่อชาติ เช่นที่เหล่าสหายของผมได้กระทำ เช่นที่ทหารมักพูดกัน
ถ้าประเทศนี้ดีพอให้เราอยู่ได้ มันก็ต้องดีพอที่เราจะต่อสู้เพื่อ
เพราะสิทธิพิเศษมาพร้อมคำว่ารับผิดชอบ…”
ท่านทั้งหลาย โปรดทบทวนข้อความนี้อีกครั้ง….
“สงครามเป็นเรื่องโหดร้าย ไม่มีเหตุผล น่าอับอาย ไร้เกียรติ เป็นความสูญเปล่าอย่างไม่น่าให้อภัย !!!”