จดหมายสไตล์ญี่ปุ่น…อย่าว่าแต่เราจะงงเลยค่ะ คนญี่ปุ่นเองก็มึนเหมือนกัน เกตุวดีลอง Search คำว่า “วิธีการเขียนจดหมาย” ใน amazon.co.jp เจอหนังสือสอนวิธีการเขียนจดหมายทั้งหมด 1,069 เล่มค่ะ (ข้าพเจ้าก็หลวมตัวไปซื้อมาอ่านเหมือนกัน)
เกิดนึกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับจดหมายสไตล์ญี่ปุ่นขึ้นมาได้ เหตุเพราะเมื่อวันก่อน…เกตุวดีไปเดินงานหนังสือ “Happening Book Party” ของสำนักพิมพ์ Happening ที่สยามเซ็นเตอร์มาค่ะ มีสำนักพิมพ์อื่นอีกหลายสำนักพิมพ์มาออกร้านด้วย เช่น a book เอย.. ฮิกาซีน เอย.. งานเล็กๆ แต่อบอุ่นแล้วก็สนุกดีค่ะ คนที่เดินในงานก็ดูแนว คนขายก็ดูแนว ยัยป้าอย่างเดี๊ยนก็แอบแนวไปเดินปนๆ กับเค้าด้วย
ในขณะที่ชาวบ้านร้านอื่นเอาหนังสือกับนิตยสารมาขาย จะมีอยู่ 2 – 3 บู๊ธที่แนวมาก เป็นตัวของตัวเองมาก คือ คนอื่นเค้าขายหนังสือ แต่ชั้นไม่ขาย เอามาสกิ้งเทป (เทปสีลายสวยๆ) กับพวกตราประทับลายน่ารักๆ มาขายแทน
ที่เมืองไทย…เทรนด์พวกนี้กำลังบูมเหรอคะ เกตุวดีเพิ่งกลับมาเมืองไทยได้เกือบๆ ปี ยังไม่ค่อยทราบสักเท่าไร ที่ญี่ปุ่น มาสกิ้งเทปก็บูมมากๆ เมื่อประมาณ 3 – 4 ปีที่แล้ว สาวๆ เค้าชอบเอาเทปพวกนี้มาแปะซองจดหมายหรือพวกสมุดโน้ตค่ะ กระป๋องกะโหลกกะลาอะไร เอาเทปพวกนี้ไปแปะๆ นิดหน่อยก็จะดูมีสกุลรุนชาติขึ้นมาทันที
จะว่าไป… แม้จะมีอีเมลแล้วก็ตาม คนญี่ปุ่นก็ยังนิยมเขียนจดหมายกันอยู่ค่อนข้างมากค่ะ เวลาส่งของไปให้ บางคนก็จะตอบขอบคุณทางจดหมาย ตอนเกตุวดีเป็นนักศึกษา เวลาพวกเราเดินทางไปฟังปาฐกถาหรือพบวิทยากรท่านใด เราจะส่งไปรษณียบัตรเพื่อแสดงความขอบคุณวิทยากรท่านนั้นๆ อาจารย์ของเกตุวดีถึงกับเตรียมไปรษณียบัตรไว้ในกระเป๋า เวลาฟังบรรยายจบปั๊บ แกก็เขียนการ์ดขอบคุณปุ๊บ หย่อนลงตู้ ซึ่งจะถึงมือวิทยากรในวันถัดมา ก็เป็น Surprise เล็กๆ น้อยๆ ค่ะ
อย่างที่ทุกท่านพอจะทราบดี.. คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่แล้ว เวลาทำอะไรก็ทำถึงที่สุด ละเอียดที่สุด ประณีตที่สุด ซึ่งนิสัยที่ว่าก็ไม่เว้นแม้แต่การเขียนจดหมายค่ะ คนญี่ปุ่นเค้าจะละเอียดอ่อนมากทุกขั้นตอนตั้งแต่ การจ่าหน้าซอง การเกริ่นประโยคนำ การใช้ภาษาในจดหมาย การลงท้ายจดหมาย จนถึงการปิดผนึกซอง
ถามว่า…
มันยากตรงไหนเหรอคะ กะอีแค่การเขียนจดหมายของญี่ปุ่น
หึ หึ หึ
อย่าว่าแต่เราจะงงเลยค่ะ คนญี่ปุ่นเองก็มึนเหมือนกัน เกตุวดีลอง Search คำว่า “วิธีการเขียนจดหมาย”ใน amazon.co.jp (เว็บซื้อ-ขายหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น) เจอหนังสือสอนวิธีการเขียนจดหมายทั้งหมด 1,069 เล่มค่ะ (ข้าพเจ้าก็หลวมตัวไปซื้อมาอ่านเหมือนกัน)
ทำไมคนญี่ปุ่นต้องศึกษาขนาดนั้น… ลองมาดูการเขียนจดหมายแบบคนญี่ปุ่นกันค่ะ
1. การจ่าหน้าซอง
ปกติเราจะเขียนที่อยู่และชื่อผู้รับแนวตั้ง โดยเขียนที่อยู่ริมขวา (ในภาพเบอร์ 1) เขียนชื่อผู้ส่งตรงกลางโดยเขียนให้ขนาดตัวอักษรใหญ่กว่าที่อยู่ค่ะ (ในภาพเบอร์ 2) ถ้าจ่าหน้าซองถึง 2 คนก็เขียนชื่ออีกคนตรงเบอร์ 3 ส่วนในกรอบสีน้ำเงิน คือ ชื่อ-ที่อยู่ผู้ส่งในกรณีไปรษณียบัตรค่ะ
ในขั้นแรกอุปสรรคที่กะเหรี่ยงไทยต้องเผชิญก็คือการหัดเขียนภาษาญี่ปุ่นในแนวตั้งค่ะ ถ้าเขียนไม่ดี มันจะโย้ๆ แบบนี้… ไม่งามๆ เกตุวดีหัดมา 8 ปีแล้ว สภาพก็ยังไม่ค่อยต่างจากในรูปสักเท่าไรค่ะ
2. คำขึ้นต้น
เป็นส่วนที่คนญี่ปุ่นโอดครวญมากที่สุดค่ะ เวลาเราเขียนจดหมายหาญาติผู้ใหญ่ อาจารย์ หรือคู่ค้าในวงการธุรกิจ ประโยคแรกหรือการเกริ่นนำจะสำคัญมาก โดยปกติ..คนญี่ปุ่นมักจะขึ้นต้นจดหมายด้วยการพูดถึงฤดูกาลค่ะ เขาจะใช้ประโยคที่ชวนให้ผู้อ่านจินตนาการถึงฤดูต่างๆ ที่กำลังจะเข้ามาหรือแปรผันเปลี่ยนไป เช่น …
เดือนมกราคม… “แม้ว่าจะใกล้ช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่อากาศก็ยังหนาวอยู่เลยนะคะ”
(ญี่ปุ่นกูรูทั้งหลายขา …. อย่าแอบเถียงในใจว่ายังเดือนมกราคม จะมาใบไม้ผลิแตกอะไรกัน จริงๆ แล้วฤดูใบไม้ผลิมันเริ่มเดือนเมษายน แต่เขาพูดเป็นธรรมเนียมที่ว่า ขึ้นปีใหม่ก็เตรียมรับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะเข้ามา ชวนให้ลืมความหนาวเหน็บที่เผชิญอยู่แล้วมานึกถึงบรรยากาศอันอบอุ่น สวยงามน่ะค่ะ)
เดือนมิถุนายน… “ย่างเข้าฤดูร้อนแล้ว แสงแดดอ่อนๆ ส่องลอดใบไม้ลงมาช่างงามเหลือเกิน ไม่ทราบว่าท่านและครอบครัวสบายดีหรือเปล่าครับ”
(อันนี้เป็นคำขึ้นต้นแบบ Formal ม้ากมาก)
เดือนพฤศจิกายน… “ใบไม้เริ่มร่วงแล้วนะครับ เมื่อเช้า ตอนที่เดินเล่น ผมเผอิญก้าวเดินไปบนกองใบไม้แห้งเสียงดังกรอบแกรบ ทำให้รู้สึกว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงจริงๆ ครับ”
(อันนี้แบบโรแมนติคนิดๆ)
จุ๊ จุ๊ จุ๊ อย่านึกว่าชาวญี่ปุ่นผู้ประณีตละเอียดอ่อนจะเขียนคำขึ้นต้นแตกต่างกันตาม 12 เดือนเท่านั้น ในเดือนเดียวกัน ก็มีวิธีการขึ้นต้นจดหมายที่ต่างกันจ้ะ เช่น …
เดือนกรกฎาคม ซึ่งศักดิ์ศรีประมาณเดือนเมษายนบ้านเรา (พูดง่ายๆ เป็นเดือนที่ร้อนมาก) คำขึ้นต้นจดหมายช่วงต้นเดือนอาจเกริ่นว่า “ฤดูฝนอันยาวนานเริ่มหมดแล้ว ท้องฟ้าหน้าร้อนอันสดใสกำลังค่อยๆ ก้าวเข้ามานะคะ” หากเป็นช่วงกลางเดือนก.ค. เราก็เขียนว่า “ยามเย็นช่วงฤดูนี้ ดอกมอร์นิ่งกลอรี่สีขาวกำลังผลิบานอย่างสวยงามเลยค่ะ” (ฉันไม่ได้แปลเว่อร์นะ เขาเขียนอย่างนี้จริงๆ) ส่วนช่วงปลายเดือน ก็มีวิธีเขียนแบบอื่น เช่น “ลมพัดแผ่วเบา ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบกระดิ่งลมดังกรุ๊งกริ๊ง ช่างไพเราะเหลือเกินครับ” (อีกครั้ง เดี๊ยนไม่ได้เว่อร์ แต่ที่เขียนภาษาออกโบราณแบบนี้เพราะว่ามันเป็นภาษาสุภาพค่ะ)
การเขียนคำขึ้นต้นแบบนี้มันต้องใช้จินตนาการ ใช้อารมณ์สุนทรีมากๆ แต่ปัจจุบัน คนญี่ปุ่นก็ทำงานหนักขึ้น อยู่ห่างไกลธรรมชาติมากขึ้น อารมณ์สุนทรีก็คงลดลงเลยต้องหันมาพึ่งหนังสือคู่มือการเขียนจดหมายที่รวบรวมตัวอย่างประโยคต่างๆ แทนนั่นแล
3. เนื้อหาและคำลงท้าย
สำหรับส่วน “เนื้อหา” นั้น ไม่ค่อยเป็นปัญหาสำหรับคนญี่ปุ่นมากเท่าไร ก็เขียนเล่าเรื่องราวไป หรือเขียนไหว้วานธุระอะไรก็โม้ๆ ไปได้ แต่ปัญหาสำหรับอิฮั้น รวมถึงชาวต่างชาติก็คือ ระดับภาษา ค่ะ
กะเหรี่ยงอย่างเราอาจแอบโกงเปิดตำราวิธีเขียนจดหมายและสามารถขึ้นต้นจดหมายอย่างสุนทรีเฉกเช่นคนญี่ปุ่น แต่พอถึงส่วนเนื้อหาปุ๊บ ระดับภาษาอันต่ำต้อยของกะเหรี่ยงก็จะเผยธาตุแท้ออกมา สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว จดหมายกะเหรี่ยงอาจจะดูหัวมังกุ ท้ายมังกรประมาณนี้ค่ะ
“(เกริ่น) ย่างเข้าเดือนพฤศจิกายนแล้ว ดอกเบญจมาศส่งกลิ่นหอมจางๆ ช่างรับกับหมอกยามเช้าเหลือเกินค่ะ
(เนื้อหา) เมื่อวาน หนูไปกินแตงโมมา อร่อยมากค่ะ หวานมากค่ะ อยากให้คุณคูมาด้วยจังค่ะ พอกินแตงโมเสร็จ เราก็ไปเที่ยววัด หนูถ่ายรูปเยอแย งามตามากๆ
(คำลงท้าย) สุดท้ายนี้ ขอให้คุณคูสุขภาพดี มีชัยนะคะ”
ประโยคที่กะเหรี่ยงแต่งเองจะมีคำที่สะกดผิดบ้าง ใช้ความหมายประหลาดๆ ที่ไม่ค่อยเข้ากับบริบทบ้าง (เช่น “งามตา”) เพราะฉะนั้น กะเหรี่ยงควรชั่งใจก่อนว่า จะแต่งประโยคขึ้นต้นหรูๆ และพยายามยกระดับภาษาตัวเองให้เข้ากับคำขึ้นต้น หรือจะเขียนจดหมายทั้งฉบับด้วยภาษาต่ำต้อยของเราเองเพื่อไม่ให้คนญี่ปุ่นรู้สึกอนาถใจ
4. การถล่มตัวและการให้เกียรติ
มารยาทข้อนี้ เดี๊ยนเพิ่งเรียนรู้ตอนเขียนจดหมายสมัครงาน เวลาเราเขียนจดหมายแล้วต้องติดแสตมป์ แนบซองสำหรับส่งกลับ เราก็จะเขียนชื่อและที่อยู่เราแบบนี้ค่ะ
“กรุณาส่ง
นางสาว เกตุวดี มารุมุระ”
ทีนี้ญี่ปุ่นจะมีวัฒนธรรมที่ประหลาดมาก คือ คนส่งกลับ ห้ามแนบเอกสารแล้วส่งซองไปทั้งอย่างนั้น เราต้องให้เกียรติผู้ส่ง เพราะฉะนั้น สิ่งที่คนญี่ปุ่นทำ คือ ขีดฆ่าคำว่า “นางสาว” หรือ “นาย” ทิ้ง แล้วเขียนคำว่า “คุณ” แทน ซึ่งถือว่าเป็นการให้เกียรติฝ่ายตรงข้ามค่ะ เพราะฉะนั้นเวลาส่งกลับ คนส่งก็จะเขียนว่า นางสาวคุณ เกตุวดี มารุมุระ (ดูภาพด้านล่างเลยค่ะ)
จำได้ว่า… ตอนเรียนมารยาทการเขียนจดหมายตอนม.2 คุณครูย้ำนักย้ำหนาว่า ห้ามลบคำผิด ห้ามขีดฆ่า หรือทำให้ซองสกปรกเด็ดขาด คุณครูหารู้ไม่ว่า คนญี่ปุ่นฉีกกฎที่คุณครูสอนหนูไว้ขาดสะบั้น
ในทางกลับกัน ถ้ากะเหรี่ยงเผลอส่งจดหมายไปให้ฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ได้ขีดฆ่าและใส่คำว่า “คุณ” เข้าไป กะเหรี่ยงผู้น่าสงสารจะถูกคนญี่ปุ่นตีตราว่าเป็นกะเหรี่ยงเลินเล่อ ไร้มารยาท ไม่ให้เกียรติกัน… ระวังให้ดีนะคะ
เท่านั้นไม่พอถ้าผู้รับเป็น “บริษัท” ไม่ใช่ “บุคคล” เช่น จะส่งบิลค่าไฟไปให้การไฟฟ้านครหลวง เราไม่สามารถใช้คำว่า “คุณ” หรือ “様 (ซามะ)” ได้ ต้องเปลี่ยนมาใช้คำว่า “御中 (ออง-จู)” แทน … ภาษาไทยไม่ได้ให้เกียรติบริษัทขนาดนั้นเลยไม่มีคำแปลจ้ะ เป็นคำยกย่องบริษัทเฉยๆ
5. การผนึกซอง
พอเขียนจดหมายเสร็จ ขั้นสุดท้าย.. เราก็ใช้ลิ้นเลียกาวตรงซองจดหมายแล้วปิดผนึกได้เลยค่ะ (คนญี่ปุ่นก็ทำเหมือนกัน… 55) แต่ยังมีด่านทดสอบมารยาทขั้นสุดท้ายอยู่อีกอย่าง นั่นคือการผนึกซองค่ะ
สมัยโบราณกาล เขาจะใช้ครั่งหรือตราประทับปั๊มตรงที่ปิดซองว่า.. เราปิดผนึกซองเรียบร้อยแล้ว ถ้ามีใครเปิดดูในเอกสารก็จะรู้ทันที เพราะรอยมันจะไม่ตรงกัน ปัจจุบัน เราไม่มีครั่งใช้ เราเลยย่อโดยใช้เครื่องหมายกากบาทตามรูปค่ะ
อันนี้ใช้เวลาส่งเอกสารค่อนข้างเป็นทางการ เช่น ส่งไปมหาวิทยาลัยหรือบริษัท ถ้าส่งให้เพื่อน ไม่ต้องเขียนเครื่องหมายกากบาทก็ได้ แต่เพื่อนๆ เกตุวดีส่วนใหญ่ยังคงดำเนินรอยตามบรรพบุรุษอยู่ เจ้าหล่อนก็ใช้สติ๊กเกอร์น่ารักๆ ปิดตรงซองจดหมายแทน
ครั้งนี้ เกตุวดีเลือกหยิบเอาธรรมเนียมของคนญี่ปุ่นมาเล่าสู่กันฟัง แม้จะดูเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ยังคง Concept ญี่ปุ่นไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือ ความประณีต การผูกพันกับธรรมชาติ การให้เกียรติกัน และความสุภาพนั่นเอง
สุดท้ายนี้… ขอจบคอลัมน์แบบผู้ดีญี่ปุ่นเขียนจดหมายนะเคอะ
“ตอนนี้ย่างเข้าฤดูฝนอันชุ่มฉ่ำแล้ว ชวนให้ดิฉันคิดถึงเสียงหยาดฝนกระทบกรวดหิน อีกทั้งกลิ่นดินหลังฟ้าสางเหลือเกิน สุดท้ายนี้ ขอให้คุณผู้อ่านทุกท่านจงมีแต่ความสุขความเจริญนะคะ ระวังสุขภาพช่วงเปลี่ยนฤดูด้วยค่ะ
เกตุว(ผู้)ดี”
ทักทายพูดคุยกับเกตุวดี ได้ที่ >>> เกตุวดี Marumura