Gassho Zukuri มีหลายขนาด หลายสไตล์ ซึ่งก็มักจะแตกต่างกันไปตามสภาพพื้นที่ และสภาพอากาศในแทบนั้นๆ รวมทั้งวิถีการใช้ชีวิตของเจ้าของ Gassho ด้วย และส่วนใหญ่จะพบเห็นบ้านแบบ Gassho ได้ตามหุบเขา หรือบริเวณที่มีปริมาณฝนมากและหิมะตกเยอะ
ญี่ปุ่นมีแหล่งมรดกโลกแห่งหนึ่งที่มีไฮไลท์เป็น “บ้าน” บ้านโบราณหลังคาทรงสูงที่คนไทยหลายๆ คน คงจะเคยได้เห็นกันมาบ้างจากรูปภาพในนิตยสาร แล้วก็โบรชัวร์ของบริษัทนำเที่ยวต่างๆ บ้านเหล่านี้มีเอกลักษณ์อย่างไร ทำไมถึงน่าอนุรักษ์ไว้เป็นมรดกโลก มาดูกัน…ว่าบ้าน Gassho Zukuri เป็นอย่างไร
![](http://i861.photobucket.com/albums/ab172/acticraz/Gassho%20JM/Gassho10.jpg)
ในอดีตนั้น ชาวบ้านทั่วไป ชาวนา ชาวไร่ ช่างฝีมือ และพวกพ่อค้า มักจะอาศัยอยู่ใน Minka [民家] หรือที่บางคนก็อาจจะคุ้นกับคำว่า Gassho Zukuri [合掌造り] มากกว่า ดังนั้นเราก็จะขอใช้คำว่า “Gassho” ก็แล้วกัน เพื่อความคุ้นเคย Gassho มีหลายขนาด หลายสไตล์ ซึ่งก็มักจะแตกต่างกันไปตามสภาพพื้นที่ และสภาพอากาศในแทบนั้นๆ รวมทั้งวิถีการใช้ชีวิตของเจ้าของ Gassho ด้วย และส่วนใหญ่จะพบเห็นบ้านแบบ Gassho ได้ตามหุบเขา หรือบริเวณที่มีปริมาณฝนมากและหิมะตกเยอะ
![](http://i861.photobucket.com/albums/ab172/acticraz/Gassho%20JM/Gassho4.jpg)
โดยทั่วไป Gassho Zukuri นั้นจะมีคอนเซปว่า ต้องสร้างอย่างประหยัด และใช้วัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นหรือมีอยู่แล้วไม่ต้องซื้อหา เนื่องจากสมัยก่อนจะลำบากมากในการขนส่งสิ่งของจากพื้นที่ห่างไกลเข้ามาในหมู่บ้านเล็กๆ ดังนั้นอะไรที่หาได้ง่ายในหมู่บ้านของตัวเองก็จะใช้อันนั้น (เป็นวีถีแบบพอเพียงจริงๆ ซึ่งก็น่าเอามาเป็นแบบอย่าง) Gassho จึงมักจะสร้างด้วยไม้ ไม้ไผ่ ดินเหนียว หญ้า และฟางข้าว ในส่วนรากฐานและโครงสร้างจะทำจากไม้เป็นหลัก บางทีก็จะใช้หินเสริมความแข็งแรงให้กับรากฐานด้วย
![](http://i861.photobucket.com/albums/ab172/acticraz/Gassho%20JM/Gassho12.jpg)
กำแพงด้านนอกมักจะทำจากไม้ไผ่และดินเหนียว ส่วนกำแพงด้านในก็จะต่างกันไปแล้วแต่เจ้าของบ้าน และภายในก็มักจะประกอบด้วยประตูบานเลื่อนที่ทำจากไม้ หรือแผ่นบานเลื่อนกระดาษที่เรียกว่า Fusuma พื้นจะถูกกรุด้วย Mushiro และปูด้วย Tatami ส่วนที่โดดเด่นของ Gassho Zukuri มากที่สุด ก็เห็นจะเป็นหลังคาทรงสูงที่ทำจากหญ้าและฟางข้าวซึ่งถูกมัดและสอดประสานกันเป็นชั้นหนาได้ถึงกว่า 1 เมตร แต่บางครั้งก็จะเห็นชาวบ้านเผาดินเหนียวมาทำเป็นกระเบื้องมุงหลังคาเพื่อเสริมความแข็งแรง ซึ่งบ้านทั้งหลังนี้ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านญี่ปุ่นสมัยก่อน สร้างขึ้นโดยไม่ต้องใช้ตะปู แต่จะใช้การเข้าลิ่ม สอดไม้ และเชือก ซึ่งต้องใช้ฝีมือ ความละเอียด และใช้เวลามากทีเดียว
![](http://i861.photobucket.com/albums/ab172/acticraz/Gassho%20JM/Gassho8.jpg)
จุดเด่นอย่างหนึ่งของ Gassho Zukuri ก็คือ ความสูงของตัวบ้านและหลังคาทรงสูง ทำให้ภายในบ้านแบ่งโดยเฉลี่ยได้ 2 – 4 ชั้น ซึ่งความสูงนี้ก็ช่วยแทน การที่ไม่มีปล่องควันได้ เพราะเวลาปรุงอาหารหรือจุดเตาฟืนสร้างความอบอุ่นในบ้าน ควันก็จะลอยขึ้นสูงไม่ตลบอบอวลก็ในระดับที่มีคนอาศัยอยู่ ควันก็จะช่วยลดความชื้นให้กับหลังคาหญ้าและฟางข้าว แถมพื้นที่กว้างขวางด้านบนก็พอเพียงที่จะใช้เก็บข้าวของ เลี้ยงหนอนไหมสำหรับทอผ้า หรือใช้เป็นยุ้งฉางสำหรับผลผลิตที่เก็บเกี่ยวมาได้ด้วย แล้วหลังคาทรงสูงชันนี้ยังช่วยให้ฝนหรือหิมะไหลลงสู่ด้านล่างเร็วขึ้น ยามที่ฝนตกหนักก็จะไม่ทำให้น้ำฝนซึมผ่านหลังคาลงมาในตัวบ้าน และยามที่หิมะตกหนักต่อเนื่องกันเป็นเวลานานก็จะไม่ทำให้หลังคาต้องรับน้ำหนักที่มากเกินไปของหิมะด้วย
![](http://i861.photobucket.com/albums/ab172/acticraz/Gassho%20JM/Gassho5.jpg)
Gassho Zukuri นั้นแปลตรงๆ ตัวว่าการประกบมือสองข้างเข้าหากัน หรือการประนมมือนั่นเอง รูปทรงของอาคารจึงมีลักษณะคล้ายสามเหลี่ยม ตามแบบของหลังคาซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือหลังคาแบบKirizuma (หลังคาหน้าจั่ว) Yosemune (หลังคาปั้นหยา) และ Irimoya (หลังคากึ่งหน้าจั่ว กึ่งปั้นหยา)
![](http://i861.photobucket.com/albums/ab172/acticraz/Gassho%20JM/Gassho3.jpg)
การมุงหลังคาใหม่ เป็นกิจกรรมที่ต้องทำกันทุก 30 – 40 ปี และมักจะทำกันในเดือนเม.ย. เมื่อบ้านไหนถึงคราวที่ต้องเปลี่ยนวัสดุมุงหลังคา ชาวบ้านจะมาช่วยกันหรือถ้าเป็นศัพท์แบบชาวบ้านๆ ก็เรียกได้ว่ามาลงแขก จะมีชาวบ้านประมาณ 200 – 500 ชีวิตมาช่วยกันลงแขกมุงหลังคาใหม่ โดยมักจะทำกันให้เสร็จภายใน 2 วัน เป็นงานที่ต้องเร่งมือทำกันมากเพื่อไม่ให้บ้านเสียหายหากฝนตก ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของ Gassho ด้วยเหมือนกัน ค่าใช้จ่ายในการมุงหลังคาใหม่แต่ละหลังจัดว่ามหาศาล (กว่า 6 ล้านบาท) แต่ปัจจุบันรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้เกือบทั้งหมด
![](http://i861.photobucket.com/albums/ab172/acticraz/Gassho%20JM/Gassho7.jpg)
![Gassho Zukuri](http://i861.photobucket.com/albums/ab172/acticraz/Gassho%20JM/Gassho9.jpg)
ปัจจุบันยังคงมีการอนุรักษ์ Gassho Zukuri ไว้หลายแห่ง ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็มักจะไปชมก็เห็นจะเป็นที่หมู่บ้านชิราคาว่าในจังหวัดกิฟุ และโกคายาม่าในจังหวัดโทยาม่า ซึ่งทั้งสองแห่งถูกประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกร่วมกันมีปี 1995 เรียกว่า “Shirakawa-go and Gokayama Gassho Zukuri Villages”และที่ Nihon Minka-en (Japan Open-Air Flok House Museum) ในเมือง Kawasaki ใกล้กรุงโตเกียวก็น่าสนใจ เพราะมีการนำตัวอย่าง Minka หรือ Gassho Zukuri จากทั่วญี่ปุ่นมาจัดแสดงไว้ที่นี่
![](http://i861.photobucket.com/albums/ab172/acticraz/Gassho%20JM/Gassho2.jpg)
ตอนนี้ก็คงจะพอเข้าใจกันบ้างแล้วว่าทำไมหมู่บ้านที่มี Gassho Zukuri ถึงได้ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดก เพราะนอกจากจะได้เรียนรู้วิถีชีวิตแบบพอเพียง ภูมิปัญญาในการก่อสร้าง ความสามัคคีที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันในสังคมของชาวญี่ปุ่นสมัยก่อนแล้ว ก็ยังได้เห็นความตั้งใจของชาวญี่ปุ่นสมัยนี้ที่ต้องการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของพวกเขาเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ดูได้เห็นกัน แถมชาวต่างชาติอย่างเราๆ ก็ยังได้โอกาสเรียนรู้ โดยการมองดูเขา แล้วก็มองย้อนมาดูตัวเรา ซึ่งจริงๆ แล้วชาติไหนๆ ในโลกก็ทำแบบเขาได้ เพียงแต่ว่าจะระลึกถึง หรือว่าจะ “สำเหนียก” กันได้หรือเปล่า และนั่นก็คืออีกหนึ่งแง่มุมที่น่าสนใจของวัฒนธรรมแบบชาวญี่ปุ่นที่มองผ่าน Minka หรือ Gassho Zukuri นั่นเอง…