Gassho Zukuri มีหลายขนาด หลายสไตล์ ซึ่งก็มักจะแตกต่างกันไปตามสภาพพื้นที่ และสภาพอากาศในแทบนั้นๆ รวมทั้งวิถีการใช้ชีวิตของเจ้าของ Gassho ด้วย และส่วนใหญ่จะพบเห็นบ้านแบบ Gassho ได้ตามหุบเขา หรือบริเวณที่มีปริมาณฝนมากและหิมะตกเยอะ
ญี่ปุ่นมีแหล่งมรดกโลกแห่งหนึ่งที่มีไฮไลท์เป็น “บ้าน” บ้านโบราณหลังคาทรงสูงที่คนไทยหลายๆ คน คงจะเคยได้เห็นกันมาบ้างจากรูปภาพในนิตยสาร แล้วก็โบรชัวร์ของบริษัทนำเที่ยวต่างๆ บ้านเหล่านี้มีเอกลักษณ์อย่างไร ทำไมถึงน่าอนุรักษ์ไว้เป็นมรดกโลก มาดูกัน…ว่าบ้าน Gassho Zukuri เป็นอย่างไร

ในอดีตนั้น ชาวบ้านทั่วไป ชาวนา ชาวไร่ ช่างฝีมือ และพวกพ่อค้า มักจะอาศัยอยู่ใน Minka [民家] หรือที่บางคนก็อาจจะคุ้นกับคำว่า Gassho Zukuri [合掌造り] มากกว่า ดังนั้นเราก็จะขอใช้คำว่า “Gassho” ก็แล้วกัน เพื่อความคุ้นเคย Gassho มีหลายขนาด หลายสไตล์ ซึ่งก็มักจะแตกต่างกันไปตามสภาพพื้นที่ และสภาพอากาศในแทบนั้นๆ รวมทั้งวิถีการใช้ชีวิตของเจ้าของ Gassho ด้วย และส่วนใหญ่จะพบเห็นบ้านแบบ Gassho ได้ตามหุบเขา หรือบริเวณที่มีปริมาณฝนมากและหิมะตกเยอะ

โดยทั่วไป Gassho Zukuri นั้นจะมีคอนเซปว่า ต้องสร้างอย่างประหยัด และใช้วัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นหรือมีอยู่แล้วไม่ต้องซื้อหา เนื่องจากสมัยก่อนจะลำบากมากในการขนส่งสิ่งของจากพื้นที่ห่างไกลเข้ามาในหมู่บ้านเล็กๆ ดังนั้นอะไรที่หาได้ง่ายในหมู่บ้านของตัวเองก็จะใช้อันนั้น (เป็นวีถีแบบพอเพียงจริงๆ ซึ่งก็น่าเอามาเป็นแบบอย่าง) Gassho จึงมักจะสร้างด้วยไม้ ไม้ไผ่ ดินเหนียว หญ้า และฟางข้าว ในส่วนรากฐานและโครงสร้างจะทำจากไม้เป็นหลัก บางทีก็จะใช้หินเสริมความแข็งแรงให้กับรากฐานด้วย

กำแพงด้านนอกมักจะทำจากไม้ไผ่และดินเหนียว ส่วนกำแพงด้านในก็จะต่างกันไปแล้วแต่เจ้าของบ้าน และภายในก็มักจะประกอบด้วยประตูบานเลื่อนที่ทำจากไม้ หรือแผ่นบานเลื่อนกระดาษที่เรียกว่า Fusuma พื้นจะถูกกรุด้วย Mushiro และปูด้วย Tatami ส่วนที่โดดเด่นของ Gassho Zukuri มากที่สุด ก็เห็นจะเป็นหลังคาทรงสูงที่ทำจากหญ้าและฟางข้าวซึ่งถูกมัดและสอดประสานกันเป็นชั้นหนาได้ถึงกว่า 1 เมตร แต่บางครั้งก็จะเห็นชาวบ้านเผาดินเหนียวมาทำเป็นกระเบื้องมุงหลังคาเพื่อเสริมความแข็งแรง ซึ่งบ้านทั้งหลังนี้ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านญี่ปุ่นสมัยก่อน สร้างขึ้นโดยไม่ต้องใช้ตะปู แต่จะใช้การเข้าลิ่ม สอดไม้ และเชือก ซึ่งต้องใช้ฝีมือ ความละเอียด และใช้เวลามากทีเดียว

จุดเด่นอย่างหนึ่งของ Gassho Zukuri ก็คือ ความสูงของตัวบ้านและหลังคาทรงสูง ทำให้ภายในบ้านแบ่งโดยเฉลี่ยได้ 2 – 4 ชั้น ซึ่งความสูงนี้ก็ช่วยแทน การที่ไม่มีปล่องควันได้ เพราะเวลาปรุงอาหารหรือจุดเตาฟืนสร้างความอบอุ่นในบ้าน ควันก็จะลอยขึ้นสูงไม่ตลบอบอวลก็ในระดับที่มีคนอาศัยอยู่ ควันก็จะช่วยลดความชื้นให้กับหลังคาหญ้าและฟางข้าว แถมพื้นที่กว้างขวางด้านบนก็พอเพียงที่จะใช้เก็บข้าวของ เลี้ยงหนอนไหมสำหรับทอผ้า หรือใช้เป็นยุ้งฉางสำหรับผลผลิตที่เก็บเกี่ยวมาได้ด้วย แล้วหลังคาทรงสูงชันนี้ยังช่วยให้ฝนหรือหิมะไหลลงสู่ด้านล่างเร็วขึ้น ยามที่ฝนตกหนักก็จะไม่ทำให้น้ำฝนซึมผ่านหลังคาลงมาในตัวบ้าน และยามที่หิมะตกหนักต่อเนื่องกันเป็นเวลานานก็จะไม่ทำให้หลังคาต้องรับน้ำหนักที่มากเกินไปของหิมะด้วย

Gassho Zukuri นั้นแปลตรงๆ ตัวว่าการประกบมือสองข้างเข้าหากัน หรือการประนมมือนั่นเอง รูปทรงของอาคารจึงมีลักษณะคล้ายสามเหลี่ยม ตามแบบของหลังคาซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือหลังคาแบบKirizuma (หลังคาหน้าจั่ว) Yosemune (หลังคาปั้นหยา) และ Irimoya (หลังคากึ่งหน้าจั่ว กึ่งปั้นหยา)

การมุงหลังคาใหม่ เป็นกิจกรรมที่ต้องทำกันทุก 30 – 40 ปี และมักจะทำกันในเดือนเม.ย. เมื่อบ้านไหนถึงคราวที่ต้องเปลี่ยนวัสดุมุงหลังคา ชาวบ้านจะมาช่วยกันหรือถ้าเป็นศัพท์แบบชาวบ้านๆ ก็เรียกได้ว่ามาลงแขก จะมีชาวบ้านประมาณ 200 – 500 ชีวิตมาช่วยกันลงแขกมุงหลังคาใหม่ โดยมักจะทำกันให้เสร็จภายใน 2 วัน เป็นงานที่ต้องเร่งมือทำกันมากเพื่อไม่ให้บ้านเสียหายหากฝนตก ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของ Gassho ด้วยเหมือนกัน ค่าใช้จ่ายในการมุงหลังคาใหม่แต่ละหลังจัดว่ามหาศาล (กว่า 6 ล้านบาท) แต่ปัจจุบันรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้เกือบทั้งหมด


ปัจจุบันยังคงมีการอนุรักษ์ Gassho Zukuri ไว้หลายแห่ง ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็มักจะไปชมก็เห็นจะเป็นที่หมู่บ้านชิราคาว่าในจังหวัดกิฟุ และโกคายาม่าในจังหวัดโทยาม่า ซึ่งทั้งสองแห่งถูกประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกร่วมกันมีปี 1995 เรียกว่า “Shirakawa-go and Gokayama Gassho Zukuri Villages”และที่ Nihon Minka-en (Japan Open-Air Flok House Museum) ในเมือง Kawasaki ใกล้กรุงโตเกียวก็น่าสนใจ เพราะมีการนำตัวอย่าง Minka หรือ Gassho Zukuri จากทั่วญี่ปุ่นมาจัดแสดงไว้ที่นี่

ตอนนี้ก็คงจะพอเข้าใจกันบ้างแล้วว่าทำไมหมู่บ้านที่มี Gassho Zukuri ถึงได้ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดก เพราะนอกจากจะได้เรียนรู้วิถีชีวิตแบบพอเพียง ภูมิปัญญาในการก่อสร้าง ความสามัคคีที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันในสังคมของชาวญี่ปุ่นสมัยก่อนแล้ว ก็ยังได้เห็นความตั้งใจของชาวญี่ปุ่นสมัยนี้ที่ต้องการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของพวกเขาเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ดูได้เห็นกัน แถมชาวต่างชาติอย่างเราๆ ก็ยังได้โอกาสเรียนรู้ โดยการมองดูเขา แล้วก็มองย้อนมาดูตัวเรา ซึ่งจริงๆ แล้วชาติไหนๆ ในโลกก็ทำแบบเขาได้ เพียงแต่ว่าจะระลึกถึง หรือว่าจะ “สำเหนียก” กันได้หรือเปล่า และนั่นก็คืออีกหนึ่งแง่มุมที่น่าสนใจของวัฒนธรรมแบบชาวญี่ปุ่นที่มองผ่าน Minka หรือ Gassho Zukuri นั่นเอง…