คั่นรายการ โดย Lordofwar Nick
บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (14) ดาบซามูไร จิตวิญญาณแห่งซามูไร
เอาล่ะครับหลังจากที่เปิดไปเมื่อคราวที่แล้ว คราวนี้มาดูกันต่อนะครับว่าท่านผู้เขียนบรรยายไว้อย่างไรบ้าง
เมื่อมาโฮเมตประกาศว่า “ดาบเป็นกุญแจแห่งสวรรค์และนรก” เขาเพียงสะท้อนความรู้สึกแบบญี่ปุ่นเท่านั้น เด็กชายซามูไรเรียนรู้การใช้มันตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นโอกาสสำคัญสำหรับเขาเมื่ออายุได้ห้าขวบ เขาจะแต่งกายด้วยชุดซามูไร ที่วางไว้บนกระดานโกะ และริเริ่มเข้าสู่สิทธิของอาชีพทหารโดยเสียบดาบจริงเข้าที่เอว แทนที่จะเป็นกริชของเล่นที่เขาเล่นอยู่ หลังจากพิธี adoptio per arma (การสถาปนาด้วยอาวุธ? ฟังดูเป็นอัศวินฝรั่งมาก เหมือนที่เราเห็นเอาดาบแตะไหล่เวลาจะแต่งตั้ง?) ครั้งแรก จะไม่มีใครเห็นเขานอกประตูบ้านของพ่อหากไม่มีตราแสดงสถานะของเขาอีกต่อไป แม้ว่าโดยปกติแล้วจะถูกแทนที่ด้วยกริชไม้ปิดทองที่พกในชีวิตประจำวันก็ตาม เวลาผ่านไปไม่กี่ปีก่อนที่เขาจะได้พกเหล็กกล้าแท้ แม้ว่าจะทื่อ จากนั้นอาวุธปลอมก็ถูกโยนทิ้งไป และด้วยความเพลิดเพลินยิ่งกว่าคือดาบที่เพิ่งได้มา เขาออกไปลองคมมีดกับไม้และหิน
เมื่อเขามาถึงฐานันดรเมื่ออายุได้สิบห้าปี และได้รับอิสระในการกระทำ บัดนี้เขาสามารถภาคภูมิใจในตนเองที่มีอาวุธที่คมเพียงพอสำหรับงานใดๆ การครอบครองเครื่องมืออันตรายนั้นทำให้เขารู้สึกถึงความเคารพตนเองและความรับผิดชอบ “เขาไม่ได้ถือดาบของเขาโดยเปล่าประโยชน์” สิ่งที่เขาพกไว้ในสายคาดเอวเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่เขาพกติดตัวไว้ในความคิดและหัวใจ นั่นคือความภักดีและเกียรติ ดาบทั้งสองเล่มนั้น ไดโต (大刀) และโชโต (小刀) หรือคาตานะ (刀) กับวากิซาชิ (脇差) ไม่เคยไปจากข้างกายเขา
เมื่ออยู่ที่บ้าน พวกมันจะเป็นสิริแก่สถานที่ที่โดดเด่นที่สุดในห้องอ่านหนังสือหรือในห้องนั่งเล่น ในตอนกลางคืน พวกมันจะเฝ้าหมอนของเขาไว้ใกล้มือของเขา เป็นเพื่อนอยู่ด้วยเสมอ พวกมันเป็นที่รัก และพวกมันถูกตั้งชื่ออันเป็นที่รักให้ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพสักการะอย่างสูง บิดาแห่งประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่าเป็นข้อมูลที่น่าสงสัยใคร่รู้ ว่าชาวไซเธียน (ชนเผ่าเร่ร่อนบนหลังม้า เคยครองอำนาจในพื้นที่กว้างใหญ่ของทุ่งหญ้ายูเรเซียตอนกลาง เคยรุ่งเรืองอยู่ระหว่าง 900-200 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ได้สละชีพให้กับดาบสั้นเหล็ก วัดหลายแห่งและหลายครอบครัวในญี่ปุ่นสะสมดาบไว้เป็นวัตถุแห่งการเชิดชู แม้แต่กริชธรรมดาที่สุดก็ยังได้รับความเคารพนับถือ การดูหมิ่นใดๆ ก็เท่ากับเป็นการดูหมิ่นต่อตัวบุคคล วิบัติแก่ผู้ที่เหยียบอาวุธที่วางอยู่บนพื้นอย่างไม่ระมัดระวัง!
อ่านแล้ว รู้สึกฟังดู เวอร์วัง เกินจริง ไงไม่รู้ แต่ในเรื่องการที่เราต้อง “เคารพดาบ” นี้ มีในธรรมเนียมของซามูไรจริง อย่างผมเรียนดาบอิไอ ก่อนจะสอดดาบเข้าสะเอว ก็ต้องยืนเทิดดาบไว้เหนือหัว เวลาจะเลิกฝึก ก็ต้องถอดสายพันดาบเข้ากับสะเอว แล้ววางดาบไว้เบื้องหน้าก้มกราบ อย่างไรก็ดี การเคารพ “เครื่องมือแห่งวิชาชีพ” นั้นมิได้จำกัดเพียงซามูไรเท่านั้น แม้นางรำ ก่อนจะฝึกรำพัด ก็ยังต้องก้มกราบพัดก่อน แน่นอน ในเมื่อดาบเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเคารพ ช่างดีดาบก็เป็นกิจการงานอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน
ช่างตีดาบนั้ไม่ได้เป็นเพียงช่างฝีมือ แต่เป็นศิลปินที่ได้รับแรงบันดาลใจ และโรงงานของเขาเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ทุกวันเขาเริ่มงานฝีมือด้วยการสวดภาวนาและการชำระจิตใจให้สะอาด หรือดังคำกล่าวว่า “เขาอุทิศจิตวิญญาณและวิญญาณของเขาในการหลอมและบรรเทาความร้อนของเหล็กกล้า” ทุกครั้งที่เหวี่ยงค้อน ทุกครั้งที่จุ่มน้ำ ทุกครั้งที่ถูหินลับมีด ถือเป็นศาสนกิจที่มิได้อวดใหญ่อวดโตอันใดเลย เป็นจิตวิญญาณของนายช่างหรือเทพผู้พิทักษ์ของเขาที่ร่ายมนต์น่าเกรงขามเหนือดาบของเรา? สมบูรณ์แบบในฐานะงานศิลปะ ท้าทายคู่แข่งเมืองโทเลโดและดามัสกัส มีมากกว่าที่ศิลปะจะสื่อได้ ใบมีดเย็นเยียบของมัน สะสมอยู่บนพื้นผิวทันทีที่ไอระเหยของบรรยากาศถูกดึงออกมา เนื้อสัมผัสที่ไร้ที่ติ แสงแวววาวสีฟ้า คมมีดที่ไม่มีใครเทียม ซึ่งมีประวัติศาสตร์และความเป็นไปได้ต่างๆ แขวนอยู่ ส่วนโค้งของสัน ผสานความสง่างามอันวิจิตรงดงามด้วยกำลังกล้าแข็งถึงที่สุด สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เราหวาดเสียวด้วยความรู้สึกผสมปนเประหว่างพลังและความงาม ความน่าเกรงขามและความสยองขวัญ ภารกิจของมันปราศจากอันตราย หากยังคงไว้ซึ่งความสวยงามและความเบิกบานใจเท่านั้น! แต่เมื่อมันอยู่ในมือ มันก็ไม่ได้แสดงถึงการล่อลวงให้ใช้ในทางที่ผิดเลยแม้แต่น้อย บ่อยครั้งเหลือเกินที่ดาบจะส่องแสงแลบออกมาจากฝักอันสงบสุขของมัน บางครั้งการใช้ในทางที่ผิดก็ไปไกลถึงขนาดลองใช้เหล็กกล้าที่ได้มากับคอของสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีพิษภัย
ไอัเรื่องชอบฟันสิ่งของเพื่อ “ลองคมดาบ” นั้น มันถึงได้มีศัพท์ที่ว่า “ทสึจิกิริ” (辻斬り) หมายถึงตอนกลางคืนเที่ยวไปดักคนเดินตามทางแล้วฟัน จะเพื่อลองคมดาบหรือลองวิชาดาบก็ตามที จริงๆ มันเป็นสิ่งป่าเถื่อนซึ่งตอนหลังแม้ในยุคเอโดะก็ถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ขุ่นพระ! เชื่อไหมครับว่า มันมีปรากฎในวัฒนธรรมร่วมสมัยด้วย! ในการ์ตูนเรื่อง Black Angels ตอนแรกๆ ยังมีนักดาบชื่อ “โคคุบุ” ผู้ซึ่งหน้าฉากเป็นคนดี๊ดี รูปหล่อ บ้านหลังใหญ่ (นัยว่าเป็นตระกูลขุนนางเก่า) เป็นนักกีฬาเคนโด้ฝีมือเลิศ แต่พอตกดึกชอบเอาดาบจริงไปดักฟันคนที่เดินเปลี่ยวๆ ลองวิชาเล่น พฤติกรรมแบบนี้แหละครับที่เรียกว่า “ทสึจิกิริ”
ภาพต่อไปนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะครับ ดูให้รู้พอครับ
นี่แหละครับ “ทสึจิกิริ”
อย่างไรก็ตาม คำถามที่เรากังวลมากที่สุดก็คือ บูชิโดสนับสนุนความถูกต้องในการใช้อาวุธอย่างสำส่อนหรือไม่? คำตอบนั้นชัดเจน คือไม่! เนื่องจากมันเน้นหนักถึงการใช้อย่างเหมาะสม มันจึงประณามและรังเกียจการใช้มันอย่างผิดๆ คนขี้ขลาดหรือคนอวดดีคือผู้ที่กวัดแกว่งอาวุธของเขาในโอกาสที่ไม่สมควร คนที่รู้จักควบคุมตัวเองจะรู้เวลาที่เหมาะสมที่จะใช้มัน และเวลาเช่นนั้นก็มีมาแต่น้อยครั้ง ลองมาฟังท่านเคานต์คัตสึ (คัตสึไหนเนี่ย?) ผู้ล่วงลับไปแล้ว ผู้ซึ่งผ่านช่วงเวลาที่วุ่นวายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเรา เมื่อการลอบสังหาร การฆ่าตัวตาย และการกระทำที่นองเลือดอื่นๆ กลายเป็นกิจวัตรประจำวัน เนื่องจากครั้งหนึ่งเขาเคยมีอำนาจเกือบเผด็จการ และถูกหมายหัวเป็นเป้าสังหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่เคยทำให้ดาบของเขามัวหมองด้วยเลือด ในการเล่าความทรงจำบางส่วนของเขาให้กับเพื่อนคนหนึ่ง เขาพูดอย่างเชยๆ อย่างชาวบ้านๆ ซึ่งแปลกสำหรับเขา ว่า
“ฉันไม่ชอบการฆ่าคนเอามากๆ ดังนั้นฉันจึงไม่ได้ฆ่าใครซักคนเลย ฉันได้ปล่อยบรรดาผู้ที่ควรจะถูกตัดศีรษะ วันหนึ่งเพื่อนพูดกับฉันว่า ‘ท่านยังฆ่าไม่มากพอ ท่านไม่กินพริกกับมะเขือเหรอ? ใช่ บางคนก็ไม่มีดีหรอก! แต่เห็นไหมว่าคนนั้นถูกฆ่าเสียเอง การหนีของฉันอาจเป็นเพราะฉันไม่ชอบการฆ่า ด้ามดาบของฉันถูกยึดเข้ากับฝักอย่างแน่นหนาจนยากที่จะชักดาบ ฉันทำใจแล้วว่าถึงพวกเขาจะฟันฉัน ฉันก็จะไม่ฟัน ใช่ ใช่! บางคนเป็นเหมือนหมัดและยุงจริงๆ และพวกมันกัด แต่การกัดนั้นมีค่าเท่าใด? มันคันเล็กน้อยก็แค่นั้นแหละ มันได้ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต”
เหล่านี้คือถ้อยคำของผู้ที่พยายามฝึกฝนบูชิโดในเตาไฟแห่งความทุกข์ร้อนและชัยชนะ คำกล่าวที่โด่งดัง “การพ่ายแพ้คือการพิชิต ” หมายความว่า ชัยชนะที่แท้จริงกอปรด้วยการไม่ต่อต้านศัตรูที่ก่อจลาจล และ “ชัยชนะที่ดีที่สุดที่ได้รับมาคือการได้มาโดยไม่เสียเลือด” และอื่นๆ ที่มีนัยสำคัญคล้ายคลึงกัน จะแสดงให้เห็นว่าท้ายที่สุดแล้วอุดมคติสูงสุดของความเป็นอัศวินก็คือสันติภาพ
อืม ฟังดู อุดมคติ จริงๆ แต่อาจารย์ฮิโกะ (ในเรื่องซามูไรพเนจร) ได้เคยกล่าวไว้ว่า
「剣は凶器 剣術は殺人術」 「どんな綺麗事やお題目を口にしてもそれが真実」
ดาบคืออาวุธ วิชาดาบคือวิชาฆ่าคน ถึงจะพูดหรือเรียกชื่อสวยหรูยังไง นั่นแหละความเป็นจริง
(ที่มา twitter)
เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่งที่อุดมคติอันสูงส่งนี้มีไว้ให้นักบวชและนักศีลธรรมเอาไว้เทศนาเท่านั้น ในขณะที่ซามูไรยังคงฝึกฝนและสรรเสริญอุปนิสัยแห่งการต่อสู้ ในเรื่องนี้พวกเขาไปไกลถึงการแต่งแต้มอุดมคติของความเป็นผู้หญิงด้วยบุคลิกลักษณะอย่างชาวอะเมซอน ที่นี่เราอาจอุทิศสองสามย่อหน้าอย่างมีกำไรในหัวข้อ การฝึกอบรมและสถานะของผู้หญิง
เอาล่ะ เราปูพื้นไปสู่หัวข้อต่อไปกันแล้วนะครับ ผู้เขียนเขียนมาถึงตอนท้ายๆ ก็เริ่มจะนะ จินตนาการกว้างไกล (ฮา) อ่ะเรามาต่อกันใหม่สัปดาห์หน้านะครับ วันนี้คงต้องขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (13) การล้างแค้นเพื่อคุณธรรม (คาตากิ-อุจิ 敵討ち)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (12) ประเพณีการคว้านท้อง (เซปปุกุ 切腹)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (11) การควบคุมตนเอง
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (10) การศึกษาของซามูไร
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (9) ว่าด้วย ความภักดี (ชูงิ 忠義)
#บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (14) ดาบซามูไร จิตวิญญาณแห่งซามูไร