โอซาก้าเมืองเก่าที่ข้าพเจ้าคิดถึง by Lordofwar Nick
เกียวโตฉบับเก็บตก เที่ยวปราสาทนิโจ วัดคิโยมิซึ ก่อนโบกมือลาชีวิตมหาลัย
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน เข้าสู่เดือนกันยายนแล้วนะครับในโอกาสที่ครบรอบ 15 ปีที่ผมเรียนจบแล้วก็โบกมืออำลาชีวิตมหาลัย ซึ่งอยากจะบอกว่า ในช่วงสามสี่เดือนสุดท้ายก่อนเรียนจบก็มีเรื่องราวเหตุการณ์ที่มีผลต่อจิตใจอยู่หลายอย่าง หนึ่งก็ก็คือเรื่องต้องเรียนให้จบ ส่งต้นฉบับวิทยานิพนธ์เพื่อที่จะสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ ซึ่งทำให้เครียดมาก เกาหัวทีผมร่วงเป็นร้อยเส้น (โห) สองก็คือการถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้สอบเลื่อนสายดาบอิไอเป็นสองดั้ง ทั้งๆ ที่ผมฝึกมาจนครบกระบวนท่าโบราณสายนั่งเซสะครบแล้ว ซึ่งเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ
คือจริงๆ มันมาจากผมไม่ดีเองตรงที่ตอนเทอมสุดท้าย ตอนนั้นก็คิดอะไรไปหลายอย่าง คิดจะขอทุนทำวิจัยต่อ ก็เลยไปลงเรียนวิชาสถิติเอาไว้ ทีนี้มันดันเป็นวิชาเรียนตอนเย็นวันพุธ ซึ่งเลิกเรียนแล้วเวลาก็กระชั้นกว่าจะไปฝึกที่อำเภอซุยตะ (สำนักเซ็นชินคัง) ได้ ก็ได้แต่ฝึกที่โรงฝึกมิโน่ แต่ความที่ชื่อผมสังกัดสำนักเซ็นชินคัง พอไม่ไปขาดซ้อมมากๆ เขาก็เลยตัดสิทธิ์ไม่ส่งชื่อผมไปสอบเลื่อนสาย ผมเองก็เสียใจและเสียดาย คิดว่าจะได้สองดั้งก่อนกลับเมืองไทย จริงๆ คิดไปไกลขนาดจะขอทุนทำวิจัยอยู่ญี่ปุ่นต่ออีกสองปีแล้วจะฝึกให้ได้สามดั้งด้วยซ้ำ พออะไรหลายอย่างมันเครียดๆ มันไม่ได้ตามหวังก็เลยแบบ ไม่เอาไรสักอย่างละ เอาแค่เรียนจบรับปริญญากลับบ้านพอ แล้วด้วยความที่เหนื่อยและหน่ายกับอะไรหลายอย่าง ทั้งตอนที่ทีแรกปี 2005 ส่งบทความไปจะได้ไปพรีเซนต์งานที่สเปน ปรากฎว่าก็มีปัญหาเรื่องขอวีซ่าอีก ขอไม่ทัน ก็ล้มเลิกการไปตรงนั้นไปเลย ยกเลิกการจองตั๋วเครื่องบินด้วย บลาๆๆ จากตรงนี้ก็เลยเริ่มรู้สึกว่าวงการวิชาการมันยากเกินไปสำหรับเรา ความคิดเดิมที่ตอนแรกว่าเรียนจบจะไปทางสายวิชาการ ก็เลยแบบเลิกฝันเลิกคิดไปเลย เรียนจบมา กลับมาเมืองไทยก็กลับมาทำงานบริษัทธรรมดาๆ แค่นั้น
มีวันหนึ่งผมเดินลงรถไฟ เห็นซาลารี่แมนญี่ปุ่นเดินไปเดินมา ก็รู้สึกว่า คนพวกนี้เหมือนหัวเป็นสี่เหลี่ยมว่ะ ก็เลยรู้สึกว่า ตูไม่ไหวกับญี่ปุ่นละ สามปีมาละ พอกันที เรียนจบเมื่อไหร่ขอกลับบ้านเลยละกัน
พูดมากไปเด๋วท่านผู้อ่านจะเครียด มานั่งรถไฟไปเที่ยวแก้กลุ้มกันดีกว่าครับ
จะไปเกียวโต สำหรับผมก็ต้องมาตั้งต้นที่สถานีรถโมโนเรลยามาดะ
รถมาแล้วขึ้นเลยครับ
ถ้าเห็นเจ้านี้ (ไม่รู้เรียกว่าอะไร) ก็จะรู้ว่าที่นี่คือ Expo park
รถไฟวันนี้ก็มีคนขึ้นปานกลาง ไม่มากไม่น้อย
อันนี้คือคอมพิวเตอร์หยอดเหรียญครับ สมัยก่อนเน็ตมือถือ ไวไฟ ไม่ได้แพร่หลาย ก็ต้องพึ่งเจ้านี่เวลาเร่งด่วนเกิดอยากจะค้นหาอะไร
ป้ายบอกลำดับสถานีรถไฟ สายเกียวโตคาวาระมาจิ
ภูมิทัศน์ที่นี่เหมือนคนไปสร้างบ้านสร้างตึกอยู่ตรงเนินเขา สูงๆ ต่ำๆ ไปหมด มองจากรถไฟออกไปบางทีนึกถึงฉากในหนังเรื่อง Village Album มากครับ ที่ว่าช่างภาพสองพ่อลูกไปรับงานถ่ายภาพทิวทัศน์และชีวิตชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งเอาไว้เป็นความทรงจำครั้งสุดท้าย ก่อนที่ภูมิทัศน์ของหมู่บ้านแห่งนั้นจะเปลี่ยนไปตลอดกาลเพราะการสร้างเขื่อน
รถไฟที่ญี่ปุ่นนี่ ถ้าคุณนั่งเลยสถานีที่ตีตั๋วตอนแรก คุณต้องเอาตั๋วไปปรับค่าโดยสารให้เขาคิดเงินเพิ่ม Fair Adjustment ก่อนถึงจะใช้ตั๋วนั้นตีตั๋วออกประตูไปได้ ส่วนเมืองไทยเรานั่งเลยนี่ต้องเรียกเจ้าหน้าที่สถานเดียว ครับให้เขามาเปิดประตูให้
น่าจะ มาต่อรถ ผมเองก็ลืมๆ ไปละ
ลืมบอกท่านผู้อ่านไปว่า ที่แรกที่ผมจะไปในวันนี้คือ ปราสาทนิโจ 二条城
รถไฟใต้ดินเมืองเกียวโต รถไฟใต้ดินแต่ละสาย แต่ละเจ้า ข้างในพวกสีเบาะอะไรพวกนี้ก็ไม่เหมือนกันนะครับ
นั่งรถไฟมาถึงสถานี “นิโจโจมาเอะ” 二条城前 (หน้าปราสาทนิโจ)
พอขึ้นมาบนดินข้ามถนนมาก็จะพบกับปราสาทนิโจ ว่าแล้วก็เดินไปซื้อตั๋วก่อนนะครับ
ขอเชิญท่านเข้าสู่เขตปราสาท เข้าไปแล้วท่านจะได้พบกับ…
ซามูไรเฝ้ายาม คอยตรวจคนเข้าออก อยู่ทางขวามือ อย่าตกใจครับ นี่แค่หุ่น แต่สมัยก่อนเป็นที่ซามูไรนั่งเฝ้ายามจริงๆ ปราสาทนิโจแห่งนี้เป็นที่จะโชกุนโตกุกาวะ อิเอยาสึ สร้างไว้เพื่อเป็นที่พำนัก เวลาที่ท่านโชกุนจะมาเข้าเฝ้าพระจักรวรรดิ (ซึ่งอยู่วังหลวงเกียวโต ที่ผมเคยพาท่านผู้อ่านไปชมเมื่อคราวที่แล้ว) ซึ่งสิ่งก่อสร้างหลักๆ ที่ยังเหลือให้นักท่องเที่ยวได้ชมก็จะมีเรือนที่เป็นเหมือนเรือนรับรองผู้ส่งสารของพระจักรพรรดิควบที่ว่าราชการของท่านโชกุน (และห้องพักหย่อนใจแบบที่ฝรั่งเรียกว่า Lounge) และก็เรือนที่พำนัก (ซึ่งนักท่องเที่ยวได้ดูแค่ข้างนอก ห้ามเข้า)
ส่วนไหนเนี่ย?
เดินเข้าไปอีกนะครับ
จะเจอกับซุ้มประตูใหญ่งาม มองไปจะเห็นเรือนรับรองละ
ดูลายดอกเบญจมาศที่ซุ้มประตูสิครับ
และนี่คือเรือนรับรองเอาไว้ให้ท่านโชกุนใช้ออกว่าราชการเวลามาพำนักที่เกียวโต มีทั้งห้องนั่งเล่น ห้องรับรองผู้ส่งสารจักรพรรดิ ห้องโถงสำหรับให้บรรดาไดเมียวทั้งหลายได้มากราบกรานเข้าเฝ้าท่านโชกุนด้วย ห้องโถงนั้นจริงๆ มีห้องประตูลับเอาไว้ให้พวกซามูไรซุ่ม หากเกิดเหตุร้ายกับท่านโชกุนจะได้โผล่ออกมาช่วยกันทัน (แหม) ว่ากันว่าทำกลไกให้พื้นนั้นเวลาเหยียบจะส่งเสียงคล้ายนกไนติงเกลด้วย จะได้เสนาะโสตท่าน
ลายแกะหน้าบันประตูสวยงาม
อีกมุมหนึ่ง สวยมากครับแต่เขาให้ถ่ายได้แค่ข้างนอก ข้างในดูได้ห้ามถ่ายรูป ครับ
ระฆังในสวน
เดินชมสวนเลียบเรือน
ผังปราสาทนะครับ ยังมีอีกหลายจุดให้เดิน
นี่เป็นสะพานข้ามคูและประตูที่จะไปสู่ป้อมปราการนะครับ ซึ่งตัวป้อมนั้นไฟไหม้เรียบร้อยไปแล้ว
ทางไปป้อมปราการจะแบบนี้ครับ ลึกและก็ทางเดินหักไปหักมา
หันมองย้อนมาที่สะพานข้ามคู
อาคารอะไรผมก็จำไม่ได้ (ฮา)
นี่คือลานกว้างที่เป็นฐานที่ตั้งเดิมของตัวป้อมปราการ (ซึ่งไฟไหม้หายไปแล้ว) ตอนนี้ก็กลายเป็นที่นั่งตากลมชมวิวไป
วิวมองลงมา
ป้ายบอกว่าปราสาทนิโจเป็น “มรดกโลก” ญี่ปุ่นนี่มรดกโลกเยอะจัง
ตึกอะไรหนอ
เดินวนไปทางไปชมสวนหินก่อนออกจากเขตปราสาท
สวนหินดูดีๆ ให้เป็นศิลปะ
ก้อนหินและต้นไม้ที่ดูงาม
ทางออกใช้เฉพาะฉุกเฉินเท่านั้น ปกติห้ามผ่าน
อาคารแสดงศิลปวัตถุครับ เนื่องในโอกาสครบรอบการสร้างปราสาท 400 ปี
ที่นั่งพักผ่อน ขายของที่ระลึก
จะออกแล้วหรือนี่
ออกมาดีกว่าครับ แต่เดี๋ยวก่อน มีอะไรน่าสนใจให้แวะดูแถวสถานีรถไฟนะครับ
ครับผม ผมมาชมดูร้านขายดาบแถวปราสาทครับ ดาบจริงของญี่ปุ่นนี่ อันนึงเป็นสองแสนเยนอัพ แพงกว่าเงินเดือนผมที่โน่นทั้งเดือนอีก (ฮา)
ที่สถานีคาราสึมะโคะอิเคะนั้น เชื่อไหมครัยบว่าอุตส่าห์มีมินิพิพิธภัณฑ์โชว์ของโบราณในตู้กระจกด้วย
เราหารถนั่งไปเที่ยววัดคิโยมิซึ ดีกว่าครับ วัดนี้จะขึ้นไปชมต้องเดินกันเมื่อยเลยครับ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะทางขึ้นวัดเนี่ย ตอนกลางวันมีร้านขนม ร้านของฝากหลอกขาย เอ๊ย ขายนักท่องเที่ยวมีเยอะครับ
ตั้งพันเยนแน่ แพงจัง อิอิ
สนใจลองหัดทำเครื่องปั้นดินเผาไหมครับ? เพนท์ลาย 1100 เยน เอามือปั้น 2600 เยน เอาแป้นหมุนๆ ปั้น 3300 เยน ผมไม่เอางับ เก็บตังค์กินขนมดีกว่า
สนใจเหล้าโอทอปเกียวโตไหมครับ ถ้วยเหล้าก็มีขายนะ
ร้านขนม หน้าร้านอลังการดี
หลังจากที่เดินชมร้านสองข้างทางมานาน ในที่สุดก็ตะกายมาถึงประตูวัดเสียที
เดินขึ้นไปเลย
อยากจะบอกว่าวัดนี้มีจุดมีอาคารให้ไหว้พระ ทำบุญ เสี่ยงเซียมซี เยอะครับ
เดินไปเรื่อยๆ ก่อนนะครับ ที่นี่กว้างใหญ่จริง เราจะไปถึงไฮไลท์คืออาคารไม้หลังใหญ่ที่แบบว่า ชมวิว ว้าว
นี่แหละครับ เป็นจุดชมวิว ถ่ายรูปอย่างดีเลย
ข้างบนวิวดีนะครับ พอมองลงข้างล่าง นี่มันอะไรกันเนี่ย? คือน้ำตกอันนี้คนไปรอกินน้ำกันเยอะ ประมาณว่ากินแล้วจะมีโชคชัย แต่คนเยอะแบบนี้ขอผ่านครับ
เคาน์เตอร์อะไรน้อดันอยู่ในอาคารวัด
ผมต้องเดินไปหาตึกตรงโน้นอีก ที่คนออกันอยู่ระเบียงเยอะๆ นั่นนะ ก่อนจะลงบันไดไปหาน้ำตกนั่น
วัดนี้อารมณ์เหมือนวัดเมืองไทยมากตรงที่ว่าแก่เรี่ยไรบุญ ไหว้พระไหว้เจ้านี่นั่นโน่นเยอะไปหมด
ไหว้พระไหว้เจ้า ขายเครื่องรางของขลัง เสี่ยงเซียมซี ใครว่าเมืองไทยนี่พุทธพานิชย์ ที่นี่ฮาร์ดเซลยิ่งกว่าผมว่า แปดเก้าปีต่อมาผมไปเที่ยววัดโทไดจิ มีให้ทำบุญกระเบื้องหลังคาวัดแผ่นละพันเยนด้วย สงสัยมาดูงานที่ไทยหรือเปล่า (ฮา)
กราบ
พอเรามาถึงอีกอาคารหนึ่งมองไปทางอาคารเดิมที่เราเดินจากมาก็จะ นะ อะไรระเบียงจะใหญ่ปานนั้น
พระที่นี่ลูบได้คลำได้ คล้ายๆ ขอพร
จะเดินออกมาละครับหันกลับไป
ทางเดินลาดลงไปสบายๆ
หันกลับมามองอีกครั้ง ใหญ่ดีแท้
ลงมาแล้วจะพบกับน้ำตกให้โชค น้ำไหลจากภูเขาที่เขาเชื่อว่ากินแล้วมีโชคมีชัย คนต่อคิวเยอะมากๆ ครับ อันนี้ก็ไฮไลท์หนึ่งเลยของที่นี่
นี่คือฐานของระเบียงไม้ อันน่าอัศจรรย์ว่านึกไงมาสร้างบนเขาแบบนี้
เดินลงมาจากวัดเจอร้านเครื่องปั้น แหมมี “ซัมเมอร์เซล” ด้วย
เดินลงมา ชักจะเย็นละ ร้านค้าก็เริ่มวาย ทยอยปิดร้านละ
แหม มินนี่เมาส์ใส่กิโมโน
ลงไปไหนกันเนี่ย ดูเหมือนวันนั้นผมจะแผลงเดินลงอีกทางหนึ่ง
ป้ายร้านอาหาร
อาหารดูอลังการดีมาก หรูจนไม่กล้าเข้า (ฮา)
ตรอกเล็กๆ สองข้างทางเป็นห้องแถวร้านค้า บรรยากาศช่างเป็นญี่ปุ๊นญี่ปุ่น
มองข้างทางร้านก็ยังรู้สึกสวยงาม
รถลากเพื่อการท่องเที่ยว อารมณ์เดียวกับรถม้าลำปาง
เนื่องจากร้านอาหารตรงแถวทางขึ้นวัดมันดูหรูเกินไป นักเรียนต๊อกต๋อยอย่างผมก็มานั่งกินร้านหยอดเหรียญอย่างนี้ดีกว่า
ร้านของหวานสไตล์ญี่ปุ่น ก็ไม่ถูกนะ
เดินลงมาจากวัดถ้าขยันเดินอีกนิด ก่อนจะไปสถานีรถไฟก็แวะเดินแถวกิอนก่อนก็ได้นะครับ เดินแค่โฉบๆ ริมถนนพอให้ได้บรรยากาศ นั่นไงมีนางรำเดินมาแล้ว หน้าขาวปากแดง
ถนนซอยตรงนั้นก็ปูพื้นเรียบดี
ผมออกมาตรงถนนใหญ่แล้วครับเดี๋ยวเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำไปก็ขึ้นรถไฟกลับโอซาก้าละ
ชมร้านรวงแถวนั้นนิด อะไรๆ ก็ดูดีมีชาติตระกูลไปหมด เกียวโตเมืองหลวงเก่าออกแนวผู้ดีครับ ส่วนโอซาก้านี่ออกแนวชาวบ้านครับผม
แล้วก็นั่งรถไฟกลับโอซาก้าเสียที ตอนกลับยามเย็นทั้งนักเรียนทั้งคนทำงานเยอะไปหมด
ก็เป็นอันจบทริปไปเช้าเย็นกลับ นครเกียวโต ของผมแต่เพียงเท่านี้ คราวนี้จะพาเดินเล่นที่อำเภอมิโน่ เป็นการสั่งลาเมื่อจะสิ้นสุดฤดูร้อนที่ญี่ปุ่น (ยืนมองท้องฟ้าไม่เป็นเช่นเตย ฤดูร้อนไม่มีเธอ เหมือนเก่า ไม่ใช่ละ 55) และผมก็จะต้องโบกมือลาญี่ปุ่น ลาโอซาก้าไปก่อนแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยายจริงๆ นะครับตอนนั้น อย่าลืมติดตามกันนะครับ สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– “มาเอดะ จ้าวสังเวียน” Conde Koma การ์ตูนที่คนเรียน “บราซิลเลียนยูยิตสู” ทุกคนต้องอ่าน!
– ขอไปเที่ยวนาราอีกสักรอบ แวะซื้อนาราซึเกะกิน กับเลยไปเที่ยวศาลเจ้าคาสึงะไทฉะ
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (4) กาย เทคนิค ใจ จากซามูไรถึงยูยิตสู
– ครั้งหนึ่งในชีวิตกับมรดกโลก “ปราสาทฮิเมจิ” เดือนมิถุนายน 2006 รูปเยอะจน บก. ร้องไห้หนักมาก (2) จบจริงๆ แล้วจ้า
– ครั้งหนึ่งในชีวิตกับมรดกโลก “ปราสาทฮิเมจิ” เดือนมิถุนายน 2006 รูปเยอะจน บก. ร้องไห้หนักมาก (1)
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (3) เรียนรู้การ “ทะลวงชีวิต” เมื่อพบกับ “วิกฤติวัยกลางคน”
#เกียวโตฉบับเก็บตก เที่ยวปราสาทนิโจ วัดคิโยมิซึ ก่อนโบกมือลาชีวิตมหาลัย