![]() |
พลเอกบัญชร ชวาลศิลป์ เป็นทหารอาชีพเต็มตัวที่เริ่มงานเขียนสู่สาธารณะตั้งแต่ปี 2524 ด้วยเรื่องราวของชีวิตนักเรียนนายร้อยในชุด “สอยดาวมาร้อยบ่า” ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ “นายร้อยสอยดาว” ปัจจุบันมีงานเขียนประจำอยู่ในสยามรัฐทั้งรายวันและรายสัปดาห์ และยังเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์และวิทยุอีกด้วย เกษียณอายุราชการได้หลายปีแล้ว เลือกที่จะใช้ชีวิตสบายๆ จึงมีเวลาเต็มที่สำหรับการใช้ชีวิตกลางแจ้งตามสไตล์ที่ชื่นชอบ รวมทั้งยังคงมีเวลาให้กับการอ่าน ดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งปฏิบัติมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ระยะหลังๆ ให้ความสนใจและค้นคว้าเรื่องราวในอดีตตามประสาคนสูงวัย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์สงครามจึงกลายเป็นวัตถุดิบที่อยากนำมาแลกเปลี่ยนแง่มุมความคิดกับทุกท่าน |
พบกันได้ทุกวันศุกร์เวลา 12.00 น.ถึง 13.30 น.ทาง FM 101 ในรายการ “เสธ.บัญชร ชวนคุย” ที่จัดคู่กับนฤนารท พระปัญญา
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพุธใน www.marumura.com
พันเอกอัตสุชิ ผู้ควบคุมการป้องกันขุนเขาสุริยาบาชิปราการสุดท้ายของอิโวจิมา ส่งวิทยุรายงานสถานการณ์ไปยังพลโทคูริบายาชิขออนุญาตนำทหารที่เหลืออยู่ออกจากหลืบถ้ำรุกเข้าหาข้าศึกเป็นครั้งสุดท้ายแบบยอมตาย เพื่อสร้างความเสียหายแก่ศัตรูให้มากที่สุด…
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Gen%20Bunchorn/GenBunchorn15_1.jpg)
แต่คูริบายาชิไม่อนุญาต
ในวันนี้ 21 กุมภาพันธ์ 2485 วันที่ 3 ของการยกพลขึ้นบก ทหารอเมริกัน 3 กองพันของกรมทหารราบที่ 28 ได้บีบกระชับบริเวณเชิงเขาสุริบายาชิเข้าไปอีกท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกกระหน่ำ นายทหารนาวิกโยธินผู้หนึ่งที่พูดญี่ปุ่นได้ ใช้เครื่องขยายเสียงประกาศให้ทหารญี่ปุ่นที่ป้องกันเขาลูกนี้ยอมจำนนเสีย แต่ฝ่ายญี่ปุ่นมิได้ใส่ใจ จนกระทั่งสิ้นวัน ฝ่ายอเมริกันก็สามารถเข้ายึดภูเขาลูกนี้ไว้ได้เป็นส่วนใหญ่
การสู้รบยังคงดุเดือด ไม่มีคำว่า “ยอมจำนน”ในความนึกคิดของทหารแห่งองค์สมเด็จพระจักรพรรดิ จนกระทั่งอีก 2 วันต่อมาคือ 23 กุมภาพันธ์ นาวิกโยธินอเมริกันจึงสามารถรุกขึ้นไปถึงยอดเขาสุริบาบาชิได้และได้ปักธงอเมริกันสัญลักษณ์แห่งชัยชนะบนยอดเขาลูกนี้เมื่อเวลา 10.20 น.
อิโว จิมา คือดินแดนแท้ๆ ของญี่ปุ่นแห่งแรกที่ถูกฝ่ายอเมริกันเข้ายึดได้ในสงครามโลกครั้งที่สอง…
ในขณะที่ปักธงเสร็จลงนั้น ทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากถ้ำที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนักแล้วยิงมายังทหารอเมริกัน แต่กระสุนพลาดเป้าหมายและฝ่ายอเมริกันยิงตอบทันทีด้วยปืนอัตโนมัติ ทำให้ทหารญี่ปุ่นผู้นั้นเสียชีวิตลง จากนั้นมีทหารญี่ปุ่นอีกคนหนึ่งโผล่ออกมาจากถ้ำแห่งเดิมนั้น ในมือถือดาบที่หักครึ่งอยู่แล้ววิ่งถลันเข้ามาจะฟันคณะปักธง แต่ก็ถูกยิงล้มลงก่อนจะเข้ามาถึง และเมื่อนาวิกโยธินเคลื่อนเข้าไปใกล้ถ้ำนั่น ก็ถูกสกัดด้วยระเบิดมือที่ขว้างออกมา ดังนั้น ฝ่ายอเมริกันจึงขว้างระเบิดตอบโต้ไป ติดตามด้วยการใช้เครื่องพ่นไฟฉีดเข้าไปในความมืดที่ข้าศึกกำบังตัวอยู่ แล้วใช้ดินระเบิดทำลายปากถ้ำให้ถล่มลงปิดทางเข้าออกเสีย
เมื่อสำรวจถ้ำนี้ในเวลาต่อมา ก็พบศพทหารญี่ปุ่นอยู่ในนั้นไม่น้อยกว่า 150 ศพ
หลังจากปักธงได้ 3 ชั่วโมง พันโท แซนด์เลอร์ จอห์นสัน ผู้บังคับกองพันเห็นว่าผืนธงนั้นเล็กเกินไป ควรใช้ธงผืนใหญ่กว่านี้มาปักแทนเพื่อให้นาวิกโยธินทุกคนบนเกาะ รวมทั้งกำลังบนเรือที่ยังคงลอยลำรายล้อมอยู่จำนวนมากสามารถมองเห็นได้โดยทั่วกัน เขาจึงส่งนาวิกโยธิน 4 คนไปหาธงมาใหม่ จนได้ธงขนาด 4 ฟุต คูณ 4 ฟุต 8 นิ้วจากเรือระบายพลลำหนึ่ง
ภาพการปักธงครั้งที่สองนี้ในที่สุดจะกลายเป็นภาพที่ขึ้นชื่อยิ่งภาพหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สอง และต่อมาไม่นานหลังสิ้นสุดสงครามก็ได้มีการสร้างเป็นอนุสาวรีย์ไว้ที่กรุงวอชิงตันด้วย
การยึดเขาสุริบาชิได้ ทำให้ฝ่ายอเมริกันสามารถควบคุมบริเวณพื้นที่ทางใต้ของอิโว จิมาไว้ได้ถึง 1 ใน 3 และในวันเดียวกันนี้กองพลนาวิกโยธินที่ 3 ก็ได้ยกพลขึ้นบกตามมาเพื่อเสริมกำลัง เนื่องจากการสู้รบตลอด 5 วันที่ผ่านมา ทำให้มีนาวิกโยธินบาดเจ็บกว่า 6,000 นายและ 1,600 นายเสียชีวิต ขณะที่บริเวณที่ราบสูงทางด้านเหนือของเกาะก็ยังเต็มไปด้วยที่มั่นของทหารญี่ปุ่นซึ่งยังไม่มีท่าทียอมจำนน
พลโทคูริบายาชิยังคงกำชับทหารของเขาทุกคนพยายามสังหารข้าศึกให้ได้อย่างน้อย 10 คนก่อนตาย
กองกำลังยกพลขึ้นบกของสหรัฐเหยียบบาทแรกลงบนพื้นทรายสีดำของเกาะอิโวจิมาเมื่ออรุณรุ่ง19 กุมภาพันธ์ 1945 จากนั้นเป็นต้นมาทุกชีวิตบนเกาะแห่งนี้ ไม่ว่าอเมริกันหรือญี่ปุ่นต่างถูกมือที่มองไม่เห็นผลักดันให้มีประสบการณ์ร่วมกัน ณ นรกบนดินแห่งนี้
24 มีนาคม ถัดมา ในหลืบถ้ำอันมืดมิดและสถานการณ์ที่สิ้นหวัง พลโท คูริบายาชิ ผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันอิโวจิมาส่งข่าวทางวิทยุไปยังกองบัญชาการใหญ่ที่โตเกียวความว่า เขามีทหารเหลืออยู่เพียง 400 คน “ฝ่ายข้าศึกได้เสนอให้ยอมแพ้ แต่ฝ่ายเราไม่ใส่ใจ”
25 มีนาคม เขาส่งรายงานสถานการณ์เพิ่มเติมไปยังโตเกียว ว่า “อาหารและน้ำไม่มีเหลืออีกแล้ว แต่เรายังมีกำลังใจดีอยู่ และจะต่อสู้จนถึงที่สุด” ปิดท้ายด้วยข่าววิทยุชิ้นสุดท้ายไปยังสถานีถ่ายทอดสัญญาณที่เกาะชิชิจิม่าที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อเขากับโตเกียวอย่างดีเยี่ยม ความว่า…
“นายและพลทหารทั้งหมดของชิชิจิมา เราขออำลา”
26 มีนาคม เช้ามืด พลโทคูริบายาชิเดินโขยกเขยกจากอาการบาดเจ็บที่ขาไปนั่งลงที่ปากถ้ำของเขา หันหน้าไปยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งแห่งพระราชวังขององค์จักรพรรดิ จากนั้นก็ลงมือกระทำพิธีซัปปุกุ-คว้านท้องตนเอง โดยมีนายทหารคนสนิททำหน้าที่ช่วยตัดคอให้
29 มีนาคม กองบัญชาการของคูริบายาชิผู้ล่วงลับไปแล้วก็ถึงแก่ความพินาศจากการระดมยิงของปืนใหญ่และเครื่องพ่นไฟ
การสู้รบเวลาเดือนครึ่ง ณ อิโวจิมาสิ้นสุดลงแล้ว ฝ่ายอเมริกันสามารถจับกุมเชลยศึกได้เพียง 216 คนจากจำนวนทหารญี่ปุ่น 20,000 คนเศษ สรุปรวมแล้วทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตไป 21,300 คน ฝ่ายอเมริกันเสียชีวิต 6,000 คน บาดเจ็บ 25,000 คน
พลเรือเอกนิมิตซ์ผู้บัญชาการสูงสุดของปฏิบัติการครั้งนี้กล่าวไว้อย่างถูกต้องว่า “แม้แต่ความกล้าหาญอย่างยิ่งยวด ก็กลายเป็นสิ่งธรรมดา” และปฏิบัติการครั้งนี้จะถือเป็นการรบที่ดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์ของนาวิกโยธินสหรัฐ.
ทว่า…ฉากนรกที่ปิดลง ณ เกาะอิโวจิมาครั้งนี้ ถึงที่สุดแล้วก็เพียงเพื่อเปิดฉากนรกแห่งใหม่ขึ้นอีกบนที่หมายต่อไป…
โอกินาวา !!!
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพฤหัสบดี ใน www.marumura.com