![]() |
พลเอกบัญชร ชวาลศิลป์ เป็นทหารอาชีพเต็มตัวที่เริ่มงานเขียนสู่สาธารณะตั้งแต่ปี 2524 ด้วยเรื่องราวของชีวิตนักเรียนนายร้อยในชุด “สอยดาวมาร้อยบ่า” ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ “นายร้อยสอยดาว” ปัจจุบันมีงานเขียนประจำอยู่ในสยามรัฐทั้งรายวันและรายสัปดาห์ และยังเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์และวิทยุอีกด้วย เกษียณอายุราชการได้หลายปีแล้ว เลือกที่จะใช้ชีวิตสบายๆ จึงมีเวลาเต็มที่สำหรับการใช้ชีวิตกลางแจ้งตามสไตล์ที่ชื่นชอบ รวมทั้งยังคงมีเวลาให้กับการอ่าน ดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งปฏิบัติมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ระยะหลังๆ ให้ความสนใจและค้นคว้าเรื่องราวในอดีตตามประสาคนสูงวัย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์สงครามจึงกลายเป็นวัตถุดิบที่อยากนำมาแลกเปลี่ยนแง่มุมความคิดกับทุกท่าน |
พบกันได้ทุกวันศุกร์เวลา 12.00 น.ถึง 13.30 น.ทาง FM 101 ในรายการ “เสธ.บัญชร ชวนคุย” ที่จัดคู่กับนฤนารท พระปัญญา
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพุธใน www.marumura.com

หลายท่านคงเคยไปเที่ยว “อ่าวมะนาว” ที่อยู่ในพื้นที่ของหน่วยทหารอากาศ กองบินน้อยที่ ๕๑ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และถึงยังไม่เคยไปก็คงพอได้รับทราบกิตติศัพท์ของความงดงามในสถานที่ซึ่ง ททท. ตีตรารับประกันคุณภาพและเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้ไปเยี่ยมเยียนมาแล้ว นอกจากนั้นทุกวันที่ ๘ ธันวาคม ทางค่ายจะจัดให้มีพิธีเทอดเกียรติวีรกรรมทางประวัติศาสตร์ของทหารและครอบครัวของค่ายนี้อีกด้วย
ท่ามกลางความสงบร่มรื่นของค่ายที่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมติดอันดับระดับประเทศทุกวันนี้ หลายท่านคงไม่ทราบหรอกว่า ย้อนกลับไปเมื่อกว่า ๖๐ ปีที่แล้ว สถานที่นี้เคยเป็นจุดสู้รบครั้งสำคัญเมื่อครั้งญี่ปุ่นรุกรานไทย
ผมนำมาเล่าทบทวนให้ฟัง เพื่อว่าทุกครั้งที่ได้เหยียบย่างลงไปบนพื้นที่อ่าวมะนาวจะได้รำลึกถึงบุญคุณของเหล่าวีรชนชายหญิงที่ได้รักษาแผ่นดินนี้ไว้ให้เป็นมรดกตกทอดมาถึงเราทุกวันนี้

๘ ธันวาคม ๒๔๘๔
วันที่ ๘ ธันวาคม ของทุกๆ ปีผมจะมีเรื่องที่ต้องรำลึกถึงอยู่เรื่องหนึ่งคือเหตุการณ์ครั้งสงครามโลกครั้งที่สองตอนที่ญี่ปุ่นบุกไทยเมื่อ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ และที่ผมให้ความสนใจเหตุการณ์นี้เป็นพิเศษเพราะบังเอิญเข้าไปอยู่ในจุดเกิดเหตุ ซึ่งแม้จะผ่านเลยไปหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ประทับใจไม่รู้ลืม

เรื่องมันเป็นมาอย่างนี้ครับ…
ตอนที่ผมจบจากโรงเรียนนายร้อยแล้วไปรับราชการที่จังหวัดนครศรีธรรมราชครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๒ นั้น กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๕ หน่วยทหารหน่วยแรกในชีวิตของผมอยู่ในค่ายวชิราวุธ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นกองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑๕ เสียแล้ว เนื่องจากมีการจัดตั้งหน่วยทหารปืนใหญ่ขึ้นมาอีก ไม่เหมือนตอนนั้นที่ภาคใต้ทั้งภาคมีกองพันทหารปืนใหญ่อยู่เพียงกองพันเดียวเท่านั้น
ตัวอาคารอันเป็นที่ตั้งของกองบังคับการกองพันที่ผมไปรายงานตัวนั้น ตอนนั้นยังไม่โอ่อ่าเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ๒ ชั้นเหมือนอย่างทุกวันนี้ แต่เป็นเพียงอาคารไม้เล็กๆ ชั้นเดียวหลังคามุงด้วยสังกะสีที่ถูกกัดกร่อนเสียจนไม่เหลือส่วนที่เคลือบด้วยสารสังกะสี เหลือแต่เหล็กขึ้นสนิมสีน้ำตาลเข้ม เข้ากับข้างฝาไม้ที่ไม่ได้ใช้สีน้ำมันทาภายนอกแบบอาคารสมัยนี้แต่เป็นน้ำมันดินที่ทำให้เนื้อไม้กลายเป็นสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ ดูเข้ากันดีกับหลังคา แรกทีเดียวผมก็รู้สึกผิดหวังนิดๆ กับภาพที่เห็น เพราะก่อนหลุดมาจากรั้วแดงกำแพงเหลืองของโรงเรียนนายร้อยที่ราชดำเนินนั้น ผมวาดภาพกองพันที่จะไปรับราชการไว้อย่างโอ่อ่าเหมือนกับหน่วยทหารที่เราเห็นในกรุงเทพ และพอก้าวขึ้นไปบนตัวอาคาร ผมก็สะดุดตากับพื้นไม้กระดานที่เดินเหยียบไป เพราะสังเกตเห็นร่องรอยเป็นรูๆ อยู่เป็นที่ๆ นึกเล่นๆ ว่า คล้ายกับรูกระสุนปืน อดรนทนไม่ไหวจึงถามนายทหารกำลังพลที่กำลังพาผมกับเพื่อนนายทหารใหม่ร่วมรุ่นอีก ๒ คนไปรายงานตัวกับผู้บังคับกองพันว่า รูอะไรครับ

ลุงก้มลงมองแล้วตอบผมว่า รอยรูกระสุนครับ ตอนญี่ปุ่นบุกเมื่อ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ ผมกับเพื่อนจึงก้มลงมองกันอีกครั้งด้วยความสนใจ…
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพฤหัสบดี ใน www.marumura.com