คั่นรายการโดย Lordofwar Nick
ถอดรหัส “รัฐนิยม” (3) “วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา” Will Make Thailand Great Again
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน วันนี้จะขอมานำเสนอเรื่องราวตอนต่อ ในเรื่องที่ว่า “ญี่ปุ่น” นั้น จากที่เคยเป็น “มหามิตร” กลายมาเป็น “พันธมิตร” ได้อย่างไรนะครับ และแน่นอน เราก็จะมา “ถอดรหัส” รัฐนิยมกันต่อท้ายเรื่องนะครับ
จาก “มหามิตร” เป็น “พันธมิตร”
เหตุการณ์ที่ไทยต้องได้กลายเป็น “พันธมิตร” กับญี่ปุ่นนั้น จะพูดไป มันคือผลพวงจากสถานการณ์โลกที่ประเทศใหญ่ๆ เขาตีกัน แล้วสุดท้ายเรื่องมันก็มาถึงเรา เรื่องมันมีดังนี้
เดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ. 2484 ขณะที่ยุโรปกำลังรบกันแรงขึ้นๆ ญี่ปุ่นได้ส่งคณะทูตพิเศษไปเจรจากับ รมต. ต่างประเทศของสหรัฐฯ ว่า ขอให้เลิกบีบบังคับญี่ปุ่นในการเศรษฐกิจและการทหาร ท่านผู้อ่านคงยังจำได้ว่าก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นกินแหนงกับบรรดาประเทศทั้งหลายในเรื่องที่ญี่ปุ่นไปยึดครองแมนจูเรีย จนทำให้เกิดการปิดล้อมทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า “แนว ABCD” (เอบีซีดีไลน์ ABCDライン ได้แก่ America, Britain, China, Dutch บ้างก็เรียก ABCD包囲陣 เอบีซีดี โฮอิจิน “แนวรบปิดล้อมเอบีซีดี”) ได้แก่การไม่ยอมขายน้ำมัน แร่เหล็ก เหล็กกล้า ให้ญี่ปุ่น แต่ที่แสบสุดคือ ไอ้ตอนเจรจากันเนี่ย ญี่ปุ่นเล่นส่งกองเรือมาจ่อแล้วจ้า พอคุยกันตกลงไม่ได้ปั๊บ เออ พูดกันดีๆ ไม่ตกลงใช่ไหม ได้ โดนซะ
เลยเกิดเป็นเหตุการณ์ถล่มเพิร์ลฮาร์เบอร์ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2484
(คั่นรายการ นานละผมเคยดูหนังฝรั่งทำเรื่อง Pearl Harbor ที่เบน แอฟเฟล็กเล่น คือหนังมันขายฉากแบบดราม่าความทุกข์ยากในวันนั้นมาก แบบโอ้ยพี่น้องชาวอเมริกันต้องเจ็บท้องข้องใจ เพราะไอ้พวก JAP มันรุกรานเรา 555 อารมณ์โปรอเมริกันผสมเรื่องรักสามเส้าแบบดราม่าๆ ถ้าอยากดูหนังเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ที่ดูแบบ เออ ให้ข้อมูลเรื่องประวัติศาสตร์ในเชิงเบื้องลึกเบื้องหลังจริงๆ แนะนำให้ดู Tora! Tora! Tora! ครับ)
และในห้วงเวลาเดียวกัน (คลาดเคลื่อนแค่ระดับวันที่เนื่องจากความต่างของเวลาท้องถิ่น) ญี่ปุ่นก็ ยกพลขึ้นบก เกาะกวม ฟิลิปปินส์ มลายู ไทย
คืนวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2484 สี่ทุ่มครึ่ง เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยพร้อมกับผู้ช่วยทูตทหารบก ผู้ช่วยทหารเรือ มาขอพบท่านนายกฯ แต่ท่านนายกฯ ไม่อยู่ ไปดูแนวรบด้านอรัญประเทศอยู่ (สมัยนั้นยังไม่มีตลาดโรงเกลือ ไม่มีเขมรมาขายซับเวย์นะ หยอกๆ 555 แต่ตอนนั้น เห็นว่า พวกญี่ปุ่นกำลังเคลื่อนทัพมาทางอรัญประเทศอยู่ อันนี้ไม่หยอกๆ นะ) คณะทูตญี่ปุ่นเลยขอพบ รมต. ต่างประเทศแทน
พวกเขาบอกว่า เขามาขอให้กองทัพญี่ปุ่นเดินผ่านประเทศไทยไปโจมตีพม่าและมลายู โดยญี่ปุ่นจะเคารพเอกราชและอธิปไตยของไทย ทั้งยังแจ้งข่าวอีกว่า ญี่ปุ่นประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกาแล้วนะ! (อ้าวเฮ้ย) ลองนึกดูดีๆ นะครับท่านผู้อ่าน ตอนนั้น ไทยงดออกเสียง ไม่ยอมประณามญี่ปุ่นเรื่องแมนจูเรีย ญี่ปุ่นเลยมาขอบอกขอบใจใหญ่ บอกว่าถ้าไทยมีเรื่องกับพวกฝรั่ง บอกมานะ เดี๋ยวญี่ปุ่นจะช่วย
แล้วตอนนี้ ญี่ปุ่นดันไปเปิดกับฝรั่งก่อน ตกลงเราต้องช่วยใช่ไหมเนี่ย!!!
บางครั้งไอ้คำว่า “เพื่อน” นี่ก็สร้างความลำบากให้เหมือนกันนะ 555 โดยเฉพาะการมีเพื่อนที่ตัวโตกว่าเนี่ย
ผมอยากจะบอกท่านผู้อ่านว่า จากการที่ผมได้สัมผัสกับคนญี่ปุ่นในสังคมการทำงาน คือเข้าใจเลย คนญี่ปุ่นนี่จะมีนิสัยชอบมัดมือชก ในแบบที่ไม่บังคับโฉ่งฉ่างอย่างคนจีน แต่จะใช้คำพูดแบบมีมารยาท เช่น “ขอ” “ขอความกรุณา” “ช่วยหน่อยเถอะ” โอเนไงชิมัส (お願いします) แต่ถ้าเรายังบ่ายเบี่ยงอีก คนญี่ปุ่นก็จะเล่นมุกต่อไป ดังเรื่องราวต่อไปนี้
แน่นอน พอญี่ปุนมาขอแบบนี้ รมต.ต่างประเทศ ก็พูดแบบเซฟๆ ไว้ก่อนว่า ประเทศไทยเรามีนโยบายเป็นกลางนะ ไม่ช่วยฝ่ายไหนทั้งนั้นนะ เรื่องนี้เรื่องใหญ่นะ ต้องให้ระดับท่านนายกฯ เท่านั้นนะ ที่จะตัดสินใจได้
ญี่ปุ่นก็เล่นมุกต่อไปอีก ว่า ตอบช้าได้มีรบกันนองเลือดนะ ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกแล้วนะ (คือจะเอาให้เราตอบโอเคเซย์เยสให้ได้เดี่ยวนั้น)
นี่แหละครับ พอ “ขอร้อง” ไม่ได้ ก็จะยกเอาความจำเป็น เอาเรื่องเดือดร้อนมาขู่เรา วิธีพูดแบบนี้มันใช่เลยนะ
ญี่ปุ่นก็สมเป็นญี่ปุ่นจริงๆ คือเวลาอยากจะได้อะไรจะต้องเอาให้ทันใจ ถ้าไม่เร็วทันใจก็ กดดันมันเข้าไป ส่วนคนไทยก็ สมเป็นคนไทยจริงๆ ไม่ยอมตัดสินใจอะไรทั้งนั้นแบบมีอะไรก็โยนไปว่า ต้องให้นายใหญ่ตัดสินใจ 555 รมด. ต่างประเทศของไทยแจ้งรองนายกฯ รองนายกฯ เรียกประชุม ครม. สุดท้าย ครม. ลงมติ เรื่องนี้ต้องท่านนายกฯ สั่ง เราตัดสินกันเองไม่ได้ (เยี่ยมไปเลยครับ)
วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ท่านนายกฯ กลับมาจากพระตะบองแล้ว (แน่นอนตอนนั้น ทหารญี่ปุ่นขึ้นบกแล้ว และยิงกันจริงๆ มีเจ็บตายกันจริงๆ) รมต. ต่างประเทศ ได้อ่านข้อเสนอของญี่ปุ่นให้ท่านนายกฯ ฟัง ซึ่งมีดังนี้
๑. ประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยจะทำสัญญาไมตรีทางรุกรานและป้องกันร่วมกัน
๒. ประเทศไทยจะให้ความร่วมมือแก่ประเทศญี่ปุ่นในทางการทหารเท่าที่จำเป็นตามที่ กล่าวในข้อ (๑)
๓. อนุญาตให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทางผ่านประเทศไทยและอำนวยความสะดวกเท่าที่จำเป็นทั้งหมด รวมทั้งป้องกันมิให้มีการปะทะกันระหว่างทหารญี่ปุ่นและทหารไทย
๔.ญี่ปุ่นจะให้ประกันในความเป็นเอกราช อธิปไตยและเกียรติยศของประเทศไทย จะ ได้รับความเคารพ และประเทศญี่ปุ่นจะร่วมมือกับประเทศไทยในการที่จะเอาดินแดนที่เสียไปคืนมา
แหม่ มีข้อเสนอดีๆ ซะด้วย “ประเทศญี่ปุ่นจะร่วมมือกับประเทศไทยในการที่จะเอาดินแดนที่เสียไปคืนมา” แต่เดี๋ยวก่อน โลกนี้มันไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆ ขนาดนั้น ถ้าลองกลับไปอ่านสามข้อแรก ไม่ได้ให้เดินผ่านเฉยๆ นะครับ ต้องอำนวยความสะดวกด้วย เอาตรงๆ นะ ไม่ใช่พวกเดียวกันก็เหมือนเป็นพวกเดียวกันไปแล้ว 555
ขณะประชุม ครม. กันเรื่องนี้อยู่ ปรากฎว่ามีโทรเลขจาก เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ความว่า
การเป็นไปได้แห่งการรุกรานของญี่ปุ่นโดยไม่ชักช้าต่อประเทศของท่าน ถ้าท่านถูกโจมดี ขอให้ป้องกันตนเอง การรักษาไว้ซึ่งเอกราชและอธิปไตยโดยสมบูรณ์ของประเทศไทยเป็นประโยชน์ของบริติช และเราถือว่าการโจมตีท่าน เหมือนการโจมตีเรา
ครับท่าน ท่านก็พูดหล่อๆ ได้ เกิดไทยต้องรบกับญี่ปุ่นเต็มรูปแบบท่านจะช่วยส่งทหารอังกฤษมารบไหมล่ะครับ? หรือจะแค่ส่งยุทโธปกรณ์มา เหมือนที่พวกประเทศในกลุ่มนาโตช่วยยูเครน? ถึงตอนนั้น ประเทศไทยตอนนั้นคงเละเหมือนยูเครนแล้วล่ะครับ อย่าลืมว่าตอนนั้น กองทัพไทยมีทหารราว 60,000 นาย กับรถถังและเครื่องบินเก่าๆ กองเรือเล็กๆ แค่นั้น แต่ญี่ปุ่นมันยกพลเข้าประเทศไทยมานี่ 300,000 นาย แค่กองกำลังที่จะยึด กทม. ก็ล่อไป 50,000 นายแล้ว เอาไรไปสู้ครับ?
แน่นอน การตัดสินใจโอเคเซย์เยส ให้กองทัพญี่ปุ่น “ผ่านแดน” ไปได้นี่ มีราคาที่ต้องจ่าย อย่างแรกคือ เงินทุนสำรองและเงินที่ฝากในอังกฤษและสหรัฐฯ เพื่อเป็นทุนสำรองออกธนบัตรนี่ ทำใจไว้ได้เลย เขายึดแน่
แต่งานนี้ยังไงก็ ไฟลต์บังคับ แล้วล่ะครับ ถ้าไม่ยอม ง่ายๆ เลย ญี่ปุ่นก็คงได้มา “ปลดอาวุธ” กองทัพไทย แล้วก็ ตั้งรัฐบาลใหม่ แล้วคิดว่า จะมีอะไรต่อจากนี้อีก?
วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ญี่ปุ่นกับไทยได้ทำข้อตกลง “ชั่วคราว” ซึ่งเป็นการ “ลับ” คือกว่าจะเอาเนื้อหาข้อตกลงมาเปิดเผยต่อสภาผู้แทนราษฎรก็ล่อไปสองสัปดาห์ให้หลัง ซึ่งมีใจความดังนี้
ในกรณีที่ประเทศญี่ปุ่นหรือประเทศไทยอยู่ในการขัดกันทางอาวุธกับประเทศภายนอก จะเป็นประเทศเดียวหรือหลายประเทศก็ตาม ประเทศไทยหรือประเทศญี่ปุ่น จะเข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่งในฐานที่เป็นพันธมิตรทันที และจะให้ความช่วยเหลือแก่ภาคีนั้น ค้วยบรรดาปัจจัยของตนในทางการเมือง การเศรษฐกิจ และการทหาร
วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2484 รัฐบาลไทยได้ลงนามใน “หลักการร่วมยุทธระหว่างไทยกับญี่ปุ่น” ซึ่งมีใจความดังนี้
๑. กองทัพญี่ปุ่น ณ ประเทศไทย และกองทัพไทยจะทำการร่วมยุทธต่อกองทัพข้าศึกในพม่า
๒. ก่อนอื่นกองทัพไทยจะยึดชายแดนไทย-พม่า ให้มั่นคงพร้อมกับทำการรักษา ฝั่งทะเลทิศตะวันตกของประเทศทางภาคใต้ เพื่อป้องกันการชุมพลของกองทัพไทย -ญี่ปุ่น ในระหว่างนี้กองทัพไทยจะรีบซ่อมถนนสายระแหง-แม่สอด-เมียวดี และ สายกาญจนบุรี-บ้านบ้องตี้ ทั้งนี้กองทัพญี่ปุ่นจะเข้าร่วมปฏิบัติการด้วย
๓. กองทัพญี่ปุ่น ณ ประเทศไทยมีความมุ่งหมายสำคัญที่จะทำการยุทธในภูมิภาคฉานทางทิศใต้ของแนวระแหง-แม่สอด-เมียวดี แนวนี้อยู่ในเขตด้วยตรงไปร่างกุ้ง ส่วนกองทัพไทยนั้นมีความมุ่งหมายสำคัญที่จะทำการยุทธในภูมิภาคทางทิศเหนือของแนวที่กล่าวแล้ว มุ่งตรงไปเชียงตุงและมันดะเล
๔. กองทัพอากาศของไทยและญี่ปุ่น ต่างฝ่ายต่างทำการยุทธในด้านของตน ถ้า มีความจำเป็น กองทัพอากาศญี่ปุ่นจะเข้าร่วมกำลังกับกองทัพอากาศไทยด้วย
๕. ราชนาวีแห่งประเทศไทย มีหน้าที่ครองน่านน้ำไทย ประมาณตั้งแต่เหนือแนว สัตหีบ-หัวหิน ขึ้นไป
วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2484 รัฐบาลไทยและญี่ปุ่นลงนามในสัญญาที่เรียกว่า “กติกาสัญญาพันธไมตรีระหว่างประเทศไทย กับ ประเทศญี่ปุ่น” ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมจากข้อตกลงชั่วคราวที่ได้ทำขึ้นในวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีใจความดังนี้
ข้อ ๑. ประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทยสถาปนาพันธไมตรีระหว่างกันและกันตามมูลฐานที่ต่างฝ่ายต่างเคารพเอกราชและอธิปไตยแห่งกันและกัน
ข้อ ๒. ในกรณีที่ประเทศญี่ปุ่นหรือประเทศไทยอยู่ในการขัดกันทางอาวุธกับประเทศภายนอก จะเป็นประเทศเดียวหรือหลายประเทศก็ตาม ประเทศไทยหรือประเทศญี่ปุ่นจะเข้าข้างภาคีอีกฝ่ายหนึ่งในฐานที่เป็นพันธมิตรทันที และจะให้ความช่วยเหลือแก่ภาคีนั้นด้วยบรรดาปัจจัยของตนในทางการเมือง การเศรษฐกิจ และการทหาร
ข้อ ๓. รายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อ ๒ จะได้กำหนดด้วยความตกลง ร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจแห่งประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย
ข้อ ๔. ในกรณีสงครามซึ่งกระทำร่วมกัน ประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยรับรอง ว่าจะไม่ทำสัญญาสงบศึกหรือสันติภาพ นอกจากจะได้ทำความตกลงร่วมกันโดยบริบูรณ์
ข้อ ๕. กติกาสัญญานี้จะได้เริ่มใช้ตั้งแต่วันลงนามเป็นต้นไป กติกาสัญญาจะมีกำหนดอายุสิบปี ภาคีทั้งสองฝ่ายจะได้ปรึกษาหารือกันในเรื่องการต่ออายุกติกา-สัญญานี้ในเวลาอันควร ก่อนสิ้นกำหนดอายุดังกล่าวแล้ว
ข้อเสนอผลประโยชน์ที่มากกว่านั้น คือข้อความในภาคผนวกของสัญญาดังกล่าว บอกว่า ญี่ปุ่นจะคืนดินแดนเดิมทางมลายูให้แก่ประเทศไทย
ผมบอกเลยว่า แม้แต่กระแสสังคมในหมู่ประชาชน ก็เชียร์ให้รัฐบาลยุคนั้น “เป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น” ถ้าได้ดินแดนที่เสียไปให้แก่มหาอำนาจคืออังกฤษและฝรั่งเศสในสมัยรัชกาลที่ ๕ มา ทั้งอินโดจีน มลายู แถมภูมิภาคฉานอีก จะเป็นการ Make Thailand Great Again แน่นอน
วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 รัฐบาลไทยประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา เป็นอันว่า ประเทศไทยได้กระโดดเข้าสู่ “วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา” (ไดโตอะเคียวเอย์เค็น 大東亜共栄圏) ไปแล้ว
การเล่าประวัติศาสตร์ในตอนนี้ ก็จบแต่เพียงเท่านี้
มาถอดรหัส “รัฐนิยม” ต่อครับ
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยรัฐนิยม ฉะบับที่ ๔
เรื่อง การเคารพธงชาติ, เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี
ด้วยรัฐบาลได้พิจารณาเห็นว่า ธงชาติ เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี เป็นสิ่งสำคัญประจำชาติ พึงได้รับความเชิดชูเคารพของชาวไทยทั้งมวล จึ่งประกาศเป็นรัฐนิยมไว้ ดั่งต่อไปนี้
๑.เมื่อได้เห็นการชักธงชาติขึ้นหรือลงจากเสาประจำสถานที่ราชการตามเวลาปกติ หรือได้ยินเสียงแตรเดี่ยวหรือนกหวีดเป่าคำนับหรือให้อาณัติสัญญาณการชักธงชาติขึ้นหรือลง ให้แสดงความเคารพโดยปฏิบัติตามระเบียบเครื่องแบบหรือตามประเพณีนิยม
๒.เมื่อได้เห็นธงไชยเฉลิมพล ธงเรือรบ ธงประจำกองยุวชนทหาร หรือธงประจำกองลูกเสือ ซึ่งทางการเชิญผ่านมาหรืออยู่กับที่ประจำแถวทหาร หรือหน่วยยุวชน หรือลูกเสือ ให้แสดงความเคารพโดยปฏิบัติตามระเบียบเครื่องแบบหรือตามประเพณีนิยม
๓.เมื่อได้ยินเพลงชาติซึ่งทางราชการบรรเลงในราชการก็ดี ซึ่งบุคคลบรรเลงในงานพิธีอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ให้ผู้ที่ร่วมงานหรือที่อยู่ในวงงานนั้นแสดงความเคารพโดยปฏิบัติตามระเบียบเครื่องแบบหรือตามประเพณีนิยม
๔.เมื่อได้ยินเพลงสรรเสริญพระบารมีซึ่งทางราชการบรรเลงในราชการก็ดี ซึ่งบุคคลบรรเลงในโรงมหรสพหรือในงานสโมสรใด ๆ ก็ดี ให้ผู้ที่ร่วมงาน หรือที่อยู่ในวงงาน หรือในโรงมหรสพนั้น แสดงความเคารพโดยปฏิบัติตามระเบียบเครื่องแบบหรือตามประเพณีนิยม
๕.เมื่อได้เห็นผู้ใดไม่แสดงความเคารพดั่งกล่าวในข้อ ๑–๒–๓ และ ๔ นั้น พึงช่วยกันตักเตือนชี้แจงให้เห็นความสำคัญแห่งการเคารพธงชาติ เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี.
ประกาศมาณวันที่ ๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๘๒
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยรัฐนิยม ฉะบับที่ ๕
เรื่อง ให้ชาวไทยพยายามใช้เครื่องอุปโภคบริโภค
ที่มีกำเนิดหรือทำขึ้นในประเทศไทย
เนื่องด้วยสถานะการณ์ของโลกอยู่ในสภาพสงครามทุกประเทศ ทั้งที่เป็นคู่สงครามและเป็นกลาง จำต้องสนับสนุนการเกษตร พาณิชย์ และอุตสาหกรรมของชาติเป็นพิเศษ คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นว่า ถึงเวลาจำเป็นที่จะต้องชักชวนชาวไทยให้กระทำเช่นนั้น จึงได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ประกาศเป็นรัฐนิยมไว้ ดั่งต่อไปนี้
๑.ชาวไทยพึงพยายามบริโภคแต่อาหารอันปรุงจากสิ่งซึ่งมีกำเนิดหรือทำขึ้นในประเทศไทย
๒.ชาวไทยพึงพยายามใช้เครื่องแต่งกายด้วยวัตถุที่มีกำเนิดหรือทำขึ้นในประเทศไทย
๓.ชาวไทยพึงช่วยกันสนับสนุนงานอาชีพการเกษตร์ พาณิชย์ อุตสาหกรรม และวิชาชีพของชาวไทยด้วยกัน
๔.กิจการสาธารณูปโภคอันใดที่รัฐบาลหรือชาวไทยจัดให้มีขึ้นแล้ว ชาวไทยพึงพยายามใช้และสนับสนุน
๕.ชาวไทยผู้ประกอบการเกษตร พาณิชย์ อุตสาหกรรม งานอาชีพหรือวิชาชีพอันได้รับการสนับสนุนโดยรัฐนิยมฉะบับนี้ ต้องพยายามรักษามาตรฐานปรับปรุงคุณภาพให้ดียิ่งขึ้น และดำเนินกิจการนั้น ๆ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตทุกประการ
ประกาศมาณวันที่ ๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๘๒
เรื่องธงชาติไทยนั้น ท่ามกลางความขัดแย้งชายแดน ที่น่าชื่นในคือ เราคนไทยพากันพร้อมใจใช้ธงชาติเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของการปกป้องหวงแหนบ้านเมือง และการยืนกรานว่า เรานั้นได้กระทำสิ่งต่างๆ โดยชอบแล้ว
เราคนไทยได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เรามีความ “เคารพต่อธงชาติ” ที่ไม่ใช่แค่ “เคารพธงชาติ” ดังกรณีที่ภูเก็ต ที่ไม่รู้นักท่องเที่ยวกลุ่มไหน คงเห็นธงชาติไทยมันเกะกะวิวเขานัก เลยถือวิสาสะไปม้วน แต่ก็มีพี่น้องคนไทยผู้รักชาติ ไปคลี่ธงให้โบกเหมือนเดิม นี่คือสิ่งที่สมควรทำ อีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องของคนในประเทศศัตรู ทั้งที่อุตส่าห์ไปทำมาหากินถึงเมืองญี่ปุ่นเปิดร้านอาหาร (ไม่แน่ใจว่าที่ผ่านมาสวมรอยแอบอ้างว่าขาย “อาหารไทย” เพื่อหลอกลูกค้าให้เข้าร้านด้วยหรือเปล่า?) พอดีอยากจะทำชาติตัวเองให้สูง ด้วยการจงใจกด “ชาติไทย” ให้ต่ำ โดยเอาธงชาติไทยไปปู่พื้นทางเข้าร้านหมายให้ลูกค้าเหยียบย่ำ อันเป็นวิธีการที่มีแต่คนป่าเถื่อนจิตใจต่ำทรามเท่านั้นที่จะคิดและทำเช่นนี้ได้ เผอิญโชคดีว่าเมืองญี่ปุ่นเขาเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ก็เป็นวิญญูชนพอจะรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว รู้ว่าธงขาติคือสัญลักษณ์ของชาติ ไม่ควรไปเหยียบย่ำอันเป็นการแสดงการดูหมิ่น เขาเห็นว่าเจ้าของร้านนี้จิตใจมันต่ำนัก เลยพาลไม่อุดหนุน จนต้องมาร้องห่มร้องไห้ออกสื่อเป็นที่น่าทุเรศยิ่งนัก
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือ จะเห็นได้ว่าประกาศดังกล่าวนี้ออกมาก่อนที่จะเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น พูดอีกอย่างคือ สถานการณ์มันก็ นะ มันมีสงครามมาแต่แรกแล้วระหว่างไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส ถึงได้มีรัฐนิยมฉบับที่ ๕ เพื่อบอกแนวทางว่าเราต้องพึ่งตัวเองให้ได้มากที่สุด (รองรับภาวะสงคราม)
ส่วนเรื่องที่ว่าสัญลักษณ์ของความเป็นชาติ เป็นปึกแผ่น การมีที่ยึดเหนี่ยวเพื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น หากเพียงพูดสาธยาย บางท่านอาจไม่ซึ้งแก่ใจ ว่าการมีชาติ มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจ มันสำคัญยังไง อยากให้ไปดูพวกไทใหญ่ พวกชนกลุ่มน้อยทั้งหลายในพม่าที่รบราฆ่าฟันกันทุกวันนี้ ว่าทำไมคนพวกนี้บางพวกถึงกับยอมตายไม่ยอมอยู่ร่วมกับพม่า
ผมก็มองว่า พวกไทใหญ่ จนถึงพวกกลุ่มชนต่างๆ ก็ล้วนแต่เป็นคนป่าคนเขา ภูมิประเทศก็ถูกแผ่นดินอื่นปิดล้อมไม่มีทางออกทะเล ต่อให้แยกตัวไปได้ ก็มองไม่เห็นว่าจะตั้งตนเป็นเอกราช พึ่งพาตนเองอะไรได้เลย (อย่างน้อยก็ในทางเศรษฐกิจ) แต่แม้กระนั้น พวกเขาก็ยังดิ้นรนอยากจะมีประเทศของตัวเอง ซึ่งผมมองว่าสภาพนี้จะรบไปไม่มีจบหรอกเหมือนยิวกับปาเลสไตน์นั่นแหละ
พวกไทใหญ่นี่ ไม่รู้จะว่าอย่างไรดี จะบอกว่าโดนพม่าหลอกก็พอได้ กับ “สนธิสัญญาปางโหลง” พม่าบอกพวกเราชาติพันธุ์ต่างๆ จะรวมกันเฉพาะกิจเป็นสหภาพชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น อยู่กันสักพักพอถึงเวลา ก็แยกตัวออกไปได้ อนิจจา เจอพม่าฉีกสัญญา เจ้าไทใหญ่โดนอุ้มหาย เคยมีคนออกความเห็นว่าถ้าไทใหญ่ยอมมารวมเป็นส่วนหนึ่งของไทย อย่างน้อยเจ้าไทใหญ่อาจยังอยู่ดีมีสุข เป็นชนชั้นไฮโซของไทยเหมือนพวกเจ้าเชียงใหม่ทุกวันนี้ก็ได้
จะบอกว่าเขาโง่ โดนพม่าหลอกก็ได้ แต่เพราะอะไรล่ะ?
ก็เพราะเขาอยากเป็น “ประเทศเอกราช” ไง
นั่นก็แสดงว่า การเป็นเอกราช เป็นประเทศชาติที่เป็นไทแก่ตนเอง (ไม่ต้องไปเป็นขี้ข้าใคร) นั้น มันยิ่งใหญ่สำคัญเพียงไหน แล้วการที่ไม่มีประเทศชาติของตนเอง ถูกคนอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งมันตั้งตัวเป็นนาย บังคับขืนใจเอา มันเจ็บปวดแค่ไหน? ทำไมเราคนไทย มีประเทศเอกราชของตัวเอง (ซึ่งก็ไม่ได้มีได้ง่ายๆ ก็ต้องดิ้นรนต่อสู้มาไม่น้อย) แต่กลับไม่ภูมิใจ ซ้ำยังกระทำย่ำยีต่อประเทศชาติด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมด้วยเล่า? ก็ขอให้ท่านลองคิดตรองดู
แล้วทำไมผมถึงเอาเรื่องไทใหญ่มาพูด?
ผมขอบอกใบ้พรีวิวแค่ว่า…
ถ้าญี่ปุ่นไม่แพ้สงคราม We will make Thailand great again และจะไม่มี “พม่าไทใหญ่” เข้ามาเป็น “แรงงานต่างด้าว” ในเชียงใหม่ ครับ
อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง โปรดติดตามต่อตอนหน้านะครับสวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– ถอดรหัส “รัฐนิยม” (2) “ญี่ปุ่นมหามิตร” เพื่อเพื่อน น้อยกว่านี้ได้ยังไง
– ถอดรหัส “รัฐนิยม” (1) “เจแปนโมเดล” เมื่อไทยเราจะเอาญี่ปุ่นเป็นแบบอย่าง (แทนฝรั่ง)
– ว่าด้วย “ชาตินิยมใหม่” (Neo-nationalism) กับปรากฎการณ์ล่าสุดในญี่ปุ่นและไทย
– เมื่อผมสนทนากับ Gemini (2) การกลับมาของ “นีโอคลาสสิก” ใน Gen Alpha
– เมื่อผมสนทนากับ Gemini (1) ว่าด้วยเรื่อง “ความซาบซึ้งกับชีวิตวัยรุ่น”
#ถอดรหัส “รัฐนิยม” (3) “วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา” Will Make Thailand Great Again



