ORIGAMI ศาสตร์มาแรงแห่งปี 2016...“เราไม่จำเป็นต้องเป็นนักศิลปะ แต่เราก็สามารถสร้างสิ่งสวยงามได้ด้วยการทำตาม” เป้าหมายของเราไม่ใช่ว่าจะทำตามสิ่งที่มีอยู่แล้วหรืออะไรแบบนั้น แต่เป้าหมายของเราคือสร้างความสงบ สร้างสมาธิ และสร้างสิ่งสวยงามจากสองมือของเราเอง
ในปี 2015 ที่ผ่านมา ในวงการหนังสือมีเทรนด์มาแรงมากๆ อยู่อย่างหนึ่งครับ นั่นก็คือเทรนด์หนังสือระบายสี (Coloring Book) ซึ่งในฐานะคนทำหนังสือเอง มองว่าเป็นกระแสที่มาแรงที่สุดในรอบกว่าสิบปี เป็นกระแสที่คนในวงการหนังสือทุกหมู่เหล่าหันมาขยับตัวและแสวงหาหนังสือใหม่ๆ มาวางขายกันอย่างคึกคัก
ผมมีโอกาสไปร่วมงานหนังสือที่แฟรงก์เฟิร์ตในปี 2014 ซึ่งงานนี้ถือว่าเป็นงานหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเขาทำนายเอาไว้ว่า “หนังสือระบายสีจะเป็นเทรนด์มาแรงของปี 2016”
ตอนนั้นเองคนก็ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ครับ เพราะคำว่า “สมุดระบายสี” ไม่ใช่คำใหม่ในสังคม และส่วนใหญ่มักนำไปเชื่อมโยงกับ “ความเป็นเด็ก” กลายเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่กล้าหรือไม่มีความสนใจที่จะไปเลือกซื้อ อย่างไรก็ตามเมื่อตัวหนังสือออกวางจำหน่ายขึ้นมาจริงๆ ด้วยความที่เป็นสมุดระบายสีที่มีรายละเอียดเยอะ มีการแบ่งช่องลงสีเอาไว้อย่างมากมาย จึงทำให้มีข้อดีหลายๆ อย่างตามมาคือ “ภาพที่ลงสีมาสมบูรณ์ทุกช่อง จะมีความสวยค่อนข้างแน่นอน” และ “มันกลายเป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับคนทุกวัย กลายสภาพจากหนังสือระบายสีปกติธรรมดา ให้กลายเป็นหนังสือกึ่ง Spiritual ที่ช่วยดูแลทางจิตวิญญาณ และผ่อนคลายให้กับทั้งเด็กและผู้ใหญ่” สองอย่างนี้ถือเป็นประเด็นหลักที่ทำให้หนังสือระบายสีประสบความสำเร็จทั่วโลก โดยเฉพาะในญี่ปุ่นเอง
ในปี 2015 ที่ผ่านมานั้นหากเราไปตามแผงหนังสือญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างโตเกียวและโอซาก้า เราจะเห็นหนังสือระบายสี เป็น Best Seller อยู่อย่างแน่นอน ผมมีโอกาสได้คุยกับคนญี่ปุ่นหลายคน และถามว่าอะไรคือข้อดีสำหรับหนังสือระบายสีแบบนี้ คำตอบหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ หนังสือระบายสีแบบที่มีรายละเอียดเยอะ ทำให้คนจดจำรายละเอียดเหล่านั้นตามไปด้วย ยกตัวอย่างหนังสือระบายสีเกี่ยวกับศิลปะวัฒนธรรม ก็จะช่วยให้คนที่สนใจได้รู้ถึงรายละเอียดปลีกย่อย เช่นตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนงานต่างๆ หรือกระทั่งตำแหน่งที่อยู่ของมัน รวมถึงสิ่งอื่นๆ ที่เรามักปล่อยปละละเลยในชีวิตประจำวัน (คือต่อให้ไม่ค่อยสนใจ เราก็จะถูกบังคับให้ระบายสีเต็มภาพอยู่ดี ซึ่งทำให้เราเรียนรู้ทางอ้อมไปโดยปริยาย)
ในปี 2015 หนังสือระบายสี ตีพิมพ์ออกมาเฉลี่ยเดือนละกว่า 50 เล่ม โดยสนพ.เกือบทุกสนพ. ทำหนังสือระบายสีออกมาตอบโจทย์คนทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือระบายสีแนวอีโรติค, หนังสือระบายสีไอดอล เรื่อยไปจนถึงหนังสือระบายสีที่ Tie – In ตัวการ์ตูนน่ารักต่างๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกอย่างเป็นกระแสและทุกคนหันมาจับตลาดเดียวกัน นั่นย่อมนำไปสู่ภาวะ “ล้นตลาด” และทำให้สมุดระบายสี มีอายุไม่ยืนยาวนัก จนอาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่ช่วงปลายปี 2015 เทรนด์ของหนังสือระบายสี ตกลงมาอย่างรวดเร็ว จนทำให้ผู้ผลิต ตลอดจนผู้ซื้อเอง ต้องการหาอะไรใหม่ๆ ที่จะมาเติมเต็มความต้องการของตน โดยตอนนี้ทั้งสองฝ่ายรู้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือ “ผู้คนต้องการหนังสือที่จะช่วยผ่อนคลายทางจิตวิญญาณ แต่พวกเขาเบื่อการระบายสีแล้ว” สิ่งนี้นำไปสู่การค้นหาใหม่ๆ แต่ก่อนอื่นมันมีประเด็นปลีกย่อยที่เสริมออกมากับหนังสือระบายสีก็คือ
– ความอิสระ : เคยมีความพยายามที่จะนำ “หนังสือต่อจุด” มาเป็นตัวแทนของหนังสือระบายสี และหลายๆ ฝ่ายมองว่ามันน่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก เพราะหากดูปัจจัยเรื่องความละเอียดของงาน การทำให้คนจมอยู่กับสมาธิกับชิ้นงาน สิ่งนี้ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ความ “กำหนด” ที่ชัดเจนจนเกินไปว่าคุณจะต้องลากจุดไปตามหมายเลขนะ ฯลฯ ทำให้บางทีก็ไม่สามารถจับตลาดเด็กๆ ได้
– ของแถม : แทบจะทั่วโลกที่หนังสือระบายสี จะแถมดินสอสี หรืออย่างน้อยก็ให้สิทธิ์ในการเลือกซื้อดินสอสีคุณภาพในราคาถูก ทำให้มีหลายคนที่หันมาซื้อหนังสือระบายสี เพียงเพราะต้องการดินสอสีใช้ (อารมณ์เหมือนคนซื้อนิตยสารเพื่อเอากระเป๋านั่นแหละ) ดังนั้นนี่คือปัจจัยที่ผู้ผลิตต้องหามาตอบโจทย์ในการเลือกสิ่งใหม่ๆ สำหรับผู้ซื้อในปี 2016 ด้วย
ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาค้นพบ และมีการพูดถึงเป็นอย่างมากในงานแฟรงก์เฟิร์ตบุ๊คแฟร์ ปี 2015 ที่ผ่านมาก็คือ “หรือหนังสือสอนการพับ Origami จะเป็นเทรนด์มาแรงของปี 2016?”
นั่นเพราะหนังสือพับสามารถตอบโจทย์ด้านบนทั้ง 2 ข้อได้ “แทบจะไม่ต่าง” จากหนังสือระบายสี (แต่แน่นอนว่าก็ยังไม่เหมือนระดับที่หนังสือระบายสีเคยทำได้) นั่นคือตอนนี้หนังสือพับ จะมี “ของแถม” ก็คือกระดาษแนบมาในชุดด้วย และบางทีก็จะมีแบบที่ให้ระบายสีกระดาษก่อนที่จะนำไปพับ (คือยังคงจับตลาดกลุ่มเดิมบ้าง) และถึงแม้หลายๆ อย่างหนังสือพับจะกำหนดขั้นตอนไว้แล้ว แต่มันยืนอยู่บนพื้นฐานว่า “กระดาษเหลี่ยมๆ อันนึง จะกลายเป็นอะไรก็ได้” ซึ่งก็พอที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่ซื้อหนังสือไปพอสมควร
“เราไม่จำเป็นต้องเป็นนักศิลปะ แต่เราก็สามารถสร้างสิ่งสวยงามได้ด้วยการทำตาม” เป้าหมายของเราไม่ใช่ว่าจะทำตามสิ่งที่มีอยู่แล้วหรืออะไรแบบนั้น แต่เป้าหมายของเราคือสร้างความสงบ สร้างสมาธิ และสร้างสิ่งสวยงามจากสองมือของเราเอง หนังสือพับจะใช้เวลาทำชิ้นงานแต่ละชิ้นสั้นบ้างยาวบ้างแล้วแต่โอกาส ไม่ต่างจากหนังสือระบายสีที่มีทั้งภาพใหญ่และเล็กให้เลือก ตอนนี้หนังสือเกี่ยวกับการพับกระดาษถูกผลิตออกมาเรื่อยๆ ตั้งแต่การพับแบบพื้นฐานเช่นพวกนก ดอกไม้ สัตว์ต่างๆ ฯลฯ ไปจนถึงขั้นของศาสนา หรือตัวการ์ตูนต่างๆ ที่ออกมาเหมือนกับคาแรกเตอร์จริงอย่างไม่น่าเชื่อ
(จริงๆ พวกร้านหนังสือมือสองญี่ปุ่นก็มีขายนะครับ เพียงแต่เราอาจต้องหากระดาษเอง ซึ่งก็เป็นกระดาษสีอะไรธรรมดาๆ หรือหาพวกสมุดฉีกสีๆ แบบไม่มีกาวก็ได้ แทบไม่ต่างกันเลยครับ)
ตอนนี้หนังสือ Origami เริ่มมีวางแผงในเมืองไทยเยอะแล้วครับ ลองหาดูในร้านหนังสือชั้นนำได้เลย เช่น Kinokuniya และเชื่อว่าอีกไม่นานก็จะมีสนพ.ไทยนำเข้ามาขายอย่างแน่นอน Origami นั้น มีคอนเซปต์สำคัญคือ “เมื่อจะทำอะไรให้ดี ต้องมีสมาธิ จงตัดทุกสิ่งที่ทำให้เราไขว้เขวออกไป เหมือนกับตอนที่เราสนใจเพียงแต่สมาธิ กระดาษ และวิธีการตรงหน้า ขณะกำลังพับกระดาษนั่นเอง”
หลังจากนี้เราก็มารอดูกันครับ ว่าหนังสือพับ Origami จะเติบโตในไทยได้เหมือนกับในญี่ปุ่นหรือทางฝั่งยุโรปหรือไม่ (ฝั่งยุโรปนี่ถึงกับมีการจัดแสดงศิลปะ Origami อย่างจริงจังเลยล่ะครับ) และหากใครมีโอกาสได้ทดลองพับกระดาษเหล่านี้แล้ว ก็มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันนะครับ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าหรือทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ
เรื่องแนะนำ :
– “2015” ปีแห่งความสำเร็จของนักมวยปล้ำไทยในญี่ปุ่น
– “ถ่ายแบบวาบหวิว” หนึ่งในวิธีการเอาตัวรอดในวงการมวยปล้ำหญิง
– นักมวยปล้ำญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกา
– ร้านเช่าและร้านมือสอง กับธุรกิจหนังสือญี่ปุ่น
– พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่ FUKUI 1 ในสถานที่ที่ดีที่สุดในโลกสำหรับคนรักไดโนเสาร์