‘ผู้อัญเชิญไฟ’ เป็นนวนิยายขนาดสั้นแนวดิสโทเปีย ได้รับรางวัล 2018 National Book Award in Translated Literature(USA) ซึ่งเล่าเรื่องราวของประเทศญี่ปุ่นในอนาคตอันใกล้ เนื้อเรื่องดำเนินผ่านโยชิโร คุณทวดอายุร้อยปี
จะเป็นอย่างไรหากสิ่งที่คุณเชื่อมาตลอดกลับตาลปัตร เมื่อญี่ปุ่นเกิดภัยพิบัติที่ยิ่งใหญ่ และปิดประเทศตัวเองจากภายนอก โตเกียว เมืองที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทันสมัย เป็นศูนย์กลางของประเทศและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก กลับกลายเป็นเมืองร้าง เต็มไปด้วยมลพิษ ฮอกไกโดและโอกินาวาเข้ามาแทนที่จุดหมายของการทำงาน ไม่เพียงแต่เมืองเท่านั้น ความเชื่อต่าง ๆ ที่เคยเชื่อว่าถูกต้องก็ถูกล้มล้าง แทนที่ด้วยกฎเกณฑ์ใหม่ หกคะเมนพลิกคว่ำแตกต่างไปจากเดิม
‘ผู้อัญเชิญไฟ’เป็นนวนิยายขนาดสั้นแนวดิสโทเปีย ได้รับรางวัล 2018 National Book Award in Translated Literature(USA) ซึ่งเล่าเรื่องราวของประเทศญี่ปุ่นในอนาคตอันใกล้ เนื้อเรื่องดำเนินผ่านโยชิโร คุณทวดอายุร้อยปี ตัวแทนของการเปลี่ยนผ่านจากยุคก่อนมาจนถึงปัจจุบัน(ญี่ปุ่นปิดประเทศ) กับมุเมอิ ผู้เป็นเหลนชาย การเล่าเรื่องจะค่อย ๆ เปิดเผยสภาพสังคมผ่านความทรงจำในอดีตและสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของโยชิโร ไม่ว่าจะเป็น สัตว์ป่าที่สูญพันธุ์ไปจนหมด อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์ถูกตัดขาด ผู้คนหันหลับไปใช้การส่งจดหมาย หรือไปรษณียบัตรภาพแทน เครื่องใช้ไฟฟ้าถูกยกเลิก ระบบธนาคารไม่มีอีกต่อไป รวมไปถึงการห้ามใช้ภาษาต่างประเทศ
“ขนบธรรมเนียมทั้งปวงพลิกคว่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องที่ผู้ใหญ่จะสอนว่า ‘ทำอย่างนี้ถูกต้อง’ อย่างมั่นใจลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว”
“การเรียนภาษาอังกฤษเป็นเรื่องต้องห้าม อนุญาตให้เรียนภาษาอื่นนอกเหนือจากภาษาอังกฤษหลายภาษา เช่น ภาษาตะกาล็อก ภาษาเยอรมัน ภาษาสวาฮิลี ภาษาเช็ก แต่หาหนังสือเรียนและครูสอนยากเหลือเกิน แถมไม่มีโอกาสฟังจากคนที่เคยเรียนภาษาเหล่านั้น จึงไม่มีใครคิดอยากเรียน การร้องเพลงภาษาต่างประเทศในที่สาธารณะเกินกว่าสี่สิบวินาทีถูกห้ามขาด และนวนิยายแปลก็ออกวางขายไม่ได้”
และเป็นจุดเด่นที่ผู้เขียนเลือกใช้การเล่นคำพ้องเสียงภาษาญี่ปุ่นสอดแทรกไปในหนังสือ (ลักษณะงานเขียนของ YOKO TAWADA มักใช้ลูกเล่นในเรื่องของคำอ่านและไวยากรณ์ทางภาษาอยู่เสมอ)
อีกหนึ่งจุดที่สำคัญในเรื่องก็คือ การมีคนแก่เป็นชนกลุ่มมากใน‘ผู้อัญเชิญไฟ’ เล่มนี้ เนื้อเรื่องแทบจะไม่พูดถึงการมีอยู่ของคนรุ่นหนุ่มสาว แต่กลับให้ความสำคัญกับคนชรา โดยแบ่งคนชราออกเป็นสามระดับ คือ คนชราวัยหนุ่มสาวที่อายยังไม่มากประมาณว่าหกสิบปีขึ้นไป คนชราวัยกลางคนอายุประมาณเก้าสิบปีขึ้นไป และคนชรา ‘ขนานแท้’ อายุร้อยปีขึ้นไป โดยคนชราที่ญี่ปุ่นในยุคปิดประเทศนี้ ถือเป็นผู้ใช้แรงงานที่มีคุณค่า เป็นวัยที่สังคมยอมรับและถูกเลือกให้เป็นผู้ทำงานแทนที่คนหนุ่มสาว ถึงขนาดกับมีการปลอมตัวเป็นคนแก่เพื่อให้ได้งานทำก็มี ซึ่งเป็นการสะท้อนเรื่องของสังคมผู้สูงอายุในประเทศญี่ปุ่น ที่จะว่าไปแล้วถือว่าเข้าใกล้ความจริงขึ้นทุกวัน เชื่อว่าหลายคนคงทราบกันดีว่าประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวและมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันอัตราการเกิดของเด็กกลับลดลง จึงไม่แปลกใจนัก หากอนาคตอันใกล้การดำเนินชีวิตของคนจะกลายเป็นเหมือนดังที่หนังสือกล่าวความแตกต่างของสองวัยที่สลับตำแหน่งกันกับสิ่งที่เราคุ้ยเคยมาตลอด
ใน ‘ผู้อัญเชิญไฟ’ เมื่อคนชราแข็งแรง เด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมานั้นกลับตรงกันข้าม พวกเด็ก ๆ ช่างบอบบาง อ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย และมีอายุสั้นลง
“เด็กสมัยนี้เก้าสิบเปอร์เซ็นต์มีชีวิตอยู่กับไข้ต่ำ มุเมอิเองก็มีไข้ต่ำอยู่เสมอ”
“การกระทำที่เรียกว่า ‘ดื่ม’ สำหรับมุเมอิก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มุเมอิกลอกตาดำไปมาพลางเคลื่อนลิฟต์ในคอขึ้นลง พยายามส่งของเหลวลงไปด้านล่าง บางครั้งของเหลวไหลย้อนมาที่คอทำให้สำลัก พยายามดันมันลงไปทางหลอดลมจนไออย่างรุนแรง ถ้าเริ่มไอสักครั้งแล้วก็ไม่หยุดง่ายๆ
“ไม่ว่าจะกินอย่างไร สัญญาณอันตรายในผลไม้ก็จะดังก้องอยู่แล้ว กินกีวีแล้วหายใจติดขัด น้ำมะนาวซึมเข้าไปลิ้นจะชา ไม่เฉพาะผลไม้ เวลากินผักโขมจะเสียดอก กินเห็ดหอมจะเวียนหัว มุเมอิไม่สามารถลืมได้แม้แต่วินาทีเดียวว่าของกินนั้นอันตราย”
“ครู่หนึ่งมุเมอิออกเดินอีก ถึงอย่างนั้นเดินไปได้สิบกว่าก้าวก็หยุดอีก แต่ละก้าวย่างล้วนเป็นการใช้แรงงาน”
แทนที่เด็กจะมีชีวิตเพื่ออนาคตและคอยดูแลผู้สูงอายุ แต่กลับกลายเป็นว่าผู้สูงอายุเองที่ต้องดูแลปกป้องเด็กเหล่านั้น
“ถึงเด็กตายไป ผู้ใหญ่ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าผู้ใหญ่ตายเด็กอยู่ไม่ได้นะครับ”
“ลองจินตนาการช่วงเวลาที่ตนตายไปแล้วแต่มุเมอิยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อ ก็เหมือนชนเข้ากับกำแพง เวลาหลังความตายของตนนั้นไม่มีอยู่ คนชราที่ได้รับร่างกายไม่ยอมตายอย่างพวกตนต้องเผชิญการส่งเหลนสู่ความตาย ซึ่งน่ากลัวเหลือเกิน”
“โยชิโรคิดว่าคนในรุ่นตนไม่จำเป็นต้องฉลองการมีชีวิตยืนยาว การมีชีวิตอยู่น่าขอบคุณ การที่คนชรามีชีวิตอยู่เป็นเรื่องธรรมดา ไม่จำเป็นต้องมีการเฉลิมฉลอง แต่ควรฉลองให้กับเด็กซึ่งมีอัตราการตายสูงที่ในวันนี้ยังมีชีวิตอยู่”
แม้จะดูน่าหดหู่กับชีวิตของเด็ก ๆ เหล่านี้ แต่ก็เหมือนกับนวนิยายดิสโทเปียหลายเรื่อง ในความมืดนั้นก็ยังคงมีแสงสว่างแห่งความหวังรออยู่ คนรุ่นมุเมอิ ไม่คิดว่าตนน่าสงสาร แต่กลับมีมุมมองแปลกใหม่และพร้อมจะเดินหน้าต่อไปข้างหน้าตราบที่ตนยังมีชีวิตอยู่ และการคัดเลือก ‘ผู้อัญเชิญไฟ’ ก็ยังเปรียบเสมือนตัวแทนความหวังแห่งอนาคตที่คนวัยชราพยายามที่จะเสาะหาบุคคลที่เหมาะสมให้รับหน้าที่อัญเชิญไฟแห่งความหวัง แม้จะเป็นความหวังที่บอบบาง เพราะฝากไว้กับเด็กรุ่นใหม่ซึ่งมีร่างกายอันอ่อนแอก็ตาม
ในมุมมองส่วนตัว แม้ว่าการดำเนินเรื่องของ ‘ผู้อัญเชิญไฟ’ เล่มนี้จะเรียบๆเรื่อยๆ ไม่โฉ่งฉ่างหรือตื่นเต้นเหมือนหนังสือแนวเดียวกันที่ได้เคยอ่านมา แต่กลับเสียดสีแนวคิดและสะกิดความรู้สึกคนอ่านให้ได้ตระหนัก ใคร่ครวญและตรึกตรองถึงสังคมที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ได้อย่างดี ทั้งยังมิใช่แค่เพียงประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น หากแต่เป็นเกือบทุกประเทศทั่วโลกที่มีแนวโน้มกำลังมุ่งหน้าสู่สภาพแบบเดียวกับในหนังสือได้เช่นกัน
ผู้อัญเชิญไฟ (THE EMISSARY)
เขียน : YOKO TAWADA
แปล : มุทิตา พานิช
สำนักพิมพ์ : กำมะหยี่
เรื่องแนะนำ :
– 4 สถานที่ใหม่สุดคูลในญี่ปุ่นจาก World’s Greatest Places 2019 ที่น่าไปเยือน
– 9 ศิลปินนักวาดภาพประกอบญี่ปุ่น ลายเส้นเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์
– [ดราม่าฤดูฝน] สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ซาลารี่แมน
– [ทดความคิด] ธนาคารนอกคอก – เพราะเราเป็นได้มากกว่าที่เป็น
– [ทดความคิด] ซูริ กะคุ 数理学 กับโป้ง ก้อย อิ่ม