วันก่อนเกิดนึกอยากศึกษาวิธีทำเหล้าสาเกจึงลองค้นดูและพบภาพยนตร์สารคดีเรื่อง The birth of Sake พอดูแล้วรู้สึกชอบมากจึงอยากนำมาเล่าให้ผู้อ่านฟังค่ะ
สาเกยี่ห้อที่ดิฉันชอบคือ Hakkaisan เพราะมีแหล่งกำเนิดที่เมืองนีงาตะที่ดิฉันเคยได้ไปใช้ชีวิตอยู่กว่า 3 ปี วันก่อนเกิดนึกอยากศึกษาวิธีทำเหล้าสาเกจึงลองค้นดูและพบภาพยนตร์สารคดีเรื่อง The birth of Sake พอดูแล้วรู้สึกชอบมากจึงอยากนำมาเล่าให้ผู้อ่านฟังค่ะ
The birth of Sake ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2015 โดยผู้กำกับลูกครึ่งอเมริกัน-ญี่ปุ่น Erik Shirai และได้รับรางวัลนานาชาติมากมาย ภาพยนต์เรื่องนี้เป็นเรื่องของสาเก Tedorigawa ของบริษัท Yoshida Brewery ที่เป็นบริษัทผลิตสาเกเล็ก ๆ ที่ได้รับการยอมรับจากตลาดทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศค่อนข้างมาก เนื้อหาในหนังเป็นการบอกเล่ากรรมวิธีการผลิตสาเกแบบดั้งเดิมของโรงงานนี้ซึ่งเป็นวิธีที่สืบทอดกันรุ่นต่อรุ่นกว่า 140 ปีตั้งแต่สมัยเมจิ ทำให้การผลิตทุกขั้นตอนต้องใช้มือและแรงงานคนเกือบทั้งหมด
ดิฉันคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายภาพสวยมากและมีการถ่ายทอดบรรยากาศการทำสาเกอย่างละเอียดละเมียดละไม ให้เห็นทุกขั้นตอนตั้งแต่คนงานที่ตื่นตอนตีสี่เพื่อนึ่งข้าว นวดให้นิ่ม ตากจนแห้ง ก่อนจะหมักบ่มทิ้งไว้ และมานวดต่ออีกทีตอนสี่ทุ่มถึงเกือบเที่ยงคืน หนังสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และอารมณ์ความรู้สึกที่มีทั้งเข้มแข็งและอ่อนโยนเช่นเดียวกับกรรมวิธีการบ่มสาเก มีหลาย ๆ ฉากที่ดิฉันรู้สึกประทับใจ
• ในหนังบอกว่าการบ่มสาเกก็เหมือนการเลี้ยงเด็กที่ต้องทะนุถนอม พิถีพิถัน ต้องตื่นมากลางดึกเพื่อที่จะดูแล ให้อาหาร เช็คอุณหภูมิ หัวหน้าโรงบ่มหรือผู้มีตำแหน่ง Toji คุณ Teruyuki Yamamoto อายุ 68 ปีได้ใช้ ประสบการณ์ 53 ปี สอนให้พนักงานทุกคนใช้มือเปล่าจับข้าว ใช้จมูกดมกลิ่นและใช้สัญชาตญาณในการทำสาเก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมอุณหภูมิและส่วนผสมต่างๆเพื่อให้ได้สาเกที่ดีที่สุด การทำสาเกที่ดีได้ต้องอาศัยการเรียนรู้และประสบการณ์ เพราะไม่มีโรงเรียนหรือตำราไหนบอกวิธีไว้
• ระบบการทำงานที่แทบไม่เป็นเวลาเกือบทุกวันตั้งแต่ตีสี่ครึ่งจนมืดค่ำทำให้คนงานทั้งหลายต้องมาอาศัยอยู่ที่โรงงานช่วงฤดูหนาวระหว่างเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนเมษายน ฉากชีวิตของเหล่าพนักงานในโรงงานนี้สลับไปมากับขั้นตอนการทำสาเก พนักงานต้องทำงาน กิน นอนร่วมกันในโรงบ่มเพื่อทำงาน 6 เดือนโดยไม่ได้กลับบ้าน ดิฉันชอบฉากที่พนักงานล้อมวงรับประทานอาหารด้วยกันมื้อแล้วมื้อเล่าและดื่มสาเก (ที่พวกเขาทำกันเอง) และเริ่มร้องเพลงไปพร้อมๆ กับทำงาน ใช้ไม้กวาดมาทำเป็นกีตาร์ นั่งดูซูโม่ด้วยกัน หรือฉลองวันเกิดร่วมกัน
• ฉากคนแก่สี่คนถอดเสื้อผ้าลงแช่ในอ่างน้ำเล็กๆด้วยกันและเล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนานราวกับเด็กก็ไม่ปานแสดงให้เห็นถึงความกลมเกลียวกันระหว่างเพื่อนร่วมงาน ที่ไม่ได้เป็นเพียงเพื่อนร่วมงานแต่เป็นเหมือนพี่น้องครอบครัวเดียวกัน
• ฉากที่ต่างคนต่างกลับบ้านหลังจากเการทำสาเกในปีนั้นสิ้นสุดลง บ้านของ Teruyuki Yamamoto มีสมาชิกมากมาย ทั้งลูกและหลาน แสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมของสมาชิกในครอบครัวในสังคมชนบท เวลาที่ไม่ได้ทำงานในโรงสาเก Teruyuki Yamamoto ก็จะปลูกข้าว แต่อย่างไรก็ดีเด็กๆมักรู้สึกขาดความอบอุ่นจากพ่อเพราะพ่อต้องไปทำงานในโรงสาเกและห่างจากลูกถึงปีละ 6 เดือน
• ฉากที่ Chi-chan เพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กของ Teruyuki Yamamoto กลับไปบ้านหลังจากสิ้นสุดการทำสาเกในปีนั้น แต่เขากลับต้องอยู่ตัวคนเดียวในบ้านที่ว่างเปล่าเพราะภรรยาเสียชีวิตไปก่อนหน้า เขาจึงเฝ้านับวันรอที่จะได้กลับมาเจอเพื่อนที่โรงบ่มสาเกอีกในอีก 6 เดือนถัดมา
• ฉากที่ลูกชายเจ้าของโรงงาน Ya-chan อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นผู้สืบทอด Tedorigawa รุ่นที่ 6 ที่ได้เรียนรู้การทำสาเกจาก Teruyuki Yamamoto โดยมาเป็นพนักงานในโรงบ่มสาเกด้วย เมื่อสิ้นสุดฤดูการทำสาเกเขาก็เริ่มโกนหนวด ใส่สูท เดินทางเข้าไปขายสาเกที่ตัวเองทำในปีนี้ให้กับร้านอาหารต่างๆ ในกรุงโตเกียว และนำเสนอสาเกให้คนต่างชาติด้วย เป้าหมายของเขาคือขยายตลาดสาเกไปทั่วโลก
ฉากต่าง ๆ สะท้อนให้เราเห็นหลายมิติของผู้คนในโรงบ่มสาเกแห่งนี้ที่เปี่ยมไปด้วยความทุ่มเท ความฝัน ความหวัง ความอดทนในบรรยากาศการทำงานที่ไม่ต่างจากครอบครัวที่แสนมีชีวิตชีวา แต่ก็มีช่วงเศร้าโศกหม่นหมองโดยเฉพาะโศกนาฏกรรมท้ายเรื่องที่มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งต้องจากไปก่อนเพราะหัวใจวาย
ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังฝากข้อคิดในการทำงานดีๆอีกหลายประการได้แก่
• แรงบันดาลใจที่ได้ทำในสิ่งที่รัก ความพยายามและความอดทนในการทำให้สาเกคุณภาพดี ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่สาเกธรรมดาแต่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมญี่ปุ่นให้ดำรงอยู่ต่อไป (ถึงแม้ความนิยมจากผู้บริโภคจะลดลง เพราะคนรุ่นใหม่นิยมดื่มเบียร์ ไวน์และวิสกี้แทน) การทำสาเกให้อร่อยถูกใจผู้บริโภค เพียงเท่านี้ก็นำความสุข ความปลื้มปิติมาให้พนักงานโรงบ่มทุกคน
• หัวหน้าโรงบ่มหรือ Toji ย้ำอยู่เสมอว่า “การเป็นผู้นำไม่ใช่การบังคับให้ลูกน้องทำตามที่ตัวเองต้องการ แต่ต้องรู้ว่าเวลาไหนควรเข้มงวด เวลาไหนควรผ่อนปรน” หัวหน้าที่ดีต้องมีวิธีที่จะทำให้ลูกน้องยอมทำตามแบบเต็มใจไม่ใช่จำใจ
• การทำงานให้ได้ดีนั้นต้องอาศัยการสั่งสมประสบการณ์ ค่อยๆเรียนรู้ไปโดยไม่ต้องกังวลมากนัก ยิ่งมีประสบการณ์มากเท่าไรก็ทำได้ดีขึ้นมากเท่านั้น ดังนั้นคนรุ่นเก่าจึงมีหน้าที่ในการฝึกคนรุ่นใหม่เพื่อสืบทอดเอกลักษณ์ในกรรมวิธีแบบนี้ต่อไป
• การผลิตสินค้าต้องหมั่นปรับตัวให้เข้ากับตลาด ในหนังมีการพูดถึงการทำรสชาติของสาเกที่อ่อนลงและดื่มง่ายขึ้นเพราะคนสมัยใหม่นิยมรสชาติแบบนั้นมากกว่า ที่สำคัญต้องมุ่งมั่นผลิตสินค้าให้มีคุณภาพดีที่สุด บริษัทถึงจะคงอยู่ต่อไปได้
• ฉลองหลังทำอะไรสำเร็จ ในหนังมีหลายฉากที่คนงานโรงบ่มฉลองกินดื่มกันอย่างมีความสุข Toji บอกว่าการทำงานด้วยความสนุกสนานเป็นสิ่งสำคัญ และหากเสร็จขั้นตอนใดๆก็ต้องฉลองความสำเร็จร่วมกัน
มีหลายคนพยายามเปรียบเทียบภาพยนตร์เรื่องนี้กับหนังอย่าง Jiro Dreams of Sushi เพราะเป็นสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นเหมือนกันแต่ดิฉันคิดว่าหนังสองเรื่องนี้มีข้อแตกต่างกันมาก Jiro Dreams of Sushi เป็นการนำเสนอคุณ Jiro ว่าเป็นผู้มีฝีมือชั้นยอดในการปั้นซูชิ แต่ The birth of Sake เผยให้เห็นความเป็นมนุษย์ปกติธรรมดาของพวกเขา ที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบไปเสียทุกด้าน เช่นเดียวกันกับสาเกที่พวกเขาตั้งใจบ่มที่ต้องปรับ เพิ่ม ลดเพื่อให้ออกมาดีที่สุด ที่สำคัญที่ตัวเอกของเรื่องคือ Teruyuki Yamamoto มีต่างจากคุณ Jiro ก็คือเขามีรอยยิ้มบนใบหน้าและแววตาแห่งความเมตตาให้กับทีมงานอยู่เสมอ
ดิฉันคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อได้ดีถึงการใช้ชีวิตในฐานะส่วนหนึ่งของสังคม ในที่นี้คือสังคมโรงบ่มเล็กๆแห่งนี้ การทำงานและความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่นๆทำให้ชีวิตมีคุณค่าและมีความหมายที่จะอยู่ต่อไปค่ะ
ทิ้งท้าย มีคำกล่าวในหนังว่า “ความกลมเกลียวจึงจะบ่มสาเกที่ดีได้”
**********************************
ดิฉันได้เพิ่มช่องทางการสื่อสารกับผู้อ่าน ผ่านทาง Facebook Page “Life Inspired by พิชชารัศมิ์” ฝากติดตามด้วยค่ะ
ทักทายพูดคุยกับพิชชารัศมิ์ ได้ที่ >>> Life Inspired by พิชชารัศมิ์
เรื่องแนะนำ :
– ทำงานแบบมืออาชีพของญี่ปุ่น กับคำว่า “ไม่เป็นไร” ของคนไทย
– คนต่างชาติเมาท์อะไรเมื่อไปญี่ปุ่น
– ถึงจะแก่แต่ยังมีไฟในการทำงานอยู่
– บอกลาตัวตนที่ไม่ดี
– Swan Bakery โดยผู้ก่อตั้งบริษัท Yamato Transport (Kuroneko-แมวดำ) เพื่อให้คนพิการมีงานทำ
– เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ในออฟฟิศญี่ปุ่น
#the birth of sake