ต้องรอด!!! 10 เรื่องควรรู้ก่อนไปใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น…ครั้งแรกในการใช้ชีวิตต่างแดน แถมเพื่อนร่วมงานก็เป็นชาวต่างชาติ ต้องรอด คือ คำๆ หนึ่งที่แว่บเข้ามา
1976 Suzuki Satoru เด็กหนุ่มกำลังเดินเล่นตามหาถ้ำกับเพื่อนๆ ในเกาะแห่งหนึ่ง แต่อยู่ๆ ก็หมดสติไปชั่วครู่ และฟื้นมาพบว่าภูมิประเทศรอบๆ ตัวเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เพื่อนๆ ที่มาด้วยกันนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าเกาะทั้งเกาะนั้นเขากลายเป็นคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่
เด็กหนุ่มต้องใช้ความ พยายามอย่างยิ่ง ในการที่จะเอาตัวรอดจากวิกฤตทางธรรมชาติ เพื่อรักษาชีวิตและออกตามหาครอบครัวของตัวเองที่แผ่นดินใหญ่
เรื่องเล่าของ Satoru นั้นแท้ที่จริงเป็นเพียงการ์ตูนชื่อดังของ Shonen Sunday ในช่วงปี 1976-1978 ของคุณ Takao Saito นามว่า ต้องรอด (サバイバル)
เรื่องราวของ Satoru กับเรื่องราวของผมเมื่อ 10 ปีก่อนก็คล้ายๆ กันในบางมุม
ผมได้รับมอบหมายให้ไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น 2 ปี ประเทศที่มีแรงกดดันในการทำงานสูง และมีวัฒนธรรมการทำงานที่เด่นชัด
เป็นครั้งแรกในการใช้ชีวิตต่างแดน แถมเพื่อนร่วมงานก็เป็นชาวต่างชาติ ต้องรอดคือ คำๆ หนึ่งที่แว่บเข้ามา ในหัวตอนนั้น
ผมโชคดีรอดมาได้ เลยอยากส่งมอบเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยให้ผมรอดมาได้ ให้คนที่กำลังจะไปอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเที่ยว จะเรียนหนังสือ หรือทำงานก็ตาม หวังว่าคงจะมีประโยชน์กับทุกท่านนะฮะ
ใครที่เคยไปอยู่มาแล้ว ข้อไหนเราคิดเหมือนกันหรือเห็นต่างจากผม บอกกันได้นะ ยินดีรับฟังและเชื่อว่ามันจะมีประโยชน์กับคนที่อ่านเช่นกัน ขอให้รอดกลับมาอย่างปลอดภัยฮะ
ที่ญี่ปุ่นเราจะไม่สามารถมองหาน้ำดื่มขวดเล็กๆ ขนาดพอดีพกพาในราคาหลักสิบบาทหรือ 30 yen แน่นอน ขั้นต่ำก็ต้อง 25 บาทขึ้นไป
ด้วยเหตุผลว่ารัฐบาลเขาก็ไม่อยากให้คนซื้อกินเพราะต้องเสียทรัพยากร ค่าขวดพลาสติกและการจัดเก็บของเสียไม่คุ้ม
ถ้าจะให้คุ้มจริงๆ ต้องเป็นน้ำขวดระดับ 2 ลิตรขึ้นไป ที่ราคาต่อปริมาตรจะลดลงมาก แม้กระนั้นก็ยังรู้สึกแพงอยู่ดี
แต่ไม่ต้องกังวลไปฮะ ช่วงแรกๆ ที่ยังคุ้นชินกับราคาน้ำก๊อกของเขาก็สะอาดพอจะดื่มได้
ถ้าไม่มั่นใจก็ให้ต้มสักนิด (ถ้าค่าน้ำไฟ เหมานะ)
อ่อ
ไม่แนะนำให้ดื่มน้ำร้อนที่ออกจากก๊อกนะฮะ (หอพัก อพาร์ทเม้นท์ส่วนใหญ่มีบริการน้ำเย็นน้ำร้อนพร้อม)
เพราะบางที่ใส่สารช่วยรักษาอุณหภูมิครับ
ค่าครองชีพ 1 อุปสรรคใหญ่หลวงของคนไปใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นใหม่ๆ แม้ตอนที่ไปบริษัทจะให้เงินเดือนใช้ด้วยการคิดค่าครองชีพแบบญี่ปุ่นแล้วก็ตาม
ยกตัวอย่างเช่น
โค้กกระป๋องที่ไทย 15 บาท แต่ที่นั้น 150 yen หรือ 45 บาทโดยประมาณ แพงกว่าสามเท่าทั้งที่รสชาติก็คล้ายๆ กัน
หนังสือพอคเกตบุ๊คดีๆ สี่สีกระดาษอาร์ตสักเล่ม ก็ราคา 2,100 yen หรือราวๆ 700 บาท แพงกว่าหนังสือที่ไทย 3-5 เท่าเช่นกัน
สารภาพว่าพอคิดกลับเป็นเงินไทยแล้วหยิบไม่ลงสักชิ้นฮะ 555
จนกระทั่งเพื่อนมาแนะนำว่า “อยากกินให้คิดเสียว่าเลขศูนย์หลักสุดท้ายไม่มีอยู่จริง”
เช่น 150 Yen มันคือ 15 บาท 2,100 Yen มันคือ 210 บาท
เพียงเท่านี้เราก็จะกล้าหยิบกล้าใช้จ่ายโดยไม่กังวลจนเกินไป
คำแนะนำ : ประหยัดเป็นเรื่องดี แต่ตระหนี่ไม่กล้าจ่ายบ้าง บางครั้งก็จะเสียโอกาสไม่น้อยฮะ ถ้าได้ไปทำงาน เรียนที่ญี่ปุ่นแล้วก็ควรหาประสบการณ์บ้าง
ที่ทำงานของผมมีสองอาคารที่ต้องเดินทุกวัน
หนึ่ง คือ อาคารที่เป็นโต๊ะทำงานของผม
สอง คือ อาคารทดสอบ
ทั้งสองที่ห่างกันพอสมควรบริษัทจึงมีบริการรถรับส่งให้เพื่อประหยัดเวลา
แต่บางทีรถก็คนแน่นต้องรอคิวเยอะจำเป็นต้องเดินเอาเองใช้เวลาไม่มาก 10 นาทีถ้วน 555
อยู่ที่นั่นผมเดินเยอะกว่าอยู่ไทยเยอะมาก อาจจะเป็นเพราะอากาศดี ถนนสะอาดเดินง่าย และปลอดภัย
แต่หากคุณต้องเดินกับหัวหน้าให้เพิ่งระลึกไว้ว่า “ขาของพวกเขาไวกว่าเรา 2 เท่า”
ถ้าเดินเพลินๆ ไม่ระวังหัวหน้าของคุณจะหายลับไปได้ หรือเดินไปคุยไปกับเขาคุณก็อาจจะหายใจไม่ทันได้
ชาวญี่ปุ่นเป็นชาติที่เดินเก่งและไวมากๆ พยายามปรับสปีดด้วยนะฮะ
“จักรยาน” พาหนะเดินทางที่นักเรียน คนเริ่มทำงานมักใช้ก่อนมีรถ
ทำไมการขี่จักรยานในญี่ปุ่น ถึงท้าทาย
1.กฎระเบียบ ญี่ปุ่นไม่ยินยอมให้ซ้อนสอง (เว้นแม่กับเบบี้ที่มีที่นั่งพิเศษ) เวลาเจอไฟแดงก็ต้องสังเกตสัญญาณไฟจราจรก่อนข้าม
2.สภาพภูมิประเทศ การ์ตูนเกี่ยวกับการแข่งจักรยานชื่อดังอย่าง สิงห์นักปั่น Yowamushi Pedal ต่างเลือกพระเอกให้เป็นนักปั่นขึ้นเขา (Climbers) อาจเป็นเพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีทางลาดชันเยอะมากๆ
ครั้งแรกที่ขี่จักรยานไปเข้าเมืองด้วยเวลา 40 นาทีจำได้ว่าลงจากจักรยานด้วยอาการขาสั่น 555 เพราะเจอเนินไปหลายลูก ขากลับบางจังหวะถึงกับต้องลงจากจักรยานเปลี่ยนเป็นจูงแทนเพราะปั่นไม่ไหว
3.หนาวจนแข็ง อีกหนึ่งสิ่งที่คนไทยน่าจะทำใจได้ยากคือการปั่นจักรยานในวันที่อากาศหนาวติดลบ ด้วยสภาพอากาศแบบนี้เวลาที่ลมตีกระทบหน้าหูจะแดงและเจ็บมากๆ ที่สำคัญคือมือจะแข็งถ้าไม่ใส่ถุงมือจะกำเบรคไม่ได้
ขี่จักรยานแม้จะเป็นเรื่องดี ประหยัดเวลา ต้นทุนต่ำ แต่ก็ต้องระมัดระวังให้มากฮะ
เช้าวันหนึ่งที่ฟ้าแสนสดใส ผมเดินออกจากที่พักไปทำงานตามปกติ แล้วก็เริ่มสังเกตเห็นบางอย่างไม่ปกติชาวญี่ปุ่นเกือบทุกคน “ถือร่มกันมา”
“แดดดีขนาดนี่เนี่ยนะ” ผมนึกในใจ
พอไปถึงที่ทำงานก็เห็นว่าหัวหน้า รุ่นพี่และเพื่อนๆ ในแผนกทุกคนก็ต่างพกร่มกันมาทั้งนั้น
“ชิมัทตะ” (แปลว่า ซวยแล้ว) ผมสบถในใจให้ตัวเอง
และวันนั้นผมก็ต้องยอมเสียเงินซื้อร่มใน Minimart บริษัทกลับบ้านเพราะพายุเข้าตอนเย็น
พยากรณ์อากาศที่ญี่ปุ่นมีความสำคัญมากเพราะการที่ญี่ปุ่นเป็นเกาะ แม้เช้าเราอาจจะเห็นอากาศดีฟ้าเปิด แต่บ่ายวันนั้นอาจจะกลายเป็นพายุก็ได้
10 ปีก่อนถ้าไม่เปิดทีวีหรืออ่านหนังสือพิมพ์อาจจะไม่ได้ข้อมูล
แต่สมัยนี้เปิดมือถือก็รู้แล้วดังนั้นหมั่นเช็คกันก็ดีครับ
ปล. พยากรณ์อากาศที่นั่นแม่นระดับเทพโอกาสพลาดน้อยมากฮะ
ร้านอาหารที่ญี่ปุ่นมีธรรมเนียมและรูปแบบการสั่งที่หลากหลายเช่น
บางที่สั่งก่อน เก็บตังค์ก่อน แล้วเข้าไปกิน
บางที่ต้องถอดรองเท้า ตั้งแต่หน้าร้าน
แถมส่วนใหญ่ต้องสั่งอาหารอย่างน้อยคนละ 1 เมนูไม่อย่างนั้นก็เสียมารยาท
พนักงานบางร้านที่เป็นร้านญี่ปุ่นจ๋าๆ ก็ไม่สามารถรับออเดอร์ด้วยภาษาอังกฤษได้
ผมเคยสั่งซูชิจานหมุนเมนูยอดฮิตที่รอเท่าไหร่ก็ไม่หมุนมาเสียที (ทำเลไม่ดี 555)
สั่งผ่าน Microphone เพราะสมัยนั้นไม่มี Tablet ให้กด ปรากฏว่าพนักงานฟังไม่ออกจนต้องเดินออกมารับออเดอร์เอง
บางที่เป็นเมนูญี่ปุ่นล้วนๆ การจะสั่งอาหารบางทีก็จำเป็นต้องเข้าใจภาษาญี่ปุ่น ไม่งั้นจะไม่ใช่งานง่าย แต่ที่สบายใจได้คือพวกเขาจะไม่โกงหรือขูดรีดเราอย่างแน่นอน
ถ้าอยากกินจริงๆ เทคนิคคือให้คนญี่ปุ่นพาไปสักหนึ่งรอบและจดจำแพทเทิร์นของการสั่งไว้
เพียงเท่านี้คุณก็สามารถดื่มดำ่กับอาหารเลิศรสของญี่ปุ่นแท้ๆ ได้แล้วครับ
ซื้อของออกใหม่ (PlayStation, iPhone) กินราเมนร้านดัง เล่นเครื่องเล่นในดิสนีย์แลนด์
สิ่งหนึ่งที่หนีไม่พ้นคือการต่อแถวเข้าคิวฮะ
ชาติญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการต่อแถวอย่างเป็นระเบียบมากๆ แม้เราจะไม่ตั้งใจแซงคิว แต่ด้วยบางครั้งที่ฟังไม่ออกว่าให้ต่อแถวเขาก็อาจจะเขม้นเอาได้
ผมเคยโดนตอนกดเงินจากเอทีเอ็ม ซึ่งผมไม่ได้แซงนะแต่เหมือนเขามองไม่เห็นว่าเรายืนอยู่
พยามมองที่คิวและเคารพสิทธิตรงนี้ให้ดีนะครับ
ช่วงทำงานใหม่ๆ งานส่วนใหญ่ของผมคือการศึกษาข้อมูลในเอกสาร ไม่ค่อยได้ออกจากที่นั่ง ขณะที่คนอื่นๆ ในแผนก
ล้วนแยกย้ายไปประชุม
กริ๊งๆๆๆๆๆๆ เสียงโทรศัพท์ของพี่เลี้ยงผมดังหลายรอบ
แต่ด้วยความที่ภาษาญี่ปุ่นยังไม่เอาไหน ผมเลยไม่ได้รับสาย พอหัวหน้ามาเห็นท่านก็เลยบอกว่าการรับสายโทรศัพท์
ให้เพื่อนร่วมงานที่ไม่อยู่ ก็ถือเป็นงานเช่นกันนะให้ฝึกเอาไว้ เพราะถ้าเป็นเรื่องด่วนจะได้หาทางแก้ไขทัน
ที่บริษัทถึงกับมีกระดาษที่คล้ายๆ Post it ที่ทำไว้เพื่อจดบันทึกว่า ใครโทรมาหาใคร เมื่อไหร่ ธุระอะไรและใครเป็นคนรับเรื่องไว้
ญี่ปุ่นนี่สุดยอดมากเรื่องการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพครับ
เสาร์วันหนึ่งขณะขึ้นรถไฟไปเที่ยวในเมือง ผมซึ่งนั่งอยู่ก็สังเกตเห็นคุณป้าวัย 50 นิดๆ ขึ้นรถไฟมา ผมก็ลุกให้นั่งตามปกติอย่างที่ทำที่ไทย แต่ดูเหมือนป้าท่านนั้นไม่อยากนั่งและไม่ยินดีที่เราลุกให้นั่งเสียอย่างนั้น
สำหรับญี่ปุ่นการลุกให้นั่งบางทีก็เหมือนเป็นการไม่ให้เกียรติผู้ที่เราลุกให้ (เขาถือว่าถ้าขึ้นรถไฟได้ก็พร้อมยืนได้)
ปล.ที่ญี่ปุ่นจะมีที่นั่งพิเศษให้คนชรา สตรีที่ตั้งครรภ์หรือคนที่ร่างกายไม่พร้อมอยู่ เกือบทุกโบกี้เป็นจำนวน 5-10 ที่ คนที่ต้องการที่นั่งมักจะไปตรงนั้นก่อนอยู่แล้ว
หากไม่ใช่พื้นที่นั้นและอยากลุกให้จริงๆ ลองสังเกตอาการของเขาก่อนว่าต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ เท่านี้ก็ไม่ต้องรู้สึกผิดและไม่ทำให้คนที่เราลุกให้รู้สึกไม่ดีไปด้วย
มันเกี่ยวยังไงกับการเอาตัวรอด
คำตอบคือ หากคุณทำใจไม่ได้กับการแก้ผ้าอาบน้ำกับคนเพศเดียวกัน คุณมีความเสี่ยงสูงมากที่จะเจอกับเหตุการณ์ภาคบังคับอย่างผม
หลังไปทำงานที่ญี่ปุ่นได้สักสามเดือน ผมก็เริ่มเห็นแววแล้วว่าจะต้องไปอาบน้ำในบ่อรวม เพราะมีงานที่จำเป็นจะต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดและหอพักของพนักงานที่นั่นไม่มีห้องอาบน้ำส่วนตัวให้
แม้ผมจะลองศึกษาหาข้อมูลของการลงอองเซนมาเป็นอย่างดี แถมสายตาของผมก็สั้นมาก เรียกว่าเพียงถอดแว่น
โลกทั้งใบก็เสมือนว่ามีฝ้ามาครอบไว้
แต่ก็ไม่วายที่ครั้งแรกจะช็อค เพราะพี่เลี้ยงของผมเล่นเปิดประตูห้องน้ำแบบไม่ทันตั้งตัว ให้ผมเห็นก้นของผู้ชาย
ที่ผมไม่รู้จักสามคนรวดโดยที่ยังไม่ทันถอดแว่น แม่เจ้า 555
ผมมานั่งคิดย้อนหลังว่าดีแล้วหละที่เป็นหน้า B (ก้น) เพราะถ้าเป็นหน้า A ละก็ภาพคงติดตากว่านี้
การอาบน้ำในบ่อรวมมีธรรมเนียมและวิธีการพอสมควรระดับความฮาร์ดคอร์ก็ไม่เหมือนกันมีทั้งห้องปิด ห้องเปิด บ่อรวม บ่อกลางแจ้ง ที่อยากบอกว่าผมลองมาหมดแล้ว 555 (ถ้าอยากฟัง เม้นไว้ฮะจะเล่าให้ฟังเพิ่มนะ)
แม้ครั้งแรกๆ จะรู้สึกเขินๆ อายๆ บ้าง แต่เมื่อชินแล้ว พูดเลยว่าฟินสุดๆ ฮะ
ลองนึกภาพที่อากาศหนาวๆ วิวทิวทัศน์ข้างบนเป็นท้องฟ้าและภูเขา มีหิมะตกใส่ศรีษะในขณะที่ตัวของเรากำลังแช่อยู่ในบ่อที่อุณหภูมิน้ำกำลังดีซิฮะ
คำแนะนำสำหรับคนที่ต้องอยู่นานกว่าสามเดือนหาโอกาสลงนะฮะ ^^
=============
หวังว่าคงมีประโยชน์ในการเอาตัวรอดกันนะครับ ใครอยากเพิ่มอยากถามอะไร ถ้าตอบได้ยินดีครับ
#SenseiPae
#เก่งงานแบบญี่ปุ่นคุณก็ทำได้
#Marumura
#LeanovativeThinking
ติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ Facebook: Leanovative Thinking By Sensei Lek & Sensei Pae
เรื่องแนะนำ :
– หลักสื่อสารแบบญี่ปุ่น อยากเป็นผู้จัดการยิ่งต้องรู้
– 7 นิสัยที่คนไทยไม่ชินเมื่อร่วมงานกับชาวญี่ปุ่น
– 5 คำศัพท์ที่ผู้บริหารชาวญี่ปุ่นชอบใช้ เข้าใจไปไกลกว่าคนอื่น
– วิธีสอนงานแบบญี่ปุ่นที่คนไทยอาจไม่เข้าใจ
– ถ้ามีเวลามานั่งเสียใจ จงเปลี่ยนให้เป็นเวลาพัฒนาตัวเอง