บินตรงโอซาก้า ขับรถเที่ยวเกียวโต โอ้โห!! ที่แบบนี้ก็มีด้วย ตอนที่ 1
“เกียวโต” เมืองหลวงเก่าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบญี่ปุ่นดั้งเดิม เต็มไปด้วยสถานที่เที่ยวยอดฮิตอย่างป่าไผ่อาราชิยามะ วัดน้ำใสคิโยมิสุ ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่จริงๆ แล้วเกียวโตนั้นได้ซ่อนสถานที่น่าสนใจไว้อีกมากมายกระจายตัวอยู่ตามรอบนอกของตัวเมือง
วันนี้เราขออาสาพาไปขับรถชมสิ่งที่เกียวโตแอบซ่อนไว้ไม่ให้เราเห็นกัน
ทริปนี้ของเราเริ่มต้นที่สนามบินดอนเมือง ส่วนสายการบินนั้นเนื่องจากเราต้องการทำให้ทริปนี้งบไม่บานเราจึงเลือกบินด้วยสายการบินโลว์คอสต์ และราคาที่น่าคบหาที่สุดก็ต้อง… “NokScoot เราเลือกนาย!!”
รอบบินของเราคือ 23.40 น. ถึงสนามบินคันไซเวลา 07.10 น. ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี บินตรงเวลา ไม่เท ไม่ดีเลย์นะ ไฟล์ทที่เราไปเป็นเที่ยวบิน XW112 ลำโต ที่นั่งแบบ 3-4-3 นั่งสบาย ไม่ต้องปวดหลังตอนเช้าแม้เป็น Economy เอาล่ะ เริ่มต้นการเดินทางได้
บิน 23.40 น. ถึง 07.10 น.
DAY 1 : หมู่บ้านโบราณกับเทศกาลโคมไฟ Miyama Kayabuki no Sato
หลังจากนอนเป็นศพและส่งเสียงกรนรบกวนคนรอบข้างมาทั้งคืน ทริปของเราก็เริ่มต้นขึ้นตอน 07.10 น. ตรงตามเวลาเป๊ะ!! จากสนามบินคันไซเราวาร์ปไปยังสถานีเกียวโตด้วยรถไฟ Haruka ลายคิตตี้ ที่สะดวกรวดเร็วและเบาะนุ่มจนต้องเราต้องพ่ายแพ้ให้กับความง่วงอีกรอบ เมื่อมาถึงแล้วเราเตรียมตัวไปรับม้าคู่ใจประจำทริปนี้ที่ Toyota Rent a Car ประจำสถานีเกียวโต ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากสถานี เดินไม่ถึง 5 นาทีจากทางออก Hachijo East Exit
ซื้อตั๋วๆ
รถไฟลายคิตตี้ น่ารักเชียว
เดินมาไม่นานจากสถานีเกียวโต ถึงแล้วจ้า Toyota Rent a Car
ใช้แค่นี้ก็มีรถขับ
รอบนี้จัด Toyota Alphard เพื่อการขนคนและของจำนวนมาก
Toyota Rent a Car สามารถจองผ่านเว็บ https://rent.toyota.co.jp/eng โดยตรงได้เลย และเนื่องจากผู้ร่วมทริปมีมากถึง 6 คนบวกกับสัมภาระที่เยอะจนเอาไปเรียงเป็นพีระมิดได้ เราเลยตัดสินใจเช่าเจ้า Toyota Alphard มาเป็นม้าคู่ใจของทริปนี้
ซึ่งวิธีการก็ไม่ยุ่งยากเพียงแค่มีพาสปอร์ตและใบขับขี่สากลเท่านั้น และอย่าลืมซื้อบัตรทางด่วน ETC แบบเหมาจ่ายด้วยล่ะ เพราะเราต้องขึ้นสุดลงสุด แบบเหมาจ่ายจะช่วยประหยัดไปได้เยอะมาก เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เราก็ปักหมุดไปยัง Kayabuki no Sato อันเป็นจุดหมายของวันนี้ทันที
ปักหมุดเรียบร้อย
ชมวิวระหว่างทางรอไป
ผ่านไป 2 ชม.กว่า รวมเวลาแวะกินข้าวเที่ยงข้างทางแล้ว ในที่สุดเราก็มาถึงหมู่บ้านโบราณท่ามกลางหุบเขา Kayabuki no Sato ที่หน้าตาดูแล้วเหมือนเป็นญาติกับ Shirakawago แต่ต่างกันที่นักท่องเที่ยวใน Kayabuki no Sato นั้นน้อยกว่าเยอะมาก สามารถถ่ายรูปคู่กับบ้านได้แบบไม่ติดคนได้สบายๆ
เมื่อถึงเวลา 5 โมงเย็น แสงไฟแห่งเทศกาลโคมไฟหิมะ หรือ “ยูกิโทโร่” ก็ได้ส่องสว่างขึ้นท่ามกลายสายฝนซะงั้น ทำให้บรรยากาศในปีนี้ดูจะเงียบเหงาไปสักหน่อย เพราะขาดไฮไลท์อย่างการปั้นโคมหิมะประดับตกแต่งไป แต่ไม่เป็นไรความเงียบสงบท่ามกลางธรรมชาตินั้นถือว่าเพียงพอแล้ว
เมื่อเดินชมจนสาแก่ใจเราก็กลับเข้าที่พักที่อยู่ห่างออกไป 10 กิโลนิดๆ เป็นบ้านพักขนาดใหญ่ ก่อไฟผิงกันในบ้าน แถมมีเตาย่างบาร์บีคิวด้วย ที่สำคัญราคาแค่ 3,200 กว่าบาทเท่านั้น หาร 6 ตกไม่ถึงคนละ 600 โอ้โห!! ถ้าไม่ขับรถมานี่อดนอนหลับในที่ลับแลอย่างนี้แน่นอน
ถึงแล้ว!!
หน้าหนาวแท้ๆ แต่ดันฝนตกซะงั้น TwT
ตู้ไปรษณีย์โบราณยอดฮิต ถ่ายกันทุกคน
ไม่มีหลังคาหิมะดูหลังคาเขียวๆ ไปก่อน
ถ้าเข้ามาใน Miyama Folk Museum จะมาดูหลังคาจากข้างในได้
รอบๆ หมู่บ้านมีศาลเจ้าให้เดินเล่นอยู่
งานโคมไฟหิมะเริ่มแล้ว!!
เริ่มแบบไม่มีหิมะ ฝนตกถึงเย็นเลย
ที่พักของเราคืนนี้เลย Kayabuki no Sato มาในเขาประมาณ 10 โล
ผ่าฟืนเผาเองนักเลงพอ
กว้างขวางหลังเดียวอยู่ มามากกว่านี้ก็เอาอยู่
DAY 2 : ร่างกายต้องการทะเล เยือน Ine no Funaya หมู่บ้านประมงที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น
เช้าวันที่ 2 เราเก็บกระเป๋าออกเดินทางต่ออีกประมาณ 100 กิโลเมตร เพื่อมุ่งตรงเข้าสู่ Ine หมู่บ้านประมงที่ได้ขึ้นชื่อว่าสวยและมีเอกลักษณ์มากที่สุดในญี่ปุ่น หลังจากวิ่งผ่านภูเขามาได้สักพัก เราก็จะเข้าสู่ช่วงที่ข้างทางมีแต่ทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้าอึมครึมเล็กน้อยเหมือนฝนจะตกอีกแล้วล่ะ และในเวลาเที่ยงวันเราก็มาถึงที่หมายโดยที่ท้องหิวเล็กน้อย
บรรยากาศที่พักเมื่อคืน
ทะเลเกียวโต!!
จุดหมายวันนี้อยู่ข้างล่างนั่นไง
มาถึงแล้ว!!
จังหวะนี้ชมเมืองไว้ก่อน กองทัพต้องเดินด้วยท้อง มาหมู่บ้านประมงมันก็ต้องกินซีฟู้ด เราจัดหนักอาหารทะเลที่ร้าน Funayashokudo ขอแนะนำเซ็ตข้าวหน้าปลาดิบรวมอย่างแรง ราคาดีและสดมาก ราคา 1,500 เยน (ลืมถ่ายรูปมา) และอีกเซ็ตที่จัดหนักคือ Fisherman set เซ็ตนี้มีปลาทุก textureให้เราได้ลอง ปลาดิบ ปลานึ่ง ปลาทอด ยิ่งใหญ่มากเซ็ตนี้ 2,500 เยน สำหรับเราคือถูกมากอยู่ดี
หลายคนมาอิเนะมาเดินถ่ายรูปกับหมู่บ้านประมงเฉยๆ เราทำการบ้านมาว่านอกจากถ่ายรูปชมเมืองแล้วที่นี่ยังมีกิจกรรมมันๆให้ทำอีกนะ หลังจากท้องอิ่มแล้วเราก็ไปทำกิจกรรมที่ลิสต์มาตั้งแต่อยู่ไทย คือล่องเรือชมวิวพร้อมกับคาลบี้ 2 ถุงเพื่อนำไปสังเวยให้แก่เจ้าถิ่นที่เป็นฝูงนกเหยี่ยวและนกนางนวลขณะล่องเรือ เจ้าถิ่นนี่ต้อนรับเราดีมาก ทำเอาการล่องเรือที่น่าจะชมวิวชิลๆ กลายเป็นตื่นเต้นประหนึ่งเล่นกีฬา extreme กันเลยทีเดียว
ดิ่งไปที่ร้านอาหารชั้น 2 ก่อนเลย
2,500 เยน ได้ปลามาทั้งทะเล
จุดยอดฮิต
เอาล่ะออกเรือได้
เรือหน้าตาแบบนี้นะ
นกเริ่มมาแล้ว
ไหนลองให้อาหารกับมือหน่อย
เปลี่ยนใจแล้วไม่เอาดีกว่า มือหายแน่
หลังจากล่องเรือเสร็จเราก็ใช้เวลาที่เหลือก่อนพระอาทิตย์ตกดินเดินชมเมืองที่แสนจะน่ารักนี้ รวมถึงการขับรถไปจนสุดทางเพื่อเช็คอินกับประภาคารสีแดงสดอันเป็นจุดแลนด์มาร์คอีกจุดของหมู่บ้านนี้ สิ่งที่ชอบมากๆ ของอิเนะคือ มีวิวมีบรรยากาศที่ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย สีท้องทะเล สีท้องฟ้า ความเก่าแก่ของบ้านประมง ฯลฯ ถ่ายรูปมุมไหนก็สวยจริงๆ นะ เอาล่ะเมื่อดื่มด่ำบรรยากาศจนเรียบร้อยแล้วเราก็กลับที่พักที่อยู่แถว Amanohashidate ที่ย้อนมาจาก Ine ไม่ไกลนัก เป็นอันจบการเดินทางของวันที่ 2
ปลายสุดของอิเนะ
บรรยากาศภายในเมือง
DAY 3 : Take no Michi ป่าไผ่ลึกลับแห่งเมือง Muko และถนนที่เผ็ดที่สุดในญี่ปุ่น
วันนี้ฟ้าเริ่มเป็นใจ ในที่สุดเราก็ได้พบเจอกับสิ่งที่เรียกว่าแสงแดดสักที วันนี้เราปักหัวลงมาข้างล่างอย่างสุดแรงเพื่อมุ่งเข้าสู่เมือง Muko ที่ดูแล้วถือว่าใกล้ตัวเมืองเกียวโตที่สุดในทริป ซึ่งในเมือง Muko นี้มีสถานที่ลับแอบซ่อนอยู่มากมายเลยทีเดียว
ขับวนไป
ถึงแล้ว ผ่าเข้ามาดื้อๆ เลย
เมื่อเกียวโตไม่ได้มีป่าไผ่แค่เพียงแห่งเดียว,,,
เราค้นพบสถานที่ลับแห่งนี้จากคนเกียวโตแท้ๆ จุดหมายแรกของเราอยู่ที่ Take no Michi ถนนป่าไผ่ความยาวถึง 1.8 กิโลเมตรที่มีทีเด็ดคือ “ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยยยย” ถ่ายรูปวนๆ อยู่ 2 ชม. เจอนักท่องเที่ยวสวนกันไม่ถึง 10 คน (ที่สวนกันส่วนใหญ่เป็นลุงป้าญี่ปุ่น) สำหรับคนที่มาเกียวโตแล้วอยากถ่ายรูปกับป่าไผ่ขอแนะนำอย่างแรง ไม่ต้องตื่นเช้าเพื่อไปดักถ่ายตอนคนน้อย ที่นี่มาตอนเที่ยงยังโล่งเลยแต่อาจจะเดินทางลำบากสักหน่อยถ้าไม่มีรถ (แต่ก็มีบัสมาได้นะ)
ป้ายทางเข้า
ยาวเกือบ 2 กิโล ดูกันซะให้เอียน
ไม่มีคนเลยจ้า
และในสถานีเดียวกันกับป่าไผ่ลึกลับ ถนนที่เผ็ดที่สุดในญี่ปุ่นได้มาอยู่ที่นี่แล้ว แนวถนนระหว่างสถานี Mukou Machi และ Higashi Mukou เป็นถนนที่เรียกว่า Gekikara Street (แปลตรงตัวแปลว่าถนนโคตรเผ็ด)
รอบๆ บริเวณนี้จะมีร้านที่ทำอาหารคาวหวานแบบเผ็ดๆ แอบซ่อนอยู่ แต่ตัวร้านอาจจะอยู่ห่างกันสักหน่อยต้องค่อยๆ หาเอา และปลายทางของเราคือการท้าทายกับสิ่งที่เผ็ดแซ่บที่สุดในถนนเส้นนี้ “ข้าวผัดมัจจุราช” แห่งร้าน Min Min ที่หน้าตาธรรมดามาก แต่กินเข้าไปนี่เผ็ดจนต้องร้องขอชีวิต และแน่นอนเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพเราต้องหยุดมันไว้แค่ครึ่งจานพอ เมื่อกินกันอิ่มแล้วเราก็มุ่งหน้ากลับที่พักในเมือง Uji อันเป็นหมุดหมายของเราที่จะไปสำรวจในวันพรุ่งนี้
เปลี่ยนที่มาแถวสถานี
คาลัคกี้ มาสคอตแห่งความเผ็ดร้อนของย่านนี้
มีร้านเผ็ดร้อนกระจายตัวอยู่ระหว่างสถานี Mukomachi กับสถานี Higashimuko
ร้านนี้แรงสุด อยู่ตรงหน้าสถานี Higashimuko
ดูท่าจะดัง ต้องลองบวกกะของที่เผ็ดที่สุดหน่อย
ตอนผัดถึงกับต้องใส่หน้ากาก
มาแล้ว ข้าวผัดยมทูต จะสักแค่ไหนกันเชียว
ยอมแพ้แล้วจ้า TwT
อ่าน >> – บินตรงโอซาก้า ขับรถเที่ยวเกียวโต โอ้โห!! ที่แบบนี้ก็มีด้วย ตอนที่ 2
#ขับรถเที่ยวเกียวโต #บินตรงโอซาก้า