เราก็จะพบว่ามีชาวญี่ปุ่นอีกมากที่เสียชีวิต จากการทำงานหามรุ่งหามค่ำอย่างนี้ (บางก็เสียชีวิตเพราะเหนื่อยเกินไป บ้างก็ฆ่าตัวตายหนีปัญหาที่รุมเร้า) ชาติญี่ปุ่นที่เรานับถือในเรื่องการทำงานให้มีประสิทธิภาพนั้น แท้จริงก็มีมุมมืดในสังคมเช่นกัน
คริสมาสต์ วันที่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ออกไปเฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนานรับอากาศหนาว
ปี 2015 ที่หอพักพนักงานบริษัทโฆษณาดังแห่งหนึ่ง มัตซูริ ทากาฮาชิ พนักงานสาวตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลงบนวัย 24 ปี พร้อมกับทิ้งข้อความไว้บนโลกที่โหดร้ายของเธอว่า
“ทำไมอะไรก็ยากไปหมดขนาดนี้”
จากข่าวของ BBC ระบุว่า ก่อนจากโลกนี้ไปเธอต้องทำงานอย่างหนักนอนแค่สัปดาห์ละ 10 ชั่วโมง กลับถึงที่พักตีห้าของอีกวัน เดือนสุดท้ายของเธอทำงานล่วงเวลาไปทั้งสิ้นกว่า 100 ชั่วโมง
(Source : https://www.bbc.com/thai/international-40547891)
นอกจากเรื่องอันน่าเศร้าของทากาฮาชิซังแล้ว ถ้าเราทำการ Search ข้อมูลในอินเตอร์เนตด้วยคำว่า
社員 過労死 (พนักงานเสียชีวิตเพราะทำงานหนัก)
เราก็จะพบว่ามีชาวญี่ปุ่นอีกมากที่เสียชีวิต จากการทำงานหามรุ่งหามค่ำอย่างนี้ (บางก็เสียชีวิตเพราะเหนื่อยเกินไป บ้างก็คิดสั้นหนีปัญหาที่รุมเร้า)
ชาติญี่ปุ่นที่เรานับถือในเรื่องการทำงานให้มีประสิทธิภาพนั้น แท้จริงก็มีมุมมืดในสังคมเช่นกัน
อยากจะสรุปค่านิยมที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นมักทำงานหนักจนเสียชีวิตไว้ดังนี้ครับ
แต่ไหนแต่ไรชาติญี่ปุ่นเป็นชาติที่ปลูกฝังเรื่องความรักชาติ การเสียสละทำเพื่อส่วนรวมเป็นหลัก ซึ่งผมเชื่อว่าจุดเริ่มต้นแรกๆ มาจากการแพ้สงคราม และการมีภัยพิบัติหลายๆ ครั้ง (แผ่นดินไหว สึนามิ)
การทำให้คนอื่นเดือดร้อนนับเป็นการเสียเกียรติ ดังนั้นพวกเขาจะทำงานถวายหัวยิ่งเมื่อต้องทำงานเป็นทีมด้วยแล้ว
ชาติญี่ปุ่นแบ่งหน้าที่ในสังคมอย่างชัดเจน สามีทำงาน ภรรยาเลี้ยงลูก การทำงานหนักกลับบ้านดึกๆ ของสามี ถูกตีค่าเป็นการเอาใจใส่คนในครอบครัว ยิ่งทำงานหนักมากกลับบ้านดึกๆ บางครอบครัวมองว่าเป็นเรื่องดี
ญี่ปุ่นเป็นชาติที่นิยมให้คนเห็นคุณค่าของงานและความพยายามทำงานให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เรียกว่าดีแล้ว ยังดีได้อีก ดีกว่านี้ได้อีก หลักการ Kaizen หรือ Continuous Improvement ก็มาจากแนวคิดนี้
เอา 3 อันมารวมๆ กันเลยเกิดเป็นเหตุการณ์ที่คนหลายๆ คนทำงานเกินกำลังตัวเองจนเบียดเบียนชีวิตด้านอื่นๆ ไป นำไปสู่ภาวะเครียด ซึมเศร้าและคิดสั้นในที่สุด
หลังเหตุการณ์อันน่าสลดใจของทากาฮาชิซัง นำไปสู่การรับผิดชอบลาออกของ CEO บริษัทดังกล่าว และตามมาด้วยการฟ้องร้องในชั้นศาลให้พิจารณาเอาความจากบริษัทนี้โดยครอบครัวของทากาฮาชิซัง
แล้วสังคมญี่ปุ่น คิดและเห็นอย่างไรในเรื่องนี้
คำตอบคือเห็นด้วย และเริ่มตระหนักมากขึ้นว่าที่ผ่านพวกเขาทำงานมากเกินไป ชีวิตมาอะไรหลายด้านมากกว่าการทำงาน คนเราไม่ควรที่จะหมกหมุ่นกับความสำเร็จด้านงานเพียงอย่างเดียว แต่ควรหาความสุขให้กับชีวิตมากขึ้น
แล้วพวกเขาทำอะไรเพื่อให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงบ้าง
บริษัทที่ผมร่วมงานด้วยที่ญี่ปุ่นส่งสัญญาณให้พนักงานเลิกงานเร็วขึ้น ด้วยการปิดไฟ ปิดระบบ IT ภายใน ตั้งแต่ 18:30 ถ้าคนไหนอยากทำงานต่อต้องขออนุมัติ ซึ่งโอกาสจะทำได้ยากขึ้น (เพราะหัวหน้างานจะมีความผิดด้วยหากอนุญาตโดยไม่มีเหตุผล)
ในช่วงเปลี่ยนถ่ายให้คนคุ้นชินกับการทำงานที่สมดุลมากขึ้น พวกเขาได้เปิด Co-Working space ให้พนักงานทำงาน เพื่อให้พวกเขายังคงได้ทำงานที่ค้างอยู่ แต่เปลี่ยนบรรยากาศและก็ผ่อนคลายมากขึ้น
อีกสิ่งที่ผมทึ่งมากๆ คือ พวกเขาพยายามยกเลิกกระบวนการทำงานมาตรฐานบางอย่างออก
จากประสบการณ์ทำงานของผม ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ชอบมากในการสร้างมาตรฐานและทำมาตรฐานนั้นให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
เพื่อรักษามาตรฐานที่ดีนั้นๆ ขั้นตอนทำงานก็จะยิ่งซับซ้อน และนับวันภาระงานก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นอันเป็นที่มาของการทำงานหนักเกินไป
พวกเขาเริ่มมองหาวิธีการใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ วัสดุใหม่ๆ ที่จะทำพวกเขายกเลิกมาตรฐานนั้นออกได้
โดยปกติมาตรฐานที่พวกเขาช่วยกันสร้างขึ้นนั้นสามารถการันตีคุณภาพสินค้าได้เป็นอย่างดี การจะยกเลิกมาตรฐานและทดแทนด้วยไอเดียอื่นๆ ที่พวกเขาต้องเรียนรู้ใหม่นั้น นับเป็นความกล้าอย่างแท้จริง
ญี่ปุ่นที่ได้นำหน้าเราไปสู่สังคมคนชรา กำลังแรงงานไม่ได้มากเหมือนก่อน แถมเด็กๆ รุ่นใหม่ก็มีมุมมองเป็นบวกน้อยลงกับอาชีพพนักงานประจำ
พวกเขากำลังต้องเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
แล้วประเทศเรา บริษัทของทุกท่ายหละครับกำลังมุ่งไปทางไหน เป็นคำถามที่น่าคิดไม่น้อยครับ
#SenseiPae
#เก่งงานอย่างญี่ปุ่นคุณก็ทำได้
#LeanovativeThinking
ติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ Facebook: Leanovative Thinking By Sensei Lek & Sensei Pae
เรื่องแนะนำ :
– 1 นาที 1 ล้านบาท -คุณค่าของเวลาที่ชาวญี่ปุ่นสอนผม-
– ทำไมคนญี่ปุ่นถึงทำงานมีประสิทธิภาพ -ถอดความเชื่อและทัศนคติในการทำงานของชาวญี่ปุ่น-
– จุดแข็งของคนอ่อนแอที่ (ไม่ยอมแพ้พ่าย) -ยอมรับตัวเองและก้าวเล็กๆ ไปข้างหน้า-
– Osanai Aya ตั้งใจ+ไร้ข้ออ้าง = ไม่มีอะไรขวางความสำเร็จ -หุ่นดีไม่มีขาย อยากได้ต้องจริงจัง-
– ทำไม ทำไม ทำไม คำถามสร้างคน เรียนรู้จากหลักการ 5 whys