เมนู Nasu Dengaku นี้ถือว่าเป็นเมนูที่ทำง่าย รสชาติกลมกล่อมเพราะ “มิโสะ” เป็นตัวช่วยที่ดีมาก ทั้งดึงความหวานและตัดความขมของมะเขือม่วง ให้เนื้อสัมผัสแบบครีมมี่ และช่วยให้กลิ่นมะเขือย่างยิ่งหอมกรุ่น เป็นเมนูที่ให้แคลอรี่ต่ำ แถมตัวมะเขือม่วงเองก็ดีต่อสุขภาพ เพราะให้ทั้งโปรตีน มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันสารก่อมะเร็ง และช่วยชะลอวัย อีกต่างหาก
สวัสดีค่ะ วันนี้จะพาเพื่อนๆ มารู้จักกับเมนูพื้นบ้านญี่ปุ่น เมนูหนึ่งที่มีเสน่ห์มากๆ (อวยเยอะหน่อย เพราะเป็นของโปรดคนเขียน แม้ว่าเวลาบอกคนญี่ปุ่นว่าชอบเมนูนี้ … จะถูกกล่าวหาว่า “แก่” หรือไม่ก็ “โบราณ” ไปเลยก็ตาม T_T )
เอาล่ะค่ะ มารู้จับ Nasu Dengaku (なす田楽) หรือมะเขือย่างซอสมิโสะ กันค่ะ
มะเขือม่วง หรือ Nasu (なす)ของญี่ปุ่นนั้น แม้ว่ามีขนาดเล็กกว่ามะเขือม่วงจากทางอเมริกาหรือทางยุโรปอยู่เล็กน้อย แต่ที่นิยมบริโภคในญี่ปุ่นก็มีหลากสายพันธุ์ ทั้งสายพันธุ์ดั้งเดิมและสายพันธุ์ต่างชาติ โดยมะเขือม่วงเป็นผักชนิดหนึ่งที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นพอสมควรเลยทีเดียว นอกจากจะนำมาทำอาหารได้หลากหลายแล้ว ยังมีความเกี่ยวพันกับความเชื่อของพวกเขาอีกด้วย เช่น ถ้าในช่วงปีใหม่ หากใครฝันเห็นมะเขือม่วง ก็จะถือว่าโชคดี หรือความเชื่อที่ว่ามะเขือม่วงในฤดูใบไม้ร่วงจะอร่อยที่สุด ควรเก็บไว้กินเองดีที่สุด หรือความเชื่อที่ว่ามะเขือม่วงเป็นยาเย็น เหมาะกับการบริโภคในช่วงหน้าร้อน และยังเชื่อว่ามะเขือม่วงนั้นไม่เหมาะกับคนท้อง ดังนั้นไม่ควรนำไปเป็นของฝากลูกสะใภ้นะจ้ะ … เห็นไหมล่ะ อะไรๆ ก็มะเขือม่วง หลายสิ่งเชียวนะ
อย่างที่บอกไปแล้วว่า มะเขือม่วงนั้นเป็นผักที่ห้ามพลาดลิ้มลองเมื่อมาเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เพราะเป็นฤดูที่ผลผลิตมีคุณภาพและมีรสชาติดีงามที่สุด โดยเมนูมะเขือม่วงดั้งเดิมแบบที่ชาวญี่ปุ่นนิยมรับประทานกันนั้น ก็มีอาทิ Nasu Miso itame (มะเขือม่วงผัดมิโสะ) แล้วอีกเมนู ก็คือ Nasu Dengaku นี่แหล่ะค่ะ สามารถนำมะเขือม่วงทั้งแบบกลม หรือแบบยาวรีมาปรุงก็ได้ รสชาติที่ออกมาแทบไม่ต่างกันมาก ซึ่งหากทำออกมาดีๆ เนื้อมะเขือม่วงจะหวานฉ่ำมากเลยค่ะ มีความหวานแบบผลไม้มากกว่าจะเป็นผักซะอีก (ซึ่งรสชาติช่างต่างกับตอนที่มันยังดิบๆ มากเลยทีเดียว 555)
เมนู Nasu Dengaku นี้ถือว่าเป็นเมนูที่ทำง่าย รสชาติกลมกล่อมเพราะ “มิโสะ” เป็นตัวช่วยที่ดีมาก ทั้งดึงความหวานและตัดความขมของมะเขือม่วง ให้เนื้อสัมผัสแบบครีมมี่ และช่วยให้กลิ่นมะเขือย่างยิ่งหอมกรุ่น เป็นเมนูที่ให้แคลอรี่ต่ำ แถมตัวมะเขือม่วงเองก็ดีต่อสุขภาพ เพราะให้ทั้งโปรตีน มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันสารก่อมะเร็ง และช่วยชะลอวัย อีกต่างหาก
มาดูวิธีทำที่เรียกว่าง่ายสุดๆ ที่คนรุ่นใหม่ทุกคนสามารถทดลองทำกันดูได้ และใช้เวลาไม่นานเลยค่ะ
ส่วนผสม
มิโสะ (แดงหรือขาว แล้วแต่ชอบ) 2 ช้อนโต๊ะ
มิริน 2 ช้อนโต๊ะ
สาเก 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ
มะเขือม่วง 1 ลูกใหญ่
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
———-
สาเก ¼ ถ้วยตวง
น้ำ ¼ ถ้วยตวง
ต้นหอมซอย เล็กน้อย
ขิงฝน เล็กน้อย
ขั้นตอนการปรุง
1) ทำซอส dengaku ก่อนค่ะ ผสมมิโสะ มิริน สาเก และน้ำตาลเข้าด้วยกัน แล้วค่อยๆ ตั้งไฟกลาง แล้วคนให้มิโสะแตก ทำให้ซอสข้นและงวดเข้ากันดี
2) นำมะเขือม่วงมาผ่าครึ่ง หรือฝานตามขนาดที่ตัวเองชอบ แล้วบากให้เป็นลายสักเล็กน้อย หรือจะทำเป็นลายตารางก็ได้ ไม่ใช่แค่เพื่อความสวยงาม แต่จะทำให้สุกง่ายขึ้น ซอสมิโสะก็จะซึมเข้าเนื้อมะเขือได้ดีขึ้น ที่สำคัญคือจะทำให้เวลากินสะดวกในการตักมากขึ้นนั่นเอง
3) จากนั้นนำมะเขือมาย่างบนกระทะ ย่างบนเตาตรงๆ หรือจะทอดแบบ deep fried เลย อันนี้ก็แล้วแต่จะสะดวก แต่สองแบบแรก จะมีความบันเทิงมากกว่าตรงที่ว่า เราจะสามารถ…ค่อยๆ ปาดซอสมิโสะที่เราปรุงไว้ระหว่างที่ย่างได้ แล้วจะทำให้ซอสเข้าเนื้อนั้นเอง แต่ถ้าใช้วิธี deep fried เพื่อนๆ คงต้องรอราดตอนมะเขือสุกแล้วเท่านั้นแหล่ะ อย่างไรก็ตามหากเพื่อนๆ ไม่กลัวอ้วน วิธีนี้จะทำให้ได้เนื้อมะเขือรสชาติหวานมันมากทีเดียว (กระบวนการนี้ ต้องตั้งใจนิดนึงนะ ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ พลิก ค่อยๆ พิสูจน์ว่าสุกหรือยัง บอกเลยว่า ถ้าทำไม่สุกคุณจะเกลียดเมนูนี้ไปเลย แต่ถ้าทำดีๆ นี่อาจกลายเป็นเมนูสุดที่รักของคุณทีเดียว เพราะเนื้อมะเขือม่วงสุกๆ เนื้อครีมๆ รสชาติหวานๆ นี่แหล่ะ ไฮไลท์ของเมนูนี้เลย)
ถ้าใช้วิธีย่างบนกระทะ พอมะเขือเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแล้ว ก็สามารถเติมน้ำมันเล็กน้อย ย่างต่อจนเกือบสุก แล้วเติมสาเก ¼ ถ้วย ปิดฝาไว้สักพักจนหมดกลิ่นสาเก แล้วพลิกมะเขือกลับ จากนั้นเติมน้ำ ¼ ถ้วย ปิดฝาแล้วรอให้สุกทั่ว (ลองใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มดูก็ได้ ถ้ายังแข็งอยู่ ก็อาจจะเติมน้ำอีกนิด แล้วรอให้สุกทั่วกันจริงๆ)
4) พอสุกก็นำจัดใส่จาน ค่อยๆ ป้ายซอสมิโสะ หรือ dengaku sauce ของเรา โรยด้วยหอมซอยและขิงฝนเล็กน้อย พร้อมรับประทานค่ะ
ลองไปทำรับประทานกันดูนะคะ ชอบไม่ชอบอย่างไรก็มาอัพเดตกันได้ แต่ขออนุญาตแนะนำให้ลองทำหลายๆ ครั้งค่ะ ถ้าครั้งแรกไม่ชอบ ก็อาจจะลองปรุงมะเขือด้วยวิธีอื่น หรือปล่อยให้สุกมากกว่าเดิม หรือไม่ก็เปลี่ยนชนิดของมิโสะไปเลย รับรองว่า…รสชาติจะเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนทุกครั้งที่ปรับสูตรเลยล่ะค่ะ (^^)/
ขอขอบคุณรูปภาพและข้อมูล :
http://dwl.gov-online.go.jp/video/cao/dl/public_html/gov/pdf/hlj/20141101/20141101all.pdf
http://www.japan-guide.com/e/e2346.html
http://www.sapporobeer.jp/recipe/0000000892/index.html