ในส่วนของนักมวยปล้ำญี่ปุ่นเองที่ได้ไปปล้ำในต่างประเทศตอนนี้ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จแบบที่เราไม่เคยเห็นการเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ที่เราได้เห็นนักมวยปล้ำญี่ปุ่นได้รับการยอมรับในระดับโลกแบบนี้
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อประชุมงานเกี่ยวกับวงการมวยปล้ำครับ ซึ่งต้องบอกเลยว่าในช่วงปีสองปีที่ผ่านมานี้ วงการมวยปล้ำในระดับโลกมีการตื่นตัวเป็นอย่างมาก และสาเหตุสำคัญมาจากการเติบโตของอินเตอร์เน็ท การเติบโตของโซเชียล เน็ทเวิร์ค ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่าโลกทั้งใบใกล้กันเพียงนิดเดียว
วงการมวยปล้ำเล็ก ๆ ในส่วนที่ห่างไกลจากการรู้จักของแฟนกีฬา เช่น ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือในออสเตรเลีย ก็เริ่มได้รับการสนใจมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้สมาคมมวยปล้ำหลายแห่งเริ่มคิดถึงการร่วมงานกับสมาคมในส่วนต่าง ๆ ของโลก ต้องการแลกเปลี่ยนนักมวยปล้ำ เพื่อแนะนำนักมวยปล้ำใหม่ ๆ ให้กับแฟน ๆ ค่ายตนเอง สิ่งนี้เป็นผลดีทั้งกับตัวสมาคม ตลอดจนนักมวยปล้ำเอง ที่จะได้รับโอกาสในการเป็นนักมวยปล้ำมากยิ่งขึ้น
ในวงการมวยปล่ำญี่ปุ่นก็เช่นกัน ปัจจุบันที่ญี่ปุ่นมีการดึงนักมวยปล้ำจากต่างประเทศมาบ่อยมาก แต่เดิมญี่ปุ่นจะเน้นการนำนักมวยปล้ำจากประเทศที่มีชื่อเสียงเช่นอเมริกา, อังกฤษ เป็นต้น เพราะในยุคที่สื่อยังไม่มากเท่าสมัยนี้ สองประเทศดังกล่าวถือเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องนักมวยปล้ำที่สุด อย่างไรก็ตามเมื่อถึงคราวที่สื่อมีความกว้างขวาง และแฟนมวยปล้ำเองก็เริ่มมีความรู้จักเกี่ยวกับมวยปล้ำมากยิ่งขึ้นแล้ว ทางญี่ปุ่นก็เริ่มเห็นช่องทางในการประหยัดและหาอะไรใหม่ ๆ มีการนำนักมวยปล้ำในละแวกที่ใกล้เคียง (เช่น จีน, ฮ่องกง, ไต้หวัน) ฯลฯ มาใช้เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย และยังมีข้อดีคือวัฒนธรรมของประเทศเหล่านี้ใกล้เคียงกัน จึงสามารถเข้าถึงแฟน ๆ ได้ง่ายกว่า หรือแม้กระทั่งนักมวยปล้ำจากอีกฟากของโลก เช่นโบลิเวีย, คิวบา, ชิลี ก็เริ่มเดินทางข้ามโลกมาที่ญี่ปุ่นมากขึ้น สิ่งนี้คือข้อดีอย่างที่เราไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนครับ
ในส่วนของนักมวยปล้ำญี่ปุ่นเองที่ได้ไปปล้ำในต่างประเทศตอนนี้ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จแบบที่เราไม่เคยเห็นการเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ยกตัวอย่างแชมป์ของสมาคม NXT ซึ่งเป็นค่ายรองของสมาคม WWE สมาคมมวยปล้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็มีแชมป์เส้นหลักทั้งสองเส้นเป็นคนญี่ปุ่น นั่นก็คือ Shinsuke Nakamura ทีเป็นแชมป์เดี่ยวฝ่ายชาย และ Asuka ที่เป็นแชมป์ฝ่ายหญิง ทั้งสองคนสามารถเป็นแชมป์ในเวลาอันรวดเร็ว และ (ในตอนที่ผู้เขียนเขียนบทความนี้) ยังมีสถิติไม่แพ้ใครอีกด้วย ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ที่เราได้เห็นนักมวยปล้ำญี่ปุ่นได้รับการยอมรับในระดับโลกแบบนี้
นักมวยปล้ำญี่ปุ่นไม่ได้ถูกกดขี่อะไรนักหรอกครับ เพียงแต่มันไม่ได้โดดเด่นเหมือนในปัจจุบันนี้ นักมวยปล้ำญี่ปุ่นดัง ๆ ที่เรารู้จักเช่น Tajiri, Kai En Tai (Taka Funaki) ฯลฯ ล้วนประสบความสำเร็จในแง่ของชื่อเสียงและผู้คนยอมรับในฝืมือ แต่ถ้าเรามานั่งคิดว่าจะเห็นนักมวยปล้ำญี่ปุ่นเหล่านี้เป็นแชมป์โลก หรือโดดเด่นจนได้รับเสียงเชียร์อย่างกึกก้องจากแฟน ๆ ในสนาม ก็จะดูเหมือนเป็นสิ่งที่ “เป็นไปไม่ได้” เพราะยังไงความชอบของแฟน ๆ ก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับนักมวยปล้ำอเมริกาได้อยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้เองคือจุดสำคัญที่เราเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
นักมวยปล้ำที่ดูเป็นญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จที่สุดก็คือ Yokozuna นักมวยปล้ำร่างยักษ์อดีตเจ้าของแชมป์ WWF ก็ไม่ได้เป็นคนญี่ปุ่นอย่างที่เราเข้าใจกัน กลับกันเป็นนักมวยปล้ำเชื่อสายซาโมน แบบนั้นมากกว่า เพียงแต่เอาคาแรกเตอร์ของคนญี่ปุ่นไปใช้ ดังนั้นหากจะมองว่าคนที่มีเชื้อสายญี่ปุ่นจริง ๆ ที่ประสบความสำเร็จที่อเมริกา ก็คงต้องนึกถึง Ricky The Dragon Steamboat อดีตแชมป์โลก ที่มีคุณแม่เป็นคนญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามเขาก็เติบโตที่อเมริกาจนดูไม่เหลือความเป็นญี่ปุ่นอะไรในเชิงปฏิบัติเลยแม้แต่น้อย
ถามว่าทำไมเหตุการณ์เหล่านี้จึงเกิดขึ้น? เพียง social network อย่างเดียวคงไม่เพียงพอครับ ผมมองว่าที่ผ่านมาวงการมวยปล้ำได้ถูกผูกขาดโดยมวยปล้ำของอเมริกามาเป็นเวลานานหลายสิบปี ซึ่งสื่อส่วนใหญ่ก็จะนำเสนอไปในทางนี้เช่นเดียวกับช่องโทรทัศน์บ้านเราที่เลือกเอามวยปล้ำอเมริกามาฉาย แต่เอาเข้าจริงแล้วเมื่อเวลาผ่านไป คนก็อยากจะหาอะไรใหม่ ๆ ครับ
ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับแฟนมวยปล้ำหลาย ๆ คน เขามองว่าทุกคนล้วนเติบโตมาจากมวยปล้ำอเมริกานั่นแหละ แต่พอถึงจุดนึงมันก็เบื่อ เบื่อที่จะต้องมาดูคนพูดคุยกันเหมือนละคร เตะต่อยกันเพียงแมตช์ละไม่กีนาที แต่พอได้มาเจอของใหม่ ที่ดูแข่งกันจริงจัง มันก็เริ่มรู้สึกประทับใจ ตลอดจน “ค่านิยม” ที่คนญี่ปุ่นถ่ายทอดมาในมวยปล้ำนั้น ก็ดูศักดิ์สิทธิ์จริงๆ แมตช์การปล้ำก็ใช้เวลานาน และสนุกสนานจริงๆ ตรงนี้เองที่แฟนมวยปล้ำค่อยๆปลูกฝังไปจนเกิด stereotype ขึ้นมาว่า “มวยปล้ำญี่ปุ่นน่าจะเจ๋งกว่าอเมริกานะ” หรือแม้แต่คนที่มองว่า “การบอกว่าตนเองเป็นแฟนมวยปล้ำญี่ปุ่น ดูเท่กว่าการเป็นแฟนมวยปล้ำอเมริกานะ” ก็มีเช่นกัน อย่างไรก็ตามเหนือสิ่งอื่นใดแล้วมันคือ “ความตื่นเต้น” ที่ได้รู้จักกับสิ่งใหม่ ๆ นั่นเอง
ความตื่นตาของ “สิ่งใหม่ ๆ” กลายเป็นความฮิตแบบไฟลามทุ่งเมื่อมันอยู่ในโซเชียล เน็ทเวิร์ค ดังนั้นมวยปล้ำญี่ปุ่นที่แม้จะไม่ได้เป็น “สื่อกระแสหลัก” แต่พวกเขาก็เป็น “ที่รักของแฟนมวยปล้ำในอินเตอร์เน็ท” ทันที ดังนั้น สมาคมมวยปล้ำใหญ่ๆ ก็เริ่มหันมามองมวยปล้ำญี่ปุ่นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มีความเชื่อถือในทางธุรกิจมากขึ้น เพราะพวกเขาพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่ามีแฟนมวยปล้ำในอินเตอร์เน็ทติดตามอยู่ ตรงส่วนนี้ ถ้าพวกเขาเซ็นสัญญานักมวยปล้ำญี่ปุ่น ซึ่งเป็น “ทีรักของของแฟนๆ” แล้ว มันก็จะเป็นสิ่งที่ดีทั้งขึ้นทั้งร่อง เพราะนอกจากจะได้กลุ่มแฟนใหม่ ๆ ได้นักมวยปล้ำที่มีฝีมือแล้ว พวกเขายังจะได้ “เครดิทดีๆ” จากแฟนมวยปล้ำอีกด้วย
ที่สำคัญเมื่อก่อน สิ่งสำคัญในการเป็นนักมวยปล้ำก็คือ “การใช้เวลาแนะนำตัว” กล่าวคือนักมวยปล้ำหน้าใหม่นั้นต้องใช้เวลาในการไต่เต้า ต้องการใช้เวลาในการฝึกพูดคุย ฝึกทักทายแฟนๆ ฯลฯ ทำให้เป็นปัญหาหลักสำหรับคนญี่ปุ่น เพราะคนญี่ปุ่นพูดอังกฤษไม่เก่งเลย สมัยก่อนตอนมันยังไม่มีสื่อ คนอเมริกาเองก็ไม่ได้รู้จักคนญี่ปุ่นครับ คนญี่ปุ่นกลายเป็นของใหม่ พอขึ้นเวทีมาเงอะๆงะๆ มันก็ดูตลกสำหรับเขา เครดิทมันก็สู้พวกอเมริกาไม่ได้ไปโดยปริยาย แต่มาตอนนี้ คนเข้าถึงมวยปล้ำญี่ปุ่นทางออนไลน์อยู่แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัว แค่สมาคมเซ็นสัญญาเข้ามา แฟน ๆ ก็รู้เลยว่าคนเหล่านี้คือใคร เก่งอย่างไร สมาคมก็ใช้งานได้ทันที
วงการมวยปล้ำญี่ปุ่นตอนนี้เข้ามาในอเมริกาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในสมาคมระดับเล็ก ๆ หรือสมาคมระดับโลก อย่างในสมาคม Chikara ค่ายอินดี้ชื่อดัง ก็เพิ่งจัดทัวร์นาเมนต์ King Of Trios ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์มวยปล้ำที่จะปล้ำกันแบบ “ทีมละสามคน” ซึ่งมีผู้ชนะในปี 2016 คือทีม Sendai Girls นักมวยปล้ำหญิงจากเซนได ประเทศญี่ปุ่น ที่หักปากกาเซียนเอาชนะนักมวยปล้ำชายมากมายหลายคน จนคว้าแชมป์ได้อย่างน่าประทับใจ หรือกระทั่งนักมวยปล้ำคนอื่นๆเองทั้งชายแหญิง ก็เริ่มจะเห็นการถูกว่จ้างโดยสมาคมมวยปล้ำญี่ปุ่นมากขึ้น และแม้แต่สมาคมมวยปล้ำเองก็ขยายสาขาไปอเมริกาอย่างมากมาย เช่น New Japan Pro Wrestling (NJPW) ที่เปิดโดโจอยู่ที่อเมริกา หรือกระทั่ง Stardom ค่ายมวยปล้ำหญิง ที่ทำแบบเดียวกัน และเดินทางไปจัดโชว์อย่งต่อเนื่อง
การประชุมในครั้งนี้ที่ผมเข้าร่วม หลัก ๆ ก็คือการวางแผนเรื่องการแลกเปลี่ยนนักมวยปล้ำนั่นล่ะครับ โดยต้องบอกเลยว่า ถึงแม้ผมจะยังบอกไม่ได้ว่าแผนงานเหล่านี้คืออะไร แต่มันก็เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากๆสำหรับวงการมวยปล้ำญี่ปุ่น ตลอดจนในเอเขียตะวันออกเฉ๊ยงใต้ของเราเอง ซึ่งทุกคนจะได้เห็นเป็นรูปร่างมากขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีหน้านี้
การเติบโตของโซเชียล เน็ทเวิร์ค สำหรับผมแล้ว คือสิ่งที่ชุบชีวิตวงการมวยปล้ำขึ้นมาอย่างมาก และทำให้วงการมวยปล้ำหญิงที่ดูเหมือนจะหมดอนาคต กลับมาฟื้นฟู สนุกสนานอีกครั้ง ดังนั้นตอนนี้ถือว่าเป็น “นาทีทอง” ของวงการมวยปล้ำโลกอย่างแท้จริงครับ แฟนมวยปล้ำชาวไทยทุกคน จับตาเฝ้าคอยความสนุกได้เลย
แล้วพบกันสัปดาห์หน้าครับ
เรื่องแนะนำ :
– Masked World League โอลิมปิคของนักมวยปล้ำหน้ากากทั่วโลก
– DDT Ironman Heavymetalweight เข็มขัดแชมป์มวยปล้ำที่แม้แต่ไก่ย่างก็เป็นแชมป์มาแล้ว!?
– เวทีมวยปล้ำเป็นอย่างไร
– STARDOM ค่ายมวยปล้ำหญิงอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น
– “แรงบันดาลใจจากอามะจัง” เมื่อมีความฝันอย่าให้ใครบอกว่าเราไม่คู่ควร