ที่ประเทศญี่ปุ่น แนวความคิดที่จะพัฒนาประเทศให้ก้าวไกลนั้นต้องเริ่มต้นจากโรงเรียน แต่เด็กญี่ปุ่นนั้นมีการเรียนการสอนที่ต่างจากประเทศไทยนิดหน่อย แต่เป็นการพัฒนาเด็กโดยอาจจะไม่ต้องใช้เงิน แต่ใช้การสอนที่แตกต่างกัน หรือเป็นการสอนที่ใช้ไอเดีย ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในประเทศไทยได้….มาไปดูให้รู้กัน
ที่ประเทศญี่ปุ่น แนวความคิดที่จะพัฒนาประเทศให้ก้าวไกลนั้นต้องเริ่มต้นจากโรงเรียน แต่เด็กญี่ปุ่นนั้นมีการเรียนการสอนที่ต่างจากประเทศไทยนิดหน่อย แต่เป็นการพัฒนาเด็กโดยอาจจะไม่ต้องใช้เงิน แต่ใช้การสอนที่แตกต่างกัน หรือเป็นการสอนที่ใช้ไอเดีย ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในประเทศไทยได้….มาไปดูให้รู้กัน
เริ่มจากการมาโรงเรียนของเด็กญี่ปุ่น การมาโรงเรียนจะให้เด็กนักเรียนมาโรงเรียนเองเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเค้าจะฝึกให้เด็กนักเรียนได้ฝึกฝนความกล้าหาญต่างๆ ได้ โดยจะมีจุดนัดพบให้เด็กนักเรียนเดินทางไปโรงเรียนด้วยกัน เพื่อจะได้ช่วยกันป้องกันอันตราย และระหว่างทางเวลาข้ามถนนก็จะมี Silver San (คนชราที่เค้าเกษียณแล้ว) มาช่วยเป็น Volunteer หรืออาสาสมัคร โบกธงให้รถหยุด เพื่อเด็กจะได้ข้ามถนนได้ และจะได้ให้ Silver San ซึ่งก็คือคนชราได้มีส่วนร่วมในสังคมและ Silver San ก็จะมีความภูมิใจในการช่วยเหลือเด็กด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ระหว่างเด็กและวัยชรา
เด็กต้องใส่หมวกสีเหลือง เด็กที่อยู่ประถม 1 จะให้ใส่หมวกสีเหลือง เพื่อที่จะให้เด่นชัดในการเดินทางไปโรงเรียน และจะให้รุ่นพี่หรือคนอื่นๆ ได้เห็นว่าเป็นปีแร ที่จะเดินทางไปโรงเรียนให้ช่วยระวังความปลอดภัยกับเด็กอีกด้วย เป็นการรักษาความปลอดภัยให้กับเด็กเป็นอีกชั้นหนึ่ง เปรียบเสมือนลูกเจี๊ยบจะได้ง่ายในการนับจำนวนเด็ก
ชุดนักเรียน เด็กๆ ที่นี่จะไม่ใส่ชุดนักเรียน ใส่ชุดอะไรมาโรงเรียนก็ได้หมายถึงเด็กประถมนะครับ เพื่อให้คิดสร้างสรรค์ดีไซน์ มีไอเดียในการแต่งตัว เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจำวันให้มีไอเดียในการคิดเรื่องแฟชั่น จะได้นำไปใช้ในอนาคต ส่วนเมื่อขึ้นมัธยมต้นแล้ว ก็จะมียูนิฟอร์มให้เด็กใส่ ทุกคนจะได้รู้ถึงลักษณะของนิสัยของเด็กแต่ละคนโดยดูจากการแต่งกาย ชุดนักเรียนประถมก็มี แต่ว่าต้องเป็นโรงเรียนของเอกชน ส่วนโรงเรียนรัฐบาลจะใส่ชุดตามสบายเป็นส่วนใหญ่
การเปลี่ยนรองเท้า ก่อนขึ้นห้องเรียนจะมีการเปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าของโรงเรียนที่โรงเรียนจัดให้ มีจุดประสงค์ 2 อย่างก็คือ
1) เพื่อที่จะให้ไม่ให้แยกแยะว่าใครรวยใครจน เพราะทุกคนใส่รองเท้าของโรงเรียนก็ไม่สามารถมองออกได้ว่าคนไหนใส่รองเท้าดีหรือไม่ดีครับ
2) รักษาความสะอาด ไม่เอารองเท้าที่ตัวเองใส่จากข้างนอกมาใส่ในโรงเรียน จะใช้รองเท้าของโรงเรียนเท่านั้นครับ
เรื่องเงินของเด็กประถมที่ญี่ปุ่น จะไม่ให้นำเงินมาโรงเรียนเพราะโรงเรียนจะไม่มีอะไรขาย ไม่มีน้ำขาย จะมีอาหารของโรงเรียนที่จัดให้ต่อ 1 วันเท่านั้น ช่วงเช้าจนถึง 3 โมงจะไม่มีอะไรขาย มีแต่อาหารโรงเรียนเท่านั้น ใครนำเงินมาก็จะถูกริบและเรียกผู้ปกครองมาเตือนห้ามเอาเงินมาโรงเรียน
ผ้าเช็ดหน้า เด็กที่ญี่ปุ่นตั้งแต่ ป.1-ป.6 จะบังคับให้เอาผ้าเช็ดหน้ามา จะเช็คทุกเช้าว่าเอาผ้าเช็ดหน้ามาโรงเรียนหรือไม่ นี่คือการรักษาให้เด็กมีวินัย ฝึกไม่ให้ลืมของและฝึกให้มีความสะอาด มีจุดมุ่งหมาย 3 อย่างอยู่ในการให้พกผ้าเช็ดหน้ามาเป็นกิจวัตรประจำวัน ใครไม่เอามาจะถูกหักคะแนน นี่เป็นกฏของโรงเรียนญี่ปุ่น
การเช็คชื่อเด็ก เด็กทุกคนจะทำหน้าที่เปลี่ยนเวรกันทำหน้าที่เช็คชื่อ โดยอาจารย์จะไม่เข้ามายุ่ง เด็กก็จะเช็คว่าใครสบาย ใครไม่สบาย ถามทุกข์สุขกันเองและบันทึกลงในสมุดตาราง เพื่อจะนำไปยื่นให้กับห้องพยาบาล และในขณะเดียวกันก็จะเช็คการพกผ้าเช็ดหน้าด้วย
แผ่นป้าย คุณครูทุกคนจะให้นักเรียนเขียนจุดมุ่งหมายลงในป้าย และมาปิดหลังห้อง เด็กแต่ละคนจะเขียนจุดมุ่งหมาย ใน 1 เดือนก็จะมีการเขียนจุดมุ่งหมายเปลี่ยนแปลงไป เช่น ผมจะไม่มาสายอีก บางคนบอกว่าผมจะพยายามยกมือพูดให้มากขึ้น หรือบางคนพูดว่าผมจะพยายามตอบให้มากขึ้น
เป้าหมายของเด็กนักเรียนแต่ละคนและเป้าหมายของห้อง ก็จะให้นักเรียนทุกคนมีการประชุมกันว่าเป้าหมายของห้องของปีนี้ หรือของครึ่งปีนี้จะทำอะไรกัน จะร่วมมือทำอะไรกัน ทุกคนจะได้มีความคิดร่วมกัน สามัคคีกันในการคิดและทำให้บรรลุเป้าหมา ถึงแม้จะทำให้บรรลุเป้าหมายได้ไม่จริงก็ตาม แต่ก็จะทำให้ทุกคนมีความสามัคคีมากขึ้นด้วย
ฝึกให้เด็กรู้จักวิเคราะห์ เช่น อาจารย์จะให้เด็กกลับไปดูดวงจันทร์ที่บ้านและให้มาเขียนที่โรงเรียนว่าดวงจันทร์ที่ตัวเองเห็นเป็นอย่างไร ก็จะเห็นว่าเด็กแต่ละคนจะเห็นดวงจันทร์ไม่เหมือนกัน เนื่องจากดูในเวลาที่ต่างกัน แต่อาจารย์จะไม่บอกว่าทำไมดวงจันทร์ไม่เหมือนกัน จะให้เด็กวิเคราะห์กันเองว่าทำไมดูแล้วไม่เหมือนกัน และค่อยเฉลยทีหลัง
ความคิดของครูใหญ่ ผมได้สัมภาษณ์ครูใหญ่ของโรงเรียนไดนิมัสซึเอะโซกาโกะ ครูใหญ่บอกว่า จะพยายามที่จะให้เด็กได้ใช้ความคิดเอง จะไม่ให้เด็กจำหรือฟังตามคำสั่งสอนของคุณครูอย่างเดียว จะฝึกให้เด็กพยายามได้ใช้ความคิดของตัวเองในการตัดสิน และความคิดนี้จะเป็นยังไงก็ดูในรายการต่อไปได้ครับ
นักโภชนาการ ที่ญี่ปุ่นมีนักโภชนาการอยู่ประจำโรงเรียนอยู่แล้วครับ แล้วได้สัมภาษณ์นักโภชนาการ เธอบอกว่าเด็กนักเรียนประถม 6 ปีนี้ จะพยายามให้เด็กนักเรียนรู้จักรสชาติ แยกแยะรสชาติให้เป็น นอกจากอาหารที่เป็นประโยชน์แล้วก็จะคิดค้นรสชาติต่างๆ ที่ทำให้เด็กได้รู้สึกได้รับประโยชน์และรู้สึกถึงการแยกแยะรสชาติอาหาร และพยายามที่จะฝึกให้เด็กได้กินอาหารที่ตัวเองเกลียด จนกลายเป็นอาหารที่ตัวเองกินได้หรือชอบไปจนได้ เพราะถ้าไม่มีการฝึกอย่างนี้ ปล่อยให้นักเรียนซื้ออาหารเองตามอำเภอใจ เด็กก็จะกินแต่เนื้อหรือไม่กินผักและอาจจะไม่ดีต่ออนาคตของเด็ก ร่างกายไม่แข็งแรง อายุไม่ยืน ทำให้ประเทศเสียเงินในการรักษาพยาบาลในอนาคต ดังนั้นควรจะมีการดูแลเด็กเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินตั้งแต่เด็ก ส่วนรายละเอียดต่างๆ ให้ติดตามในรายการดูให้รู้ ตอน โรงเรียนนะครับ
อาหารเที่ยง ที่นี่นักเรียนจะกินอาหารของโรงเรียน ซึ่งนักโภชนาการจะเป็นคนเลือกอาหารให้วันละครั้ง จะไม่มีภารโรงนะครับ เด็กจะต้องมีการทำเวรแบ่งอาหาร ตักอาหาร และฝึกให้เข้าคิวกันโดยคุณครูก็จะช่วยดูอยู่ แต่ก่อนที่จะตักอาหาร ก็จะให้มีการเปลี่ยนชุดและล้างมือเป็นกิจจะลักษณะไปเลยนะครับ ให้ทานอาหารด้วยกัน ก่อนกินอาหารก็มีการพนมมือและมีพิธีการต่างๆ ก่อนลงมือทาน เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วคุณครูก็จะมาดูวิธีการแยกอาหาร วิธีการแบ่งอาหาร แม้แต่กล่องนมที่กินหมดแล้ว ก็จะสอนวิธีการพับ วิธีการเก็บขยะอย่างเรียบร้อย
การทำความสะอาด ในโรงเรียนประถมญี่ปุ่นจะไม่มีภารโรงนะครับ คุณครูจะให้เด็กทุกคนทำความสะอาด และเด็กทุกคนก็จะขยันขันแข็งมาก ไม่เคยเห็นมาก่อน ปัดกวาด ถูอย่างจริงจังตลอดเวลา เค้ามีวิธีการสอนกันยังไงคงต้องตามดูในรายการ
วิชาพละ เด็กทุกคนจะต้องเตรียมอุปกรณ์เอง และเก็บเองอย่างแข็งขัน วิชาพละ อย่างเช่นวิธีการเตะบอล ก่อนจะมีการเตะบอลก็จะมีการวางแผนให้เด็กตั้งทีม ใครจะเป็นฝ่ายรุก ใครจะเป็นฝ่ายรับ และถ้าถูกรุกเราจะแก้ยังไง ก็จะมีกระดาษให้ทุกคนมานั่งประชุมกันก่อนที่จะเล่นจริง
ประชุมกันก่อนกลับบ้าน เด็กๆ ทุกคนก่อนกลับบ้านก็จะมีการประชุมกันก่อนว่าวันนี้ได้อะไรดีๆ บ้าง จะไม่มีการให้เด็กแซวกันอย่างเด็ดขาด ถ้ามีการแซวกันก็จะทำให้เด็กไม่กล้า เพราะฉะนั้น ถ้าเด็กคนไหนแซวคุณครูจะโกรธมาก ส่วนใหญ่จะให้เด็กพูดถึงเรื่องดีๆ อย่างเช่น คุณครูจะถามว่าวันนี้มีอะไรดีๆ บ้าง เด็กก็จะแย่งกันยกมือบอก อย่างเช่น วันนี้คุณทานากะหยิบบอลให้ ผมรู้สึกประทับใจมาก ทุกคนก็จะตบมือเพื่อเป็นการชื่นชม จะไม่มีการแกล้งหรือด่าเลย ข้อดีของประเทศญี่ปุ่นก็คือว่าจะเก่งในการชม ข้อดีของประเทศไทยก็คือว่าเก่งต่อการคุยมุข คุยตลกได้
เรื่องทั้งหมดนี้ผมไปถ่ายทำมานะครับ ผมฟูจิ ฟูจิซากิ ไปถ่ายทำมา ถ้าสนใจยังไง ต้องการรู้ให้ลึกกว่านี้ก็ไปดูได้ในรายการดูให้รู้ ตอนโรงเรียนนะครับ และปัจจุบันก็ยังมีรายการอยู่นะครับ ช่วยดูได้นะครับ
ทักทายพูดคุยกับ Fuji Fujisaki ได้ที่ >>> Facebook รายการดูให้รู้