วงการหนังสือญี่ปุ่นเป็นอย่างไร…รูปแบบของการอ่านหนังสือในญี่ปุ่นเริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนไปตามกาลเวลา โดยเฉพาะหากเทียบกับในช่วงยุค 90 หรือประมาณ 20 ปีก่อน จะพบว่าจำนวนผู้อ่านหนังสือได้ลดลงไปกว่า 20% เลยทีเดียว
ประเทศญี่ปุ่นนั้นถือเป็นประเทศที่มีอัตราการผลิตหนังสือสูงมาก และมีความหลากหลายในการอ่านสูง และอ่านกันได้ทุกเพศทุกวัย ยกตัวอย่างหนังสือการ์ตูน ที่มีอัตราการตีพิมพ์คิดเป็น 25% ของหนังสือทั้งหมด (ทุก ๆ หนังสือ 4 เล่ม จะต้องมีการ์ตูน 1 เล่ม ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดในโลก)
อย่างไรก็ตามรูปแบบของการอ่านหนังสือในญี่ปุ่นเริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนไปตามกาลเวลา โดยเฉพาะหากเทียบกับในช่วงยุค 90 หรือประมาณ 20 ปีก่อน จะพบว่าจำนวนผู้อ่านหนังสือได้ลดลงไปกว่า 20% เลยทีเดียว ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากการเติบโตของสื่อแขนงอื่น ๆ เช่นโทรศัพท์มือถือ หรือสื่อออนไลน์ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย จนคนเริ่มไม่เห็นความสำคัญของการอ่านหนังสือ แม้แต่การหาความรู้ ก็มองว่าการอ่านหนังสือไม่ได้ให้ข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงหรือฉับไวเหมือนการหาจากอินเตอร์เน็ท เป็นต้น
อัตราการอ่านของคนญี่ปุ่นนั้น จะเน้นไปที่ส่วนของนิตยสารเป็นหลัก โดยมียอดขายมากกว่าหนังสือชนิดอื่นๆอยู่ประมาณ 10% อย่างไรก็ตาม อย่างที่กล่าวไปว่าคนอ่านหนังสือน้อยลง ทำให้ค่าเฉลี่ย “การขาดทุน” ของวงการหนังสือในญี่ปุ่น อยู่ที่ประมาณ 500 ล้านเยนต่อไป ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มหาศาลมาก แต่ปัจจุบันก็มีสิ่งที่มาช่วยกระตุ้นยอดขายคือธุรกิจ E-BOOK ซึ่งถือเป็นสิ่งที่คนญี่ปุ่นเคยปฏิเสธเป็นอย่างมากในอดีต แต่ปัจจุบันสิ่งนี้คือสิ่งที่ช่วยฟื้นฟูวงการหนังสือญี่ปุ่นให้ขาดทุนน้อยลง หรือกระทั่งไม่ขาดทุนเลย (แต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะทำให้เกิด “กำไร” ในกลไกตลาด)
ทำไม E-BOOK ถึงประสบความสำเร็จขึ้น? ผมมองว่าคำตอบสำคัญมีอยู่สองอย่างคือ
1. มันสามารถเข้าถึงได้ง่าย และผู้คนมีโอกาสในการเข้าถึงสมาร์ทโฟนมากกว่าในอดีต ทำให้พวกเขารู้สึกว่าการอ่านไฟล์ดิจิตอล ไม่ใช่สิ่งที่ยากลำบากหรือต้องไปแสวงหาเครื่องมืออะไรมากไปกว่าสิ่งที่เขาใช้งานอยู่แล้วในปัจจุบัน ที่สำคัญมันสามารถซื้อได้ง่าย ยิ่งในช่วงที่ร้านหนังสือท้องถิ่นเริ่มลดน้อยลง การซื้อและอ่านออนไลน์จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
2. ประเด็นเรื่องของความเป็นส่วนตัว ซึ่งเราทราบดีกันอยู่แล้วว่าคนญี่ปุ่นไม่ชอบให้คนรอบข้างรู้ว่าตนเองอ่านอะไร ร้านหนังสือก็มักจะห่อปกหนังสือเอาไว้ เป็นต้น ทีนี้มันก็มีหนังสือบางประเภทที่ไม่อยากให้คนเห็นว่าเราอ่าน แม้จะห่อไว้ บางทีมันก็เดาออกอยู่ดี หนังสือที่ยอดขายดิจิตอลดีขึ้น ก็เป็นพวกหนังสือกลุ่มโรแมนซ์ หรือหนังสืออะไรที่อาจทำให้ภาพลักษณ์ของผู้อ่านดูไม่ดีเท่าไรนัก การอ่านจากไฟล์ดิจิตอลก็คือคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ไขปัญหานี้
แน่นอนว่าวงการหนังสือก็ต้องปรับตัวไปตามยุคสมัย ไม่งั้นก็จะอยู่รอดได้ลำบาก เช่นเดียวกับวงการอื่น ๆ ครับ ใครที่นิ่งอยู่กับที่ ก็มีโอกาสที่จะล้มหายตายจากไปเสมอ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้วงการญี่ปุ่นมีแรงขับเคลื่อนอยู่เสมอ ก็คือความ “เสมอภาค” ระหว่างสำนักพิมพ์เล็กและสำนักพิมพ์ใหญ่ กล่าวคือไม่ว่าคุณจะเป็นสำนักพิมพ์ใหญ่หรือสำนักพิมพ์เล็ก จะผลิตหนังสือทั่วไป หรือนิตยสารทั้งหมดทั้งสิ้นต้องจัดจำหน่ายผ่านสายส่ง (distributor) เดียวกัน ดังนั้นถ้าหนังสือของสำนักพิมพ์เล็กดีจริง (ทั้งในแง่คุณภาพเนื้อหาและการจัดพิมพ์) พวกเขาก็มีโอกาสที่จะได้ตั้งอยู่บนชั้นสวยๆของร้านหนังสือดัง ๆ เช่นเดียวกัน
โดยจากการสำรวจแล้วพบว่าหนังสือกว่า 70% ที่ตีพิมพ์ทั้งหมดได้ถูกส่งไปทั่วประเทศ (บางส่วนที่ไม่ได้ส่งไปอาจเป็นพวกหนังสือที่ผลิตเอง ทำเอง ส่งเองนอกระบบ เป็นต้น ซึ่งก็มีจำนวนมากขึ้น และก็ประสบความสำเร็จในท้องถิ่นนั้นๆ) โดยอาจใช้วิธีการสั่งซื้อออนไลน์และนำตัวเล่มไปส่งให้ที่บ้านหรือทางไปรษณีย์เอง เป็นต้น
ส่วนหนังสือที่ผ่านทางระบบสายส่งทั่วไป ก็จะวางขายตั้งแต่ในสถานีรถไฟ ร้านสะดวกซื้อ ไปจนถึงการร่วมมือกับมหาวิทยาลัย หรือโรงเรียน ในการสั่งซื้อหนังสือเข้าไปใช้ประกอบการสอน หรือนำไปไว้ในห้องสมุด ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นยอดขาย หรือทำให้หนังสือแนวเฉพาะทางมีโอกาสขายออกและมีโอกาสในการถูกตีพิมพ์ออกมามากขึ้น
วิธีการที่กระตุ้นให้เกิดการกระจายหนังสือออกไปทั่วทั้งประเทศของญี่ปุ่น ยังมีกฏสำคัญอย่างหนึ่ง เรียกว่า Consignment System แปลตรง ๆตั วก็คือการฝากขาย แต่ทีนี้ในทางสิ่งพิมพ์เขาหมายถึงว่าผู้ที่นำหนังสือไปวางขายนั้น มีสิทธิ์ในการนำสินค้าออกมาจัดจำหน่ายได้ และก็สามารถคืนหนังสือที่ขายไม่ออกกลับมาที่สำนักพิมพ์ได้ในระยะเวลาที่กำหนด (เช่นประมาณ 6 เดือนหรือ 1 ปี)
ดังนั้นร้านหนังสือน้อยใหญ่ก็สามารถเลือกหนังสือที่ตนคิดว่าเหมาะกับตลาดของตนเอง หรืออยากเอามานำเสนอให้คนในท้องที่ของตัวเองลองอ่านดู โดยไม่ต้องกังวลว่าถ้าเอามาแล้วขายไม่ออกจะกลายเป็นภาระของตนเอง
สิ่งนี้ในมุมกลับกัน ทางสำนักพิมพ์เองก็เช่นกัน ที่จะมีโอกาสได้นำเสนอสิ่งใหม่ ๆ ที่สำนักพิมพ์อาจจะลองทำเป็นครั้งแรก ให้ออกมาสู่ตลาด และคนทั่วไปมีโอกาสในการซื้อมาอ่าน โดยไม่ต้องมีใครลำบากใจทั้งทางคนนำมาขายและผู้ผลิตเอง เหตุนี้ทำให้วงการหนังสือของญี่ปุ่นคึกคักอยู่เสมอ มีคนพยายามสรรหาอะไรใหม่ ๆ มาใส่ตลาดตลอดเวลา แม้วงการจะซบเซาลงบ้าง แต่ก็มักจะมีอะไรใหม่ๆมากระตุ้นให้วงการหนังสือน่าสนใจแทบจะทุกเมื่อเชื่อวัน
ในส่วนของ “ร้านหนังสือ” ที่เราเคยพูดหลายครั้งว่ามีจำนวนลดลงอย่างน่าใจหายนั้น จากผลสำรวจของสมาคมสิ่งพิมพ์ประเทศญี่ปุ่น ได้ระบุตัวเลขออกมาว่าในช่วงปี 1985 มีร้านหนังสือเฉลี่ยอยู่ถึงกว่า 13,000 ร้าน แต่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 6 พันกว่า ๆ เท่านั้นเอง หรือเรียกได้ว่าหายไปกว่า 50% ด้วยซ้ำ และที่สำคัญคือ ร้านหนังสือที่มีส่วนแบ่งในตลาดสูงอันดับต้น ๆ ของประเทศญี่ปุ่นในตอนนี้ คือร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่น อีเลฟเว่น ที่มียอดขายมากกว่าอันดับ 2 อย่าง Kinokuniya หลายหมื่นล้านเยน สาเหตุสำคัญก็เพราะว่าคนหันไปอ่านนิตยสารรายเดือนและรายสัปดาห์มากขึ้น และนิตยสารเหล่านี้ก็ล้วนวางขายในเซเว่น ซึ่งที่ญี่ปุ่นมีอยู่ถึง 18,785 ร้าน (ตัวเลขล่าสุดในปี 2016)
สำหรับหนังสือแปลจากต่างประเทศนั้น คิดเป็นประมาณ 9% จากหนังสือที่ตีพิมพ์ทั้งหมดในแต่ละปีเท่านั้น โดยรูปแบบหนังสือแปลที่ได้รับความนิยมที่สุดในญี่ปุ่นคือหนังสือประเภทนิยาย หรือวรรณกรรมต่าง ๆ และพวกงานศิลปะ ตลอดจนหนังสือแนวปรัชญา
อย่างไรก็ตามหนังสือต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จที่สุดในญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน และได้ขึ้นอันดับ 1 ในรอบกว่า 10 ปีก็คือหนังสือจากสแกดิเนเวีย ที่ชื่อว่า The Rabbit Who Wants to Fall Asleep: A New Way of Getting Children to Sleep โดย Carl-Johan Forssén Ehrlin และ Irina Maununen ที่เป็นหนังสือสอนเกี่ยวกับวิธีการนอนหลับของเด็ก (คือคนเขียนบอกว่าถ้าอ่านหนังสือเล่มนี้ และปฏิบัติตาม จะทำให้เด็ก ๆ หลับง่ายอย่างไม่รู้ตัว) ก็กลายเป็นเทรนด์ใหม่ในประเทศญี่ปุ่นและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามหนังสือของญี่ปุ่นนั้น ด้วยบริบทข้างต้นทำให้เกิดความหลากหลายในไอเดียของเนื้อเรื่อง เป็นความแตกต่างที่ประเทศอื่น ๆ ลอกเลียนแบบได้ยาก ดังนั้นในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ ถือเป็นปีทองในการขายหนังสือญี่ปุ่นออกไปในต่างประเทศอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งในเอเชีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรื่อยไปจนถึงฝั่งยุโรป หรืออเมริกาเลยด้วยซ้ำ
วงการหนังสือญี่ปุ่นเป็นวงการที่ปรับตัวอยู่เสมอ และเราเชื่อว่าหนังสือจากญี่ปุ่นก็จะมีการเปลี่ยนแปลง พัฒนาไปให้เข้ากับยุคสมัย และไม่มีทางที่วงการหนังสือญี่ปุ่นจะล้มลงจนพ่ายแพ้ให้กับสื่อแขนงอื่น ๆ อย่างแน่นอน
อ่านหนังสือกันเยอะ ๆ ความสุขจากการอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่มีค่ากับชีวิตจริง ๆ ครับ
เรื่องแนะนำ :
– อาชีพนักมวยปล้ำที่ญี่ปุ่นสามารถเลี้ยงตนเองได้หรือไม่?
– Ichigaya Memorial Clinic สังเวียนมวยปล้ำที่เล็กที่สุดในโลก
– “กรรมการมวยปล้ำ” ผู้ปิดทองหลังพระที่แท้จริง
– ความน่ารักของอามาโนะ อากิ และสิ่งที่เรียนรู้ได้จากอามะจัง
– (18+) มวยปล้ำแบบ Ultra Violence เมื่อการหลั่งเลือดคือความสุขของเรา