สวัสดีค่ะ…มาพบกันอีกครั้งกับสถานที่ 3 แห่งสุดท้ายของมรดกโลกแห่งนางาซากิและอามาคุสะ ในกลุ่มโบสถ์และสถานที่เกี่ยวข้องกับคริสตังลับ 12 แห่ง
สวัสดีค่ะ…มาพบกันอีกครั้งกับสถานที่ 3 แห่งสุดท้ายในกลุ่มโบสถ์และสถานที่เกี่ยวข้องกับคริสตังลับ 12 แห่งซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 2018 นะคะ สามารถย้อนอ่านสถานที่อื่น ๆ ได้ตามลิงค์นะคะ
– แลมรดกโลก : มรดกคริสตังลับแห่งนางาซากิและอามาคุสะ ตอนที่ 4
– แลมรดกโลก : มรดกคริสตังลับแห่งนางาซากิและอามาคุสะ ตอนที่ 3
– แลมรดกโลก : มรดกคริสตังลับแห่งนางาซากิและอามาคุสะ ตอนที่ 2
– แลมรดกโลก : มรดกคริสตังลับแห่งนางาซากิและอามาคุสะ ตอนที่ 1
สถานที่ที่จะแนะนำให้รู้จักในตอนนี้ได้แก่ ชุมชนบนเกาะฮิซากะ, ชุมชนบนเกาะนารุ และอาสนวิหารโออุระแห่งนางาซากิ ซึ่งสถานที่แห่งสุดท้ายเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดค่ะ
10. ชุมชนบนเกาะฮิซากะ (Villages on Hisaka Island)
โบสถ์โกะริงเก่าใกล้ท่าเรือ
(ภาพโดยป้าหมวยยย)
เกาะฮิซากะ (久賀島 Hisaka-jima) เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะโกโต้ ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาะฟุคุเอะ (福江島 Fukue-jima) มีลักษณะคล้ายเกือกม้า มีพื้นที่ประมาณ 38 ตารางกิโลเมตร ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา มีจำนวนประชากรไม่ถึง 400 คน
ในราวคริสตวรรษที่ 16 ขณะที่หมู่เกาะโกโต้รวมทั้งเกาะฮิซากะอยู่ในความดูแลของตระกูลอุคุ (宇久氏 Uku-shi) คุณพ่อหลุยส์ เดอ อัลเมดา (Luís de Almeida) ได้รับอนุญาตจากอุคุ สุมิทากะ (宇久 純尭 Uku Sumitaka) ให้ประกาศข่าวดีที่เกาะฟุคุเอะในปี 1566 จึงทำให้คริสตังบนเกาะมากมาย
แม้ไม่มีหลักฐานว่ามีกิจการแพร่ธรรมที่เกาะฮิซากะ แต่เนื่องจากปรากฏชื่อคริสตังชาวญี่ปุ่นที่เกาะนารุซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเกาะฮิซากะ จึงมีความเป็นไปได้มากว่า มีการเผยแผ่ศาสนาจากเกาะฟุคุเอะไปยังเกาะนารุผ่านทางเกาะฮิซากะที่อยู่ระหว่างเกาะทั้งสองด้วยเช่นกัน
แต่เมื่อเข้าสู่คริสตวรรษที่ 17 คริสตังที่เคยมีอยู่มากสูญหายไปจากหมู่เกาะโกโต้ ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของเขตฟุคุเอะซึ่งเข้มงวดในการปราบปรามผู้นับถือคริสต์ศาสนา ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านต่าง ๆ บนเกาะฮิซากะขณะนั้นล้วนเป็นชาวพุทธ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เกลือสมุทร และประมง อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักผู้ตรวจการที่หมู่บ้านทาโนะอุระ (田ノ浦 Tanoura) และต่อมาย้ายไปยังหมู่บ้านฮิซากะ
ในปี 1797 ผู้ครองเขตโอมูระ (大村藩 Ōmura-han) และเขตฟุคุเอะ (福江藩 Fukue-han) บรรลุข้อตกลงในการโยกย้ายถิ่นฐานประชาชนจากเขตโอมูระไปยังหมู่เกาะโกโต้รวมทั้งเกาะฮิซากะ ประชาชนที่ย้ายไปจำนวนไม่น้อยเป็นคริสตังลับ เมื่อไปถึงพวกเขาร่วมมือกับชาวบ้านที่อยู่มาก่อนบุกเบิกพื้นที่เกษตรกรรม ในขณะเดียวกันก็รักษาความความเชื่อของตนอย่างลับ ๆ โดยแสดงตนเป็นพุทธมามกะและนับถือพระโพธิสัตว์มาเรีย (マリア観音 Maria Kannon)
ในปี 1865 จากเหตุการณ์แสดงตนของชาวหมู่บ้านอุราคามิต่อคุณพ่อชาวฝรั่งเศส ทำให้ผู้นำคริสตังลับทั่วนางาซากิแม้แต่ในที่ห่างไกลอย่างเกาะฮิซากะพยายามติดต่อคุณพ่อบาทหลวงจนสำเร็จ และได้คำแนะนำในการสอนคำสอนแก่คริสตังลับในชุมชนเพื่อกลับเข้าสู่พระศาสนจักร คริสตังลับทั้งหลายยินดีเป็นอันมากและเริ่มแสดงออกถึงความเชื่อในที่สาธารณะ
แต่ขณะนั้นคำสั่งห้ามนับถือศาสนาคริสต์ยังไม่ถูกปลดลง ในปี 1868 เกิดเหตุการณ์ “โกโต้คุซึเระ (五島崩れ Gotō Kuzure)” ที่รัฐบาลเข้าจับกุมคริสตังลับทั่วทั้งหมู่เกาะโกโต้รวมทั้งบนเกาะฮิซากะ คริสตังลับราว 200 คนถูกจับขังในบ้านหลังเล็ก ๆ พื้นที่เพียง 20 ตารางเมตรเป็นระยะเวลา 8 เดือน มีผู้เสียชีวิต 42 คน ส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้สูงอายุ
เหตุการณ์โกโต้คุซึเระเป็นเหตุการณ์เบียดเบียนศาสนาครั้งสุดท้ายก่อนมีปลดคำสั่งห้ามนับถือศาสนาคริสต์ในปี 1873 หลังจากนั้นมีการสร้างโบสถ์ขึ้นหลายแห่งบนเกาะฮิซากะ เป็นดั่งสัญลักษณ์การสิ้นสุดยุคสมัยการปกปิดตัวตนของคริสตังลับ
ปัจจุบันโบสถ์สำคัญบนเกาะฮิซากะอยู่ 3 แห่ง คือ โบสถ์ฮามาวากิ, โบสถ์โรยะโนะซาโกะ และโบสถ์โกะริงเก่า
โบสถ์ฮามาวากิ (浜脇教会堂 Hamawaki Kyōkaidō) อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือทาโนะอุระ เดิมเป็นโบสถ์หลังแรกที่สร้างบนเกาะฮิซากะในปี 1881 แต่เนื่องจากพื้นที่คับแคบ จึงได้สร้างขึ้นใหม่ในปี 1931 เป็นโบสถ์คอนกรีตเสริมเหล็กหลังแรกของหมู่เกาะโกโต้
โบสถ์ฮามาวากิ
(ภาพโดยป้าหมวยยย)
โบสถ์โรยะโนะซาโกะ (牢屋の窄記念聖堂 Rōya no Sako Kinen Seidō) เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้น ณ ตำแหน่งที่เคยเป็นบ้านขนาด 20 ตารางเมตรแต่คุมขังคริสตังจำนวนถึง 200 คนในเหตุการณ์โกโต้คุซึเระ
โบสถ์โรยะโนะซาโกะ
(ภาพโดยป้าหมวยยย)
ส่วนโบสถ์โกะริงเก่า (旧五輪教会堂 Kyū Gorin Kyōkaidō) จริง ๆ คือโบสถ์ฮามาวากิหลังเดิมที่สร้างขึ้นในปี 1881 และย้ายไปที่หมู่บ้านโกะริงทางตะวันออกของเกาะฮิซากะในปี 1931 ตัวโบสถ์สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ภายในมีเพดานแบบริบวาล์ท (Rib vault) เป็นโบสถ์ไม้ที่สร้างขึ้นในยุคแรก ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน จึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินสำคัญทางวัฒนธรรมแห่งชาติในปี 1999 ปัจจุบันไม่ได้ใช้งานแล้ว แต่จะมีการประกอบพิธีมิสซาที่โบสถ์โกะริงหลังใหม่ที่สร้างขึ้นในปี 1985 ใกล้ ๆ กัน
โบสถ์โกะริงเก่า
(ภาพโดยป้าหมวยยย)
พระแท่นเอกภายในโบสถ์โกะริงเก่า
(ภาพโดยป้าหมวยยย)
การเดินทางไปชมโบสถ์โกะริงเก่าบนเกาะฮิซากะค่อนข้างยากลำบากและมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ผู้เยี่ยมชมใช้บริการเรือ Jet Foil ความเร็วสูงจากนางาซากิประมาณ 1 ชั่วโมงไปยังเกาะฟุคุเอะ และขึ้นเรือจากเกาะฟุคุเอะ 20 นาทีไปยังเกาะฮิซากะ จากนั้นใช้บริการแท็กซี่จากท่าเรือ 40 นาที แล้วเดินเท้าผ่านป่าเล็ก ๆ ทะลุไปตามทางเดินริมฝั่งทะเลอีก 15 นาที
เพราะหมู่บ้านโกะริงเป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างห่างไกลที่สามารถเข้าถึงได้ทางเรือเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม มีทัวร์ครึ่งวันให้บริการจากเกาะฟุคุเอะเฉพาะในวันพฤหัส-วันอาทิตย์ โดยต้องกรอกข้อมูลใบสมัครล่วงหน้า (ภาษาญี่ปุ่น) ที่ Goto City Tourism Association (http://www.goto-kanko.jp)
ผู้เยี่ยมชมโบสถ์โกะริงเก่าด้วยตัวเองจะต้องลงทะเบียนล่วงหน้าที่ https://kyoukaigun.jp สามารถถ่ายภาพภายในโบสถ์ได้แต่ห้ามใช้แฟลช
11. หมู่บ้านเองามิบนเกาะนารุ : โบสถ์เองามิและสถานที่ใกล้เคียง (Egami Village on Naru Island : Egami Church and Its Surroundings)
โบสถ์เองามิล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่
(ดัดแปลงภาพจาก Kyoukaigun.jp)
เกาะนารุ (奈留島 Narushima) เป็นเกาะที่อยู่กึ่งกลางของหมู่เกาะโกโต้ โดยตั้งอยู่ระหว่างจากเกาะฮิซากะและเกาะวาคามัตสึ (若松島 Wakamatsu-shima) เป็นเกาะมีพื้นที่เพียง 23 ตารางกิโลเมตร
ประวัติของการนับถือคริสต์ศาสนาของคนบนเกาะนารุไม่ต่างกับเกาะฟุคุเอะและเกาะฮิซากะ ที่บาทหลวงชาวตะวันตกเริ่มเข้ามาแพร่ธรรมในราวปี 1566 และถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้นหลังจากมีการประกาศคำสั่งห้ามนับถือศาสนาคริสต์มีผลทั่วประเทศในปี 1614
หลังจากนั้นในราวปลายศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 คริสตังลับจากโซโตเมะได้เริ่มย้ายเข้ามาที่เกาะนารุตามนโยบายโยกย้ายถิ่นฐานของเขตโอมูระ โดยย้ายมาที่เกาะคาซึระ (葛島 Kazura-jima) ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ทางตอนเหนือก่อนแล้วค่อยย้ายมายังเกาะนารุ
ณ เกาะนารุ พวกเขาบุกเบิกพื้นที่ลาดชันเพื่อเพาะปลูกและสร้างบ้านเรือน ตั้งหมู่บ้านขึ้นสี่แห่งแยกจากหมู่บ้านชาวพุทธที่มาอยู่ก่อน รวมทั้งหมู่บ้านเองามิที่อยู่บนที่ราบหุบเขาเล็ก ๆ ริมทะเล และปฏิบัติศาสนกิจอย่างลับ ๆ ภายใต้การนำของหัวหน้าคริสตังลับ จนกระทั่งรัฐบาลประกาศปลดคำสั่งห้ามนับถือศาสนาคริสต์ในปี 1873 คริสตังลับแห่งเกาะนารุจึงได้กลับมานับถือศาสนาได้อย่างเปิดเผย
โบสถ์เองามิ (江上天主堂 Egami Tenshudō) หลังแรกสร้างขึ้นในปี 1906 หลังจากใช้งานมานานราวสิบปี จึงสร้างขึ้นใหม่ในราวเดือนมีนาคมปี 1917 และเสร็จสิ้นในปี 1918 ด้วยเงินสะสมของชาวบ้านที่ทำงานประมง ตัวโบสถ์สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ทาสีขาวนวล มีบานหน้าต่างสีฟ้าสด แลดูบริสุทธิ์ให้อิมเมจถึงพระแม่มารีย์ผู้นิรมล
โบสถ์เองามิที่ผ่านการทาสีใหม่แลดูสวยงามน่ารัก
(ภาพโดยป้าหมวยยย)
โบสถ์เองามิแห่งนี้เป็นผลงานชิ้นสำคัญของนายช่างเท็ตสึคาวะ โยสุเกะ (鉄川与助 Tetsukawa Yosuke) ผู้สร้างโบสถ์มากมายหลายสิบแห่งในนางาซากิ ในจำนวนนี้มีถึงสี่แห่งที่กลายเป็นมรดกโลก เช่น โบสถ์คาชิระงาชิม่าที่ตำบลชินคามิโกโต้ โบสถ์โนคุบิบนเกาะโนซากิ โบสถ์ซาคิทสึบนเกาะอามาคุสะ รวมทั้งโบสถ์เองามิแห่งนี้
โบสถ์เองามิมีลักษณะเฉพาะที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น มีการยกพื้นเพื่อระบายความชื้นที่มาจากตาน้ำบริเวณใกล้เคียง และทาเคลือบไม้เพื่อป้องกันการผุกร่อน การสร้างให้มีลักษณะสถาปัตยกรรมภายนอกแบบโรมาเนสก์ให้ดูคล้ายบ้านอยู่อาศัยแลดูกลมกลืนกับบ้านเรือนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน แต่ภายในยังคงองค์ประกอบสำคัญและรูปแบบตามสมัยนิยมของโบสถ์อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไว้อย่างครบถ้วน
ตัวโบสถ์ถูกยกพื้นให้สูงขึ้นเพื่อระบายความชื้น
(ภาพจาก Kirishitan.jp)
ส่วนหลักของโบสถ์ติดตั้งหลังคาลาด (pitched roof) เหนือโถงกลางโบสถ์ (main nave) และหลังคาส่วนเฉพาะเหนือที่นั่งด้านซ้ายและขวา (aisles) และหลังคาเพิง (shed roof) เชื่อมต่อด้านหลังซึ่งเป็นตำแหน่งของพระแท่นบูชา นอกจากนี้ภายนอกมีการเจาะรูตกแต่งเป็นรูปไม้กางเขนตามฝ้าชายคาเพื่อช่วยการระบายอากาศภายในโบสถ์ด้วย
โบสถ์มีพื้นที่รวม 166 ตารางเมตร พื้นที่ภายในแบ่งเป็นสามส่วนด้วยซุ้มประตู (arcade) มีแผ่นไม้ตกแต่งคล้ายระเบียงแนบ (triforium) เหนือซุ้มประตู และซุ้มโค้ง (arch) ที่กำแพงส่วนบน หลังคาเป็นแบบริบวาลท์ (Rib vault) ที่ประยุกต์เสาเค้ายัน (King-post trusses) เข้าไปในโครงสร้างด้วย
ภายในโบสถ์เองามิ สังเกตแผ่นไม้ตกแต่งคล้ายระเบียงแนบ (triforium) เป็นแนวยาวเหนือโค้งเสา
(ภาพจาก Kirishitan.jp)
นอกจากนี้คนในหมู่บ้านยังมีส่วนร่วมในการตกแต่งโบสถ์ ชาวบ้านช่วยกันวาดภาพดอกซากุระบนกระจกหน้าต่าง แตกต่างจากโบสถ์อื่น ๆ ที่ใช้กระจกสีสเตนกลาส ปัจจุบันภาพวาดดอกไม้เหล่านี้ลบเลือนไปมากแล้วจึงมักปิดหน้าต่างไว้เพื่อรักษาสภาพ
ภาพวาดดอกซากุระบนกระจกหน้าต่าง และช่องระบายอากาศใต้ชายคารูปไม้กางเขน
(ภาพจาก Kirishitan.jp)
ด้วยการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างรูปแบบการก่อสร้างแบบตะวันตกและเทคนิคการก่อสร้างแบบญี่ปุ่น รวมทั้งการออกแบบที่สะท้อนความศรัทธา วิถีชีวิตของชาวบ้าน และคำนึงถึงสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ โบสถ์เองามิจึงได้รับยกย่องให้เป็นทรัพย์สินสำคัญทางวัฒนธรรมแห่งชาติในปี 2008 และเป็นมรดกโลกในอีกสิบปีต่อมา
การเดินทางไปชมโบสถ์เองามิ ผู้เยี่ยมชมขึ้นเรือจากเกาะฟุคุเอะ 30 นาทีไปยังเกาะนารุ จากนั้นใช้บริการแท็กซี่จากท่าเรือ 20 นาที มีทัวร์ครึ่งวันชมโบสถ์โกะริงและโบสถ์เองามิให้บริการจากเกาะฟุคุเอะเฉพาะในวันพฤหัสบดี-วันอาทิตย์ โดยต้องกรอกข้อมูลใบสมัครล่วงหน้า (ภาษาญี่ปุ่น) ที่ Goto City Tourism Association (http://www.goto-kanko.jp)
ผู้เยี่ยมชมโบสถ์เองามิด้วยตัวเองจะต้องลงทะเบียนล่วงหน้าที่ https://kyoukaigun.jp ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพภายในโบสถ์
12. อาสนวิหารโออุระ (Oura Cathedral)
อาสนวิหารโออุระ พร้อมอาคารสามเณราลัยละติน และอาคารเรือนพักพระอัครสังฆราช
(ภาพจาก Kyoukaigun.jp)
เป็นสถานที่มรดกโลกที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดในจำนวน 12 แห่งเพราะอยู่ในตัวเมืองนางาซากิ มีรถบัสและรถรางไปถึง มีความสำคัญในฐานะจุดเริ่มต้นและความหวังของคริสตังลับที่รอคอยมายาวนานกว่า 250 ปี
อาสนวิหารโออุระหรือโบสถ์โออุระ (大浦天主堂 Ōura Tenshudō) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “โบสถ์มรณสักขีทั้ง 26 แห่งญี่ปุ่น” (日本二十六聖殉教者天主堂 Nihon Nijūroku Seijunkyōsha Tenshudō) ได้ชื่อว่าเป็นโบสถ์คาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี 1865 หรือราว 7 ปีหลังญี่ปุ่นและฝรั่งเศสร่วมลงนามในสนธิสัญญาทางไมตรีและการค้าระหว่างประเทศในปี 1858 ทำให้ชาวฝรั่งเศสเข้ามาทำการค้าในนางาซากิมากขึ้น จึง
มีการเรียกร้องให้สร้างโบสถ์เพื่อให้ชาวฝรั่งเศสและชาวต่างประเทศได้ร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณในวันอาทิตย์
เมื่อได้รับอนุญาตจากทางรัฐบาลญี่ปุ่น คณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส (Paris Foreign Missions Society ชื่อย่อ M.E.P. จากภาษาฝรั่งเศส Société des Missions étrangères de Paris) โดยคุณพ่อลูอี ธีวดอร์ ฟิวเรต์ (Louis- Théodore Furet) จึงเลือกส่วนหนึ่งของพื้นที่พำนักเฉพาะชาวต่างชาติเพื่อก่อสร้างโบสถ์
พื้นที่โบสถ์ตั้งอยู่บนเนินหันหน้าสู่ทะเล การก่อสร้างเริ่มจากเรือนพักบาทหลวงในปี 1863 หลังจากก่อสร้างเรือนพักบาทหลวงเสร็จ คุณพ่อฟิวเรต์เดินทางกลับฝรั่งเศส และคุณพ่อเบอร์นาร์ด ธาดี เปอตีต์ฌอง (Fr. Bernard Thádée Petitjean) เป็นผู้สานงานต่อ การก่อสร้างโบสถ์โออุระเริ่มขึ้นในปี 1864 โดยมีนายช่างโคยามะ ฮิเดะโนะชิน (小山秀之進 Koyama Hidenoshin) จากอามาคุสะผู้สร้างสวนโกลเวอร์เป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้าง
ในการก่อสร้างช่วงแรกประสบปัญหาเรื่องเงินทุนและคนงานจนงานก่อสร้างหยุดชะงัก ต่อมาผู้ว่าการเมืองนางาซากิประสงค์ให้คุณพ่อสอนภาษาฝรั่งเศสที่โรงเรียนภาษา เมื่อคุณพ่อตอบตกลง ผู้ว่าการจึงช่วยเหลือท่านด้วยการสั่งเพิ่มจำนวนคนงานขึ้นอีกสามเท่า จนโบสถ์สร้างเสร็จตามกำหนดในราวปลายปี 1864
โบสถ์โออุระหลังนี้ใช้สถาปัตยกรรมแบบโกธิค มีหอระฆัง 3 หอ ด้านหน้าฉาบปูนเป็นลายตารางแบบที่เรียกว่า นามาโกะคาเบะ (なまこ壁 Namako kabe) และมีป้ายอักษร 天主堂 (Tenshūdo แปลว่าโบสถ์) อยู่ด้านหน้า
โบสถ์โออุระเมื่อครั้งแรกสร้างในปี 1864
(ภาพจาก Wikipedia)
โบสถ์นี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่นักบุญมรณสักขีทั้ง 26 ที่ถูกประหารในปี 1597 และได้รับสถาปนาขึ้นเป็นนักบุญโดยพระศาสนจักรคาทอลิกในปี 1862 จึงหันหน้าไปทางเนินนิชิซากะ (西坂の丘 Nishizaka no oka) อันเป็นสถานที่ประหารห่างไปทางเหนือราว 2.5 กิโลเมตร
พิธีเปิดเสกโบสถ์จัดขึ้นในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1865 มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศตะวันตกมาร่วมพิธีมากมาย ชาวบ้านเรียกโบสถ์โออุระกันว่า “フランス寺 Furansu-dera” หรือ “วัดฝรั่งเศส”
ข่าวการเปิดใช้โบสถ์โออุระทำให้คริสตังลับทั้งหลายตื่นเต้นเป็นอันมาก เพราะเป็นโบสถ์คาทอลิกหลังแรกที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากถูกทำลายทิ้งหมดสิ้นเมื่อราว 250 ปีก่อน จึงทำให้พวกเขาปรารถนาจะได้เข้าไปสักการะพระรูปพระแม่มารีย์และพระบุตรอันงดงามที่นำมาจากฝรั่งเศส
เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น ในวันที่ 15 มีนาคม 1865 เวลาประมาณเที่ยงครึ่ง เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น
กลุ่มคนราว 15 คนทั้งชายหญิงและเด็กปรากฏตัวที่หน้าโบสถ์ คุณพ่อเปอตีต์ฌองแลเห็นจึงเปิดประตูต้อนรับ หญิงสูงวัย 3 คนคุกเข่าลงใกล้ท่าน และหนึ่งในนั้น อิซาเบลินา สุงิโมโตะ ยูริ (杉本ユリ Sugimoto Yuri) ทาบมือบนอกกล่าวแก่ท่านว่า “หัวใจของพวกเราเหมือนกับท่าน” และสอบถามท่านว่า “รูปปั้นท่านสันตะมารีย์อยู่ที่ใด”
ท่านจึงได้รู้ว่าพวกเขาคือคริสตังลับที่ยังคงหลงเหลืออยู่ พวกเขามาจากหมู่บ้านอุราคามิ (浦上 Urakami) ที่อยู่ห่างไปทางเหนือราว 4 กิโลเมตร
ภาพนูนต่ำแสดงเหตุการ์ณค้นพบคริสตังลับ จัดทำขึ้นในปี 1965 เพื่อระลึกถึงครบรอบ 100 ปีของเหตุการณ์
(ภาพโดยป้าหมวยยย)
รูปปั้นพระแม่มารีย์และพระบุตรจากฝรั่งเศส
(ภาพจาก Nagasaki-oura-church.jp)
คุณพ่อเขียนจดหมายเล่าเรื่องราวถึงเพื่อนบาทหลวงในฝรั่งเศส และกลายเป็นข่าวในยุโรปและวาติกันว่า ยังมีคริสตังหลงเหลืออยู่ในประเทศญี่ปุ่นแม้เชื่อกันว่าถูกกวาดล้างหมดสิ้นตั้งแต่เมื่อ 250 ปีก่อน
ในขณะเดียวกันคริสตังลับในพื้นที่ต่าง ๆ ของนางาซากิก็เริ่มตื่นตัวในความหวังที่จะได้กลับเข้าสู่พระศาสนจักร ผู้นำคริสตังลับเริ่มลักลอบเดินทางมาพบคุณพ่อบาทหลวงเพื่อเชิญคุณพ่อไปโปรดศีลล้างบาปให้แก่คนในหมู่บ้าน
คริสตังลับจำนวนหนึ่งเริ่มแสดงออกถึงความเชื่อในที่สาธารณะซึ่งเป็นการขัดต่อกฏหมาย ทำให้มีการจับกุมคริสตังลับในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น หมู่บ้านอุราคามิ เกาะโกโต้ เกาะอามาคุสะ และนำตัวไปทรมานให้ละทิ้งความเชื่อ แม้การปกครองเปลี่ยนมือจากรัฐบาลบากุฟุสู่รัฐบาลเมจิในปี 1868 ฝ่ายรัฐบาลเมจิที่นิยมศาสนาชินโตยังคงนโยบายห้ามนับถือศาสนาคริสต์ และเบียดเบียนคริสตังลับด้วยการจับกุมตัวคนทั้งหมู่บ้านแล้วเนรเทศไปต่างถิ่น
การเบียดเบียนศาสนานี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของชาติตะวันตกเป็นอย่างมาก แต่รัฐบาลเมจิอ้างว่าเป็นเรื่องภายในประเทศ จนกระทั่งเมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นต้องการแก้ไขความไม่เสมอภาคในสนธิสัญญาห้าอำนาจปีอันเซ (安政五カ国条約Ansei no Gokakoku Jōyaku) ที่ทำกับประเทศสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, รัสเซีย, เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ในปี 1858
แต่สหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ ปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า การแก้ไขไม่สามารถกระทำได้หากญี่ปุ่นไม่สามารถรับรองอิสรภาพในการนับถือศาสนาของประชาชน ในที่สุดรัฐบาลเมจิแลเห็นว่าการคงคำสั่งห้ามนับถือศาสนาคริสต์ไม่เป็นผลดีในการพัฒนาประเทศ จึงประกาศยกเลิกคำสั่งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1873
เมื่อคำสั่งห้ามถูกปลดลง คนในชุมชนคริสตังลับต่าง ๆ เริ่มแยกเป็นสามกลุ่ม
กลุ่มแรก คือกลุ่มที่ขอกลับเข้ามาสู่พระศาสนจักรโรมันคาทอลิกด้วยการรับศีลล้างบาป
กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่ยังคงยึดถือจารีตประเพณีคริสตังลับต่อไป
และกลุ่มสุดท้าย คือกลุ่มที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธหรือชินโต
ชุมชนคริสตังลับต่าง ๆ ที่ต้องการกลับเข้าสู่พระศาสนจักรเริ่มมีการฟื้นฟูความเชื่อ มีการสร้างโบสถ์จำนวนมาก และมีผู้รับศีลล้างบาปเป็นคริสตชนคาทอลิกมากมาย คณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีสเริ่มสร้างอาคารสามเณราลัยละติน (羅典神学校 Ratenshingakkō หรือ Latin Seminary) ในพื้นที่โบสถ์โออุระปี 1874 เพื่อเป็นสถานที่ฝึกสอนชาวญี่ปุ่นให้เป็นบาทหลวง หลักสูตรสอนด้วยภาษาละตินใช้ระยะเวลา 12 ปี บาทหลวงชาวญี่ปุ่น 3 คนแรกสำเร็จการศึกษาและได้รับศีลบวชในปี 1882
อาคารสามเณราลัยละตินหลังเก่า
(ภาพจาก at-nagasaki.jp)
อาคารสามเณราลัยละติน เป็นอาคารสูง 2 ชั้น มีชั้นใต้ดิน 1 ชั้น ตั้งอยู่ทางตะวันออกของโบสถ์โออุระ เป็นผลงานการออกแบบและควบคุมการก่อสร้างโดยคุณพ่อมัลค์ มารี เดอ โรต์ซ (Marc Marie de Rotz) ผู้มากความสามารถจากโซโตเมะ ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงสิ่งของของคริสตังลับ และสิ่งของของบาทหลวงในยุคต้น เช่น จดหมาย ภาพวาด บล็อกภาพพิมพ์ไม้ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีการเริ่มต่อเติมโบสถ์โออุระให้มีพื้นที่มากขึ้นจากเดิม 2 เท่าในปี 1879 รูปทรงอาคารถูกปรับเปลี่ยนจนมีลักษณะอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ส่วนอาคารเรือนพักบาทหลวง ถูกสร้างขึ้นในปี 1915 ทดแทนหลังเดิม เป็นอาคารสร้างด้วยอิฐแดง มีระเบียง สูง 3 ชั้น มีชั้นใต้ดิน 1 ชั้น เป็นผลงานออกแบบของคุณพ่อเดอโรต์ซร่วมกับนายช่างเท็ตสึคาวะ โยสึเกะก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตในปี 1914 ใช้เป็นที่พักของบาทหลวง เมื่อสังฆมณฑลนางาซากิได้เลื่อนขึ้นเป็นอัครสังฆมณฑล (Archdiocese) ในปี 1959 จึงเปลี่ยนชื่อเป็นเรือนพำนักพระอัครสังฆราช (大司教館 Daishikyō-kan) แต่เมื่อยกโบสถ์อุราคามิเป็นอาสนวิหารแทนจึงเรียกว่า เรือนพำนักพระอัครสังฆราชหลังเก่า อาคารหลังนี้ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงประวัติศาสตร์ของคริสต์ศาสนาในพื้นที่นางาซากิและจำหน่ายสินค้าที่ระลึก
เรือนพำนักพระอัครสังฆราชหลังเก่า
(ภาพจาก at-nagasaki.jp)
พื้นที่รอบโบสถ์ นอกจากมีสิ่งปลูกสร้างแล้ว ยังมีอนุสาวรีย์นักบุญพระสันตะปาปายอห์นพอลที่ 2 ที่เคยเสด็จเยือนโบสถ์แห่งนี้ในปี 1981 และภาพนูนต่ำแสดงเหตุการณ์ค้นพบคริสตังลับ เป็นต้น
โบสถ์โออุระได้รับยกย่องเป็นสมบัติแห่งชาติในปี 1953 นอกจากนี้เคยมีฐานะเป็นอาสนวิหารประจำสังฆมณฑลนางาซากิตั้งแต่ปี 1896 เมื่อสังฆมณฑล ฯ ได้เลื่อนขึ้นเป็นอัครสังฆมณฑลในปี 1959 จึงยกโบสถ์อุราคามิหลังใหม่ขึ้นเป็นอาสนวิหารประจำอัครสังฆมณฑลนางาซากิตั้งแต่ปี 1962 เป็นต้นมา
บริเวณพระแท่นเอก สังเกตทางด้านซ้ายมี “อาสนะ” หรือเก้าอี้สำหรับพระสังฆราช (Bishop) ประจำสังฆมณฑล
(ภาพจาก Nagasaki-oura-church.jp)
ปัจจุบันอาสนวิหารโออุระไม่ได้ใช้ประกอบพิธีใด ๆ แต่มีการสร้างโบสถ์โออุระหลังใหม่ขึ้นมาใหม่ที่ฝั่งตรงข้ามเพื่อใช้ทำพิธีมิสซาของคนในชุมชน พระศาสนจักรคาทอลิกได้รับรองอาสนวิหารโออุระแห่งนี้เป็นมหาวิหารรอง (Minor Basilica) ในปี 2016
ผู้เยี่ยมชมสามารถขึ้นรถรางสาย 5 ลงที่สถานี Oura Tenshudo แล้วเดินต่ออีก 3 นาที ค่าผ่านประตู 1,000 เยนสำหรับผู้ใหญ่ ราคานี้รวมค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์คริสตังในอาคารสามเณราลัยละตินหลังเก่าและอาคารเรือนพักพระอัครสังฆราชหลังเก่าแล้ว ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปภายในโบสถ์และอาคารพิพิธภัณฑ์
ป้าหมวยยยเขียนมาพักใหญ่ในที่สุดก็จบชุด “กลุ่มสถานที่เกี่ยวข้องคริสตังลับในพื้นที่นางาซากิและอามาคุสะ” แล้วค่ะ คราวหน้าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร คอยติดตามกันนะคะ
เรื่องแนะนำ :
– แลมรดกโลก : มรดกคริสตังลับแห่งนางาซากิและอามาคุสะ ตอนที่ 4
– แลมรดกโลก : มรดกคริสตังลับแห่งนางาซากิและอามาคุสะ ตอนที่ 3
– แลมรดกโลก : มรดกคริสตังลับแห่งนางาซากิและอามาคุสะ ตอนที่ 2
– แลมรดกโลก : มรดกคริสตังลับแห่งนางาซากิและอามาคุสะ ตอนที่ 1
– คุมะมงภูมิใจนำเสนอ Amakusa Daiō : ไก่ราชันอามาคุสะ
ข้อมูลจาก
https://kyoukaigun.jp
https://kirishitan.jp
http://oratio.jp
https://christian-museum.jp/
https://nagasaki-oura-church.jp/
https://christian-nagasaki.jp/en/
แผ่นพับ The Story of Oura Catholic Church
#มรดกโลก #นางาซากิ #อามาคุสะ