‘เที่ยวเมืองฮามามัตสึ’ 2 วัน กับสารพันที่เที่ยวทุกแบบทุกสไตล์
วันนี้เราจะพาทุกคนไป ‘เที่ยวเมืองฮามามัตสึ’ เมืองที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลากหลายสไตล์กันค่ะ โดยในทริปนี้เราไปกัน 2 วัน 1 คืน แต่ได้เที่ยวหลายที่มากค่ะ
ก่อนอื่นเลย เราจะมาเล่าเรื่องราวของเมืองฮามามัตสึกันก่อนนะคะ
‘เมืองฮามามัตสึ’ (Hamamatsu 浜松) ตั้งอยู่ในจังหวัดชิซูโอกะ เป็นเมืองเล็กๆ ที่รถไฟชินคันเซ็นวิ่งผ่าน เมืองนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดเดียวกันกับภูเขาไฟฟูจิที่เป็นแลนด์มาร์กของประเทศญี่ปุ่น
เมืองเล็กๆ แห่งนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น เราจะได้ยินเสียงดนตรีเคล้าคลอตั้งแต่ก้าวขาลงจากรถไฟ เพราะเมืองนี้เป็นต้นกำเนิดของแบรนด์เครื่องดนตรีชื่อดังอย่าง Yamaha และ Kawai นั่นเอง นอกจากนี้เมืองฮามามัตสึยังเป็นแหล่งผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมรถยนต์ระดับประเทศอีกด้วย
เมืองฮามามัตสึไม่ได้มีสิ่งที่น่าสนใจเพียงเท่านี้นะคะ แต่ที่นี่ยังมีพื้นที่ติดทะเลฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งทำให้มีทะเลสาบฮามานาโกะที่เป็นแหล่งเลี้ยงปลาไหลด้วย ดังนั้นปลาไหลจึงกลายเป็นเมนูท้องถิ่นที่ห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวเมืองฮามามัตสึ
นอกจากทั้งหมดที่กล่าวมา เมืองฮามามัตสึก็ยังมีสิ่งอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ถ้าเพื่อนๆ พร้อมกันแล้ว เราจะไปต่อกันเลยค่ะสำหรับทริป ‘เที่ยวเมืองฮามามัตสึ’ แบบรวบรัด 2 วัน 1 คืน
สารบัญ
1. เที่ยวเมืองฮามามัตสึ : วันที่ 1
• 1.1 โอตาคุเครื่องบินต้องไปที่นี่ Airpark JASDF Hamamatsu Air Base Museum
• 1.2 สวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮามามัตสึ Hamamatsu Fruit Park
• 1.3 ชมพระพุทธรูป Rakan กว่า 500 องค์ พร้อมขอพรความรักที่วัด Houkouji
• 1.4 เที่ยวถ้ำมังกร Ryugashidou Cavern หนึ่งในถ้ำที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น
• 1.5 Sawayaka ร้านอาหารที่คนท้องถิ่นบอกว่าถ้ามาเที่ยวเมืองฮามามัตสึต้องลอง!
• 1.6 เรื่องกินเรื่องใหญ่! ไปลองเกี๊ยวซ่าสไตล์ฮามามัตสึที่ร้านอิซากายะ Hamataro Gyoza กันเถอะ
• 1.7 คืนนี้นอนที่นี่นะ! OKURA ACT CITY HOTEL HAMAMATSU โรงแรมสุดหรูบนตึกสูงใจกลางเมืองฮามามัตสึ
2. เที่ยวเมืองฮามามัตสึ : วันที่ 2
• 2.1 แวะเช็กอินปราสาทฮามามัตสึ Hamamatsu Castle
• 2.2 จิบชาเขียวและชมสวนญี่ปุ่น ที่คาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่น Shouin-tei Castle & Café
• 2.3 หมู่บ้านแห่งเทพนิยาย Nukumori no Mori เหมือนยกยุโรปมาไว้ที่ญี่ปุ่น
• 2.4 มาเยือนแหล่งปลาไหลทั้งที ต้องแวะชิมข้าวหน้าปลาไหลที่ Unagi Hamanoki Restaurant
• 2.5 ล่องเรือ Pleasure boat ให้อาหารนก และชมวิวทะเลสาบฮามานาโกะที่ท่าเรือ Kanzanji Port
• 2.6 ชมเสาโทริอิกลางน้ำ Benten cho Torii , Totoumi Hakkei ‘Benten-no-Sekisho’
• 2.7 แวะชมพิพิธภัณฑ์ Suzuki Museum ต้นกำเนิดรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ในญี่ปุ่น
1. เที่ยวเมืองฮามามัตสึ : วันที่ 1
1.1 โอตาคุเครื่องบินต้องไปที่นี่ Airpark JASDF Hamamatsu Air Base Museum
เราจะมาเริ่มต้นทริปกันที่พิพิธภัณฑ์เครื่องบิน Airpark JASDF Hamamatsu Air Base Museum กันนะคะ
คำว่า JASDF นั้นย่อมาจาก Japan Air Self Defense Force ค่ะ ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมเครื่องบินทางการทหารที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว ภายใน Airpark อลังการงานสร้างด้วยเครื่องบินรบของกองทัพญี่ปุ่นที่จัดโชว์ให้ดูตัวเครื่องรุ่นต่างๆมากมาย เรียงรายกันให้เราเดินชมได้แบบเต็มอิ่มจริงๆ
ใครเป็นแฟนคลับเครื่องบิน บอกเลยว่าที่นี่คือสวรรค์มากๆ ค่ะ
ใครขี้เกียจอ่านสามารถชมคลิปได้จากที่นี่ค่ะ
ด้านหน้าของ Airpark มีเครื่องบิน F1 ซึ่งเป็นเครื่องบินลำแรกที่บินโชว์สำหรับทำ Blue Impulse ในตอนที่โตเกียวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเมื่อปี 1964 และตอนนี้เครื่องบิน F1 ก็ได้ปลดระวางนำมาวางโชว์ไว้ให้แฟนคลับได้ชื่นชมกัน
นอกจากนี้ ด้านในของพิพิธภัณฑ์ก็มีเครื่องบินจำลอง F2 มาจาก F16 โดยตัวอักษร F มีความหมายว่า Fighter ซึ่งทางญี่ปุ่นเองใช้สำหรับการบินโชว์ทำ Blue Impulse ซึ่งคนชอบเครื่องบินก็จะได้เห็นเครื่องบินในระยะประชิดกันเลยทีเดียวค่ะ
อีกทั้งยังมีเครื่องบินของอิตาลีที่ทางพิพิธภัณฑ์ได้ทำจำลองไว้ด้วย โดยเครื่องบินลำนี้ถ้าใครเป็นแฟนอนิเมชั่นค่ายสตูดิโอจิบลิก็น่าจะคุ้นตา เพราะปรากฏในเรื่อง Kurenai no Buta หรือ Porco Rosso สลัดอากาศประจัญบานนั่นเอง ว่ากันว่าผู้แต่งได้แรงบันดาลใจมาจากเครื่องบินลำนี้ค่ะ
ที่นี่ไม่ได้มีแต่เครื่องบินรวมคอลเลคชั่นตั้งโชว์ไว้อย่างเดียวเท่านั้นด้วยนะคะ แต่ยังมีพิพิธภัณฑ์ของกองทัพอากาศญี่ปุ่นที่เปิดให้เข้าชมอีกด้วย ภายในพิพิธภัณฑ์นี้จะเล่าเกี่ยวกับหน้าที่ของกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นว่าทำอะไรบ้าง รวมถึงมียศและตำแหน่งอย่างไร
มีการจำลองห้องโดยสารที่ใช้เฉพาะราชวงศ์และคณะรัฐบาล ซึ่งคนทั่วไปน่าจะไม่ค่อยได้เห็นกันแน่ๆ เพราะเราก็เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเช่นกัน
บริเวณชั้นบนจะเป็นคาเฟ่และร้านอาหาร ซึ่งจะมองเห็นวิวด้านนอกที่เป็นลานเครื่องบิน ว่ากันว่านี่เป็นสนามสอบแห่งสุดท้ายของนักบิน โดยจะมีช่วงเวลาที่เครื่องบินแล่นขึ้นและลงเพื่อฝึกซ้อมกันที่นี่
ส่วนเมนูอาหารที่จัดว่าเป็นของเด็ดสำหรับที่นี่ก็คือข้าวแกงกะหรี่ โดยเฉพาะไอเทมของฝากข้าวแกงกะหรี่ Kaigun Curry ซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่าเวลาที่ทหารเรืออาศัยอยู่บนเรือก็จะไม่รู้วันรู้คืน แต่ทุกๆวันศุกร์เมนูอาหารของทหารเรือจะเป็นแกงกะหรี่ เพื่อให้ทหารทุกคนรู้ว่าวันนี้คือวันศุกร์แล้ว ดังนั้นจึงเหมือนกับว่าแกงกะหรี่เป็นสิ่งที่ใช้เพื่อแจ้งวันให้ทราบโดยทั่วกันนั่นเอง
ทหารเรือของไทยจะมีอะไรแบบนี้บ้างไหมนะ?
แต่ไฮไลต์ยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะคะ ทางพิพิธภัณฑ์ยังมีกิจกรรมเด็ดๆที่คอยสานฝันให้คนอยากเป็นนักบิน นั่นก็คือการทดลองขับเครื่องบินแบบ simulation โดยวิวในจอจะเป็นภาพทางอากาศของเมือง Hamamatsu เพื่อความสมจริง ใครเป็นโอตาคุเครื่องบินจะต้องฟินแน่ๆ!
ถ้าเป็นช่วงสถานการณ์ปกติที่ไม่มีโรคระบาด เราสามารถแต่งตัวเป็นนักบินด้วยการสวมชุดนักบินของจริงกันได้ฟรีๆที่นี่ด้วย แต่ตอนนี้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 ทางพิพิธภัณฑ์จึงงดกิจกรรมนี้ไปก่อนค่ะ
ส่วนค่าเข้าชมที่นี่ก็ฟรีด้วยนะคะ คนรักเครื่องบินไม่มาไม่ได้แล้วจ้า
นอกจากนี้ ภายในพิพิธภัณฑ์ก็ยังมีการจัดแสดงอุปกรณ์ที่ใช้ในการหนีภัยของนักบินในรูปแบบต่างๆ ไว้ด้วย มีการโชว์เครื่องบินย่อส่วนเอาไว้หลากหลายรุ่น ดูแล้วจะเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน และยังมีรถถังที่ใช้สำหรับยิงวัตถุบนฟ้าที่บินข้ามเข้ามาในอาณาเขตของประเทศญี่ปุ่นด้วย ว้าวมากๆ เลยค่ะ
สำหรับสายชอปปิ้งก็มีร้านจำหน่ายสินค้าภายในพิพิธภัณฑ์ด้วยนะคะ ชื่อว่าร้าน TSUBASA มีทั้งขนมของฝาก ของที่ระลึกต่างๆ มากมาย ก่อนกลับก็แวะซื้อของติดไม้ติดมือไปฝากคนทางบ้านก็น่าจะดีนะคะ
เว็บไซต์ : https://www.mod.go.jp/asdf/airpark/
เวลาทำการ : 9.00 – 16.00 น. ปิดทุกวันจันทร์และวันอังคารสุดท้ายของทุกเดือน
การเดินทาง : ลงรถไฟที่สถานี JR Hamamatsu ทางออก North Exit แล้วต่อรถบัสที่ Bus Terminal Line 14 มุ่งหน้าไปยัง ’51 Seirei Hamamatsu Izumi Takaoka’ ใช้เวลาประมาณ 25 นาที แล้วลงรถบัสที่ป้าย ‘Izumi 4-chome’ เดินต่ออีก 10 นาที
แผนที่ Google Map : https://goo.gl/maps/XBQw93jMoPTx1Gku5
1.2 สวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮามามัตสึ Hamamatsu Fruit Park
เมืองฮามามัตสึมีสวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดชื่อว่า ‘ฮามามัตสึ โทคิโนะซุมิกะ’ (Hamamatsu Fruit Park Tokinosumika) ที่นี่เป็นสวนผลไม้ที่ไม่ได้มีแค่ผลไม้ พูดแล้วอาจจะงง เราจึงขออธิบายว่าสวนแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่มากๆค่ะ ทำให้ที่นี่ไม่ได้มีแค่ส่วนที่เป็นสวนผลไม้ แต่ยังเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนในเมืองและนักท่องเที่ยวแบบพวกเราด้วยค่ะ
ที่สวนแห่งนี้มีผลไม้มากมายกว่า 11 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นสตรอว์เบอร์รี พีช แอปเปิล ส้ม ลูกพลับ บ๊วย บลูเบอร์รี่ องุ่น สาลี่ และผลไม้ชนิดอื่นๆซึ่งจะออกตามแต่ละฤดูกาล เรียกได้ว่ามีผลไม้ให้เก็บกันทั้งปีค่ะ เห็ดหูหนูกับเห็ดหอมก็มีให้เก็บด้วยเช่นกันนะ
ใครขี้เกียจอ่านสามารถชมคลิปได้ที่นี่ค่ะ
ช่วงคริสต์มาสที่นี่ก็มีเทศกาลประดับไฟด้วยนะ โดยทางสวนจะใช้ไฟทั้งหมดกว่า 3 ล้านดวง ถือว่าเยอะและใหญ่จริงๆค่ะ ซึ่งล่าสุดก็มีการจัดงานนี้ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. 2020 – 28 ก.พ. 2021
เริ่มเปิดไฟตั้งแต่เวลา 17.00 – 19.00 น.
ค่าเข้าชม
• ผู้ใหญ่ 1,200 เยน
• เด็ก 600 เยน
นอกจากนี้ ภายในสวนยังมีโซนไวน์เนอรี่ที่มีโรงกลั่นไวน์ขนาดย่อมด้วย มีการนำผลไม้บางชนิดมากลั่นเป็นเครื่องดื่มเพื่อจำหน่ายที่โรงงานขนาดย่อมแห่งนี้เช่นกัน ใครชอบเครื่องดื่มไวน์ผลไม้ก็ลองแวะมาที่นี่ได้ค่ะ
ฝั่งตรงข้ามก็จะเป็นโซนร้านอาหาร Pizza ที่บอกได้เลยว่าเด็ดดวงพวงมาลัย! เป็นพิซซ่าเตาถ่านที่อบร้อนๆพร้อมรับประทานได้ทันที โดยเชฟจะนำมาอบที่เตาถ่านในเวลา 3 นาที แขกอย่างเราก็จะได้ดูไปชิมพิซซ่าไป ฟินมากมายค่ะ!
ถ้าหากสั่งพิซซ่า 1 ถาดเราจะได้เครื่องดื่มฟรี 1 แก้ว ในราคา 1,000 เยนต้นๆ นะคะ พิซซ่ามีด้วยกัน 3 หน้า หน้าที่ขายดีคือหน้าที่เป็นซอสมะเขือเทศ ชีส และบาซิล ตามลำดับ เชฟแนะนำมาว่าให้ลองกินพิซซ่าหน้าชีสกับน้ำผึ้งดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่ามันอร่อยมากๆ! อืม…พอลองแล้วอร่อยจริงๆด้วยค่ะ
เมนูของหวานก็มีด้วยนะ โดยจะมาเป็นถ้วยเล็กๆ น่ารัก เซ็ต 4 ถ้วย 300 เยน ราคาน่ารักมากๆ เลย
ช่วงที่เราไปเป็นฤดูกาลของส้มค่ะ ต้นส้มจึงออกผลมาให้เก็บเต็มเลย ทีนี้เราก็เลยไปนั่งรถไฟที่มีชื่อว่า ‘Max Trains’ เพื่อขึ้นไปเก็บส้มกันค่ะ จริงๆก็เดินขึ้นไปได้นะคะ แต่เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและเก็บแรงด้วย เราเลยเลือกนั่งรถไฟไปแทนค่ะ รถไฟน่ารักมากๆเลยล่ะ
ส้มสายพันธุ์ที่เราไปเก็บกันมีชื่อว่า Aoshima Mikan เป็นส้มที่มีรสหวานไร้เมล็ดค่ะ สวนส้มที่นี่จะปลูกส้ม 2 สายพันธุ์นะคะ อีกสายพันธุ์หนึ่งมีชื่อว่า Wase Mikan ซึ่งการเก็บส้มที่นี่จะไม่ใช่การเก็บแบบเหมาราคาเดียวนะคะ เราจะเก็บจำนวนเท่าไหร่ก็ได้ แล้วทางสวนก็จะชั่งน้ำหนักและคิดราคาตามน้ำหนักค่ะ ราคาจะอยู่ที่ 40 เยน/100 กรัม โดยปกติแล้วทางสวนจะไม่อนุญาตให้แกะส้มแล้วชิมทันที แต่จะให้นำกลับไปรับประทานที่บ้านค่ะ แต่เราได้รับอนุญาตเพราะเขาอยากให้ชิมทันที จะได้รู้ว่ารสชาติอร่อยแค่ไหนค่ะ
ถ้ามาที่สวน Hamamatsu Fruit Park Tokinosumika แห่งนี้แล้ว หากจะไม่พูดถึงผลไม้สุดฮอตอีกอย่างหนึ่งก็คงไม่ได้ ผลไม้ที่ได้รับความนิยมมากๆ อีกอย่างหนึ่งของที่นี่ก็คือสตรอว์เบอร์รีนั่นเอง
ใครเป็นแฟนคลับสตรอว์เบอร์รีห้ามพลาดสวนนี้เลยค่ะ เพราะเป็นที่เก็บสตรอว์เบอร์รีสุดฮอตของเมืองฮามามัตสึเลย ที่สวนนี้มีสตรอว์เบอร์รีสายพันธุ์เด็ดๆคือ Akihime, Benihoppe, Kaoino และ Yotsuboshi
เราสามารถเข้าเก็บสตรอว์เบอร์รีได้ตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงเดือนพฤษภาคม การเข้าชมสวนสตรอว์เบอร์รีจะเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ คือเก็บแล้วกินได้เลยภายในเวลา 30 นาที ส่วนราคาของการเก็บก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละช่วงฤดูค่ะ
เว็บไซต์ : http://www.tokinosumika.com/hamamatsufp/
การเดินทาง : เริ่มต้นการเดินทางได้จากสถานี Hamamatsu โดยมีระบบขนส่งสาธารณะให้เลือกดังนี้
รถไฟ : นั่งรถไฟ Enshu Railway ไปลงที่สถานี Nishikajima และเปลี่ยนสายเป็น Tenryu Hamanako line ลงที่สถานี Fruit Park จากนั้นเดินต่อ 8 นาทีไปทางทิศเหนือ
รถบัส : นั่งรถบัสสาย Miyakoda/Fruit Park (ใช้เวลา 60 นาที) ขึ้นรถบัสที่ป้ายหมายเลข 16 ที่ bus terminal แล้วลงที่ป้าย Fruit Park
แผนที่ Google Map : https://g.page/fruitparktokinosumika?share
1.3 ชมพระพุทธรูป Rakan กว่า 500 องค์ พร้อมขอพรความรักที่วัด Houkouji
Houkouji เป็นวัดเก่าแก่ในเมืองฮามามัตสึที่มีอายุกว่า 650 ปี จุดเด่นของวัดนี้คงเป็นพระพุทธรูปองค์เล็กๆที่วางเรียงรายตั้งแต่ทางเดินจากที่จอดรถยาวไปจนถึงภายในวัด ซึ่งมีจำนวนกว่า 500 องค์ คนญี่ปุ่นเรียกพระพุทธรูปเหล่านี้ว่า Rakan พระแต่ละองค์จะมีอิริยาบถที่แตกต่างกันไปตามความศรัทธา
คนญี่ปุ่นเล่ากันว่า ถ้าเป็นรูปพระอุ้มปลาแสดงว่าต้องการให้ค้าขายดีหรือทำการประมงจับปลาได้เยอะๆ
พระพุทธรูปเล็กๆเหล่านี้เป็นพระพุทธรูปที่ผู้มีจิตศรัทธาเช่าบูชาเพื่อขอพรให้สิ่งที่ตนขอสมหวัง จากนั้นพวกเขาก็จะนำพระมาตั้งไว้ที่วัด ปัจจุบันก็ยังมีพระพุทธรูปสำหรับให้ผู้ที่มีความศรัทธาเช่าซื้อบูชาอยู่เช่นกัน สนนราคาที่ 200,000 เยน ถ้าเป็นเงินไทยก็ประมาณ 60,000 บาท
ใครขี้เกียจอ่านสามารถชมคลิปได้จากที่นี่ค่ะ
ไฮไลต์ที่เป็นที่ฮือฮาของวัดนี้ก็คือ มีพระพุทธรูป Rakan อยู่องค์หนึ่งที่ชาวญี่ปุ่นบอกว่าหน้าเหมือนคุณ Yoshihide Suga นายกรัฐมนตรีของประเทศญี่ปุ่น ดูรูปแล้วคิดว่าเหมือนไหมคะ หุหุ
Houkouji เป็นวัดเซนที่มีวิหารใหญ่ที่สุดในเขตโทไก เป็นวิหารที่สร้างด้วยไม้ วิหารเดิมมีมาตั้งแต่ปี 1371 แต่ถูกไฟไหม้ในสมัยเมจิที่ 14 เลยมีการสร้างวิหารขึ้นใหม่ในสมัยโชวะที่ 10 และใช้มาจนถึงปัจจุบัน เท่ากับมีอายุกว่า 100 ปี
ที่วัดแห่งนี้ก็มีพระประทานเก่าแก่ที่สร้างตั้งแต่ปี 1351 และได้ถูกอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ อาคารหลักแห่งนี้ด้วยค่ะ
ภายในวัดมีรูปปั้นของเทพ Daikoku (大黒) ที่ท่านเจ้าอาวาสบอกว่าเป็นเทพเจ้าผูกรักผูกดวง ผูกสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น โดยผู้ชายต้องไปลูบที่มือขวาของรูปปั้นเทพเจ้า และผู้หญิงต้องไปลูบที่ด้านหลังขององค์เทพเจ้า ใครโสดอยากมีคู่ต้องลองค่ะ ส่วนคนมีคู่แล้วก็ทำได้นะคะ จะขอพรให้ครอบครัวมั่นคง ความรักยั่งยืนนานก็ได้เช่นกันค่ะ
ด้านหน้าของอาคารนี้มีไฮไลต์คือเสาไม้ที่แกะสลักเป็นรูปมังกร อลังการงานสร้างมากๆเพราะใช้ไม้ท่อนเดียว ซึ่งเป็นไม้คุซึอายุเกิน 100 ปีแน่นอน
จุดชมวิวอีกแห่งหนึ่งที่สวยของวัดแห่งนี้เป็นจุดชมวิวมุมสูงค่ะ เราจะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีถ้ามาตรงตามช่วงเวลาที่เหมาะสม สีสันของใบไม้ในช่วงเวลานั้นจะยิ่งทำให้วัดแห่งนี้สวยงาม ดูสงบท่ามกลางธรรมชาติที่งดงามมากๆ และในระหว่างทางเดินเราก็จะเห็นพระพุทธรูป Rakan ตั้งเรียงรายอยู่ด้วย
วัดแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงประวัติศาสตร์ที่งดงามเท่านั้น แต่ยังมีที่พักภายในวัดให้นักท่องเที่ยวแวะมาพักได้ และมีอาหารพระหรือ ‘โชจินเรียวริ’ เสิร์ฟด้วยค่ะ
วิวกลางคืนของวัดนี้ก็สวยงามไม่แพ้สถานที่ท่องเที่ยวดังๆ ที่อื่นเหมือนกันนะ
ค่าเข้าชม :
• ผู้ใหญ่ : 500 เยน (ถ้าซื้อบัตรรวมกับค่าเข้าชมถ้ำ Ryugashidou Cavern จะได้ส่วนลดเหลือ 1,150 เยน เข้าได้ทั้งสองที่)
• นักเรียนชั้นประถม-มัธยมต้น : 600 เยน (ถ้าซื้อบัตรรวมกับค่าเข้าชมถ้ำ Ryugashidou Cavern จะได้ส่วนลดเหลือ 650 เยน เข้าได้ทั้งสองที่)
เว็บไซต์ : http://www.houkouji.or.jp/
แผนที่ Google Map : https://goo.gl/maps/7YxP1KcFWea8JKEZ8
1.4 เที่ยวถ้ำมังกร Ryugashidou Cavern หนึ่งในถ้ำที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น
ว้าวมาก! ถ้ำ Ryugashidou Cavern (ริวกะชิโดะ) หรือถ้ำมังกร เป็นชื่อที่เรียกตามภาพด้านหน้าถ้ำ ซึ่งเป็นรูปมังกรที่มีดวงตาสีแดงยืนเด่นเป็นสง่า ถ้ำแห่งนี้นับว่าเป็นหนึ่งในถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เป็นถ้ำหินปูนที่ทับถมกันมานานกว่า 250 ล้านปี ตั้งอยู่ที่เมืองฮามามัตสึ (Hamamatsu)
ถ้ำนี้เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการในปี 1983 ภายในถ้ำมีความลึก 1,046 เมตร แต่ทางจังหวัดได้เปิดถ้ำให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมได้ลึกประมาณ 400 เมตรเท่านั้น ภายในถ้ำแห่งนี้อากาศจะเย็นตลอดทั้งปี อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 18 องศาเซลเซียส
ภายในถ้ำมีจุดชมความงามอยู่หลายจุดเลยทีเดียว เวลาเดินอาจจะต้องคอยระวังศีรษะด้านบนเพราะทางเดินแคบ แต่พื้นทางเดินสามารถเดินได้สบาย ไม่เป็นอันตรายแน่นอน
ใครขี้เกียจอ่านสามารถชมคลิปได้ที่นี่ค่ะ
ที่ปากทางเข้าถ้ำเราจะได้เจอกับค้างคาว ซึ่งเขาจัดห้องกระจกให้เราได้เห็นตัวเป็นๆ กันเลยทีเดียวค่ะ
เอาล่ะ! เริ่มเดินเข้าถ้ำกันได้แล้วค่ะ ทางเดินจะมืดๆ หน่อยนะคะ เวลาเดินต้องระวังศีรษะ แล้วก็ต้องระวังลื่นด้วยเพราะถ้ำมีความชื้นสูง ผนังด้านข้างก็จะมีหินปูนที่ทับถมกันเป็นรูปต่างๆ เช่น
หินรูปตายายและหลานที่นั่งกินข้าวด้วยกัน
หินรูปจระเข้อ้าปาก ไม่รู้ว่าเห็นเหมือนกันไหมนะคะ
ผนังถ้ำมีน้ำไหลออกมา จุดนี้ว้าวมากค่ะ
หินปูนรูปเทพเจ้าทั้ง 7 ของญี่ปุ่น คนตั้งชื่อนี่เก่งจริงๆ เลย นอกจากจะต้องใช้จินตนาการแล้ว ยังต้องตั้งชื่อให้เป็นไปตามหินและภาพที่เห็นด้วยนะคะเนี่ย
โคมไฟแชนเดอร์เลียร์
น้ำตกอายุยืนหรือ Fountain Of Longevity น้ำใสมากๆ แต่น้ำไม่สามารถกินได้นะคะ
ไฮไลต์เด่นๆ เลยก็คือ น้ำตกสีทอง (The Grand Golden Waterfall) จะเป็นน้ำที่พุ่งลงมาจากผนังหลังคาของถ้ำ ได้ยินเสียงน้ำกระทบกับพื้นแล้วรู้สึกสดชื่นมากๆ น้ำที่ไหลลงมามีความสูงประมาณ 30 เมตร ทำให้นี่เป็นหนึ่งในน้ำตกใต้ดินที่ยาวที่สุดของญี่ปุ่นด้วยค่ะ
ร้านขายของฝากก็มีไอเทมหินต่าง ๆ มาวางจำหน่ายมากมาย มีของฝากท้องถิ่นของจังหวัดชิซุโอกะ รวมถึงโคล่าฟูจิด้วยนะคะ ใครอยากลองเรียนเชิญได้ เราไปลองมาแล้ว ได้กลิ่นอายความเป็นโคล่าแบบวินเทจมาก ๆ หุหุ
เว็บไซต์ : http://www.doukutu.co.jp/index[1].html
เวลาทำการ : 9.00 – 17.00 น.
ค่าเข้าชม :
• ผู้ใหญ่ (นักเรียนชั้นมัธยมปลายขึ้นไป) : 1,000 เยน (ถ้าซื้อบัตรรวมกับค่าเข้าชมวัด Houkouji จะได้ส่วนลดเหลือ 1,150 เยน เข้าชมได้ทั้งสองที่)
• นักเรียนชั้นประถม-มัธยมต้น : 600 เยน (ถ้าซื้อบัตรรวมกับค่าเข้าชมวัด Houkouji จะได้ส่วนลดเหลือ 650 เยน เข้าชมได้ทั้งสองที่)
การเดินทาง: จากสถานีรถไฟ Hamamatsu ให้นั่งรถบัสสายที่จะไป Okuyama Kougen ลงที่ป้าย Ryugashidou Iriguchi
แผนที่ Google Map : https://g.page/ryugashido?share
1.5 Sawayaka ร้านอาหารที่คนท้องถิ่นบอกว่าถ้ามาเที่ยวเมืองฮามามัตสึต้องลอง!
ร้าน Sawayaka ตั้งอยู่ที่ชั้น 8 ของห้าง Entetsu Main Building ที่อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟ JR Hamamatsu ร้านนี้เป็นร้านดังของคนท้องถิ่นที่ได้รับความนิยมมากๆ เป็นร้านสไตล์ Family restaurant และมี 35 สาขากระจายทั่วจังหวัดชิซูโอกะค่ะ
จุดเด่นของร้านนี้ก็คือเมนูฮัมบากุ ซึ่งใช้เนื้อวัวชั้นดีชิ้นหนามาย่างในถาดร้อนๆ เป็นร้านที่ได้รับความนิยมจากคนทุกเพศทุกวัย คนท้องถิ่นของเมืองฮามามัตสึบอกเราว่าร้านนี้เป็นร้านดัง คิวเลยยาวมาก และเขาก็มากินตั้งแต่เด็กๆ เลย
ร้านนี้ไม่ได้มีแค่เมนูเนื้อวัวอย่างเดียวนะคะ ใครไม่กินเนื้อวัวก็สามารถสั่งเมนูไก่และเมนูอื่นๆ ได้ เช่น สลัด แกงกะหรี่ ฯลฯ
ความน่ารักของทางร้านก็คือ ก่อนที่เขาจะเสิร์ฟอาหารให้ จะมีการนำกระดาษแผ่นรองจานมาให้เราก่อน ซึ่งเจ้าแผ่นรองจานที่ว่านี้ไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่รองจานอาหารเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นผ้ากันเปื้อนป้องกันการกระเด็นของน้ำมันที่อยู่ภายในถาดร้อนๆ ไม่ให้ฉู่ฉ่าโดนเสื้อโดนตัวเราได้ด้วยค่ะ และเขามีสเปรย์ฆ่าเชื้อมาวางไว้ที่โต๊ะให้ด้วยนะ เผื่อว่าใครกังวลเรื่องการหยิบจับขวดเครื่องปรุงต่างๆ เรียกได้ว่าน่ารักและใส่ใจสุดๆ ไปเลย
เวลาทำการ : 11.00 – 22.00น. (last order 21.00 น.)
เว็บไซต์ : https://www.genkotsu-hb.com/shop/entetsu.php
การเดินทาง : นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Hamamatsu ทางออก North ร้านอยู่ที่ห้าง Entetsu Main Building ชั้น 8
แผนที่ Google Map : https://goo.gl/maps/d9LPdvKzaNFRTu8U9
1.6 เรื่องกินเรื่องใหญ่! ไปลองเกี๊ยวซ่าสไตล์ฮามามัตสึที่ร้านอิซากายะ Hamataro Gyoza กันเถอะ
Hamataro Gyoza เป็นร้านเกี๊ยวซ่าของชาวเมือง Hamamatsu ที่ว่ากันว่าเป็นร้านที่ไม่ควรพลาด ไฮไลต์ของที่นี่ก็คือเกี๊ยวซ่าซึ่งมีหลากหลายรสชาติให้เลือก เช่น กุ้ง วาซาบิ กิมจิ ชีส ฯลฯ และเมื่อสั่งเมนูเกี๊ยวซ่าแล้ว ตรงกลางของจานก็จะเสิร์ฟมาพร้อมกับถั่วงอกลวกค่ะ โอ้โห…ไม่เคยกินเกี๊ยวซ่ากับถั่วงอกลวกมาก่อนเลย
ครั้งแรกต้องไม่เฟลสินะ ใช่ค่ะ! ไม่เฟลเลย รสชาติดีกว่าที่มโนเอาไว้ เรียกว่าอร่อยเลยก็ว่าได้ค่ะ น้ำจิ้มเกี๊ยวซ่าก็ดีงามมาก ทางร้านปรุงมาให้เสร็จสรรพแล้ว เราแค่เติมน้ำมันพริกเผาเพื่อเพิ่มความเผ็ดอย่างเดียวเท่านั้นเอง
นอกจากนี้เรายังสั่งเมนูกับแกล้มกรุบกริบมาด้วย นั่นคือแตงกวาหั่นที่โรยปลาคัตสึโอะฝอยมาเป็นท็อปปิ้ง จานนี้เป็นเมนูที่ทำให้แตงกวาธรรมดาดูมีมูลค่าขึ้นมาเลยทีเดียว และสายดื่มก็ห้ามพลาดถั่วแระญี่ปุ่นเลยค่ะ แทะไปดื่มไป ฟินมากๆ
บรรยากาศภายในร้านจะมีที่นั่งแบบเคาน์เตอร์สำหรับคนที่มาเดี่ยวๆ และมีที่นั่งแบบโต๊ะสำหรับคนที่มาเป็นกลุ่ม การสั่งอาหารทำได้ผ่านจอไอแพด อารมณ์จะคล้ายๆกับอิซากายะ นั่งชิลล์ นั่งคุย เม้าธ์มอยกันตามประสาเพื่อนฝูงหลังเลิกงาน
ส่วนมื้อเที่ยงที่นี่ก็ราคาถูกมาก โดยเริ่มต้นเกี๊ยวซ่าเซ็ตที่ 580 เยน ถ้าใครอยู่ญี่ปุ่นก็สามารถซื้อกลับบ้านไปย่างกินเองได้ด้วยนะคะ
• Gyoza เซ็ต 6 ชิ้น : 680 เยน
• Gyoza เซ็ต 12 ชิ้น : 1,030 เยน
• Gyoza เซ็ต 18 ชิ้น : 1,380 เยน
เวลาทำการ :
• มื้อเที่ยง : 11.30 – 14.00 น.
• มื้อเย็น : 17.00 – 21.00 น.
เว็บไซต์ : https://hamatarou-ta.owst.jp/
การเดินทาง : นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Hamamatsu ทางออก North แล้วเดินต่อไปตามแผนที่อีกนิดก็จะถึงร้าน
แผนที่ Google Map : https://goo.gl/maps/d2MsL3ggsgJroumEA
1.7 คืนนี้นอนที่นี่นะ! OKURA ACT CITY HOTEL HAMAMATSU โรงแรมสุดหรูบนตึกสูงใจกลางเมืองฮามามัตสึ
ที่พักสำหรับค่ำคืนนี้ เราจะเข้านอนกันที่โรงแรม Okura Act City Hotel Hamamatsu โรงแรมนี้เป็นตึกสูง 45 ชั้นที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟ เดินทางสะดวกสุดๆ เพราะโรงแรมสามารถเดินทะลุเข้าถึงสถานีรถไฟได้เลย ส่วนสายชอปปิ้งก็ต้องฟินแน่ๆ เพราะรอบโรงแรมมีห้างต่างๆรายล้อมเต็มไปหมดเลยค่ะ
ใครขี้เกียจอ่านสามารถชมคลิปได้ที่นี่ค่ะ
ช่วงที่ไปล็อบบี้โรงแรมตกแต่งต้นคริสต์มาสและมีดนตรีบรรเลงให้เข้ากับบรรยากาศด้วย เมืองฮามามัตสึขึ้นชื่อเรื่องเครื่องดนตรีค่ะ ดังนั้นไม่ว่าจะเดินไปทางซอกมุมไหน เราก็มักจะได้ยินเสียงเพลงบรรเลงมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้ง คอยสร้างบรรยากาศให้ร่มรื่นและผ่อนคลายตลอดเวลา แม้แต่ในลิฟต์ก็ยังตกแต่งด้วยตัวโน๊ตเลยค่ะ
จุดเด่นของโรงแรมนี้ก็คงเป็นวิวจากมุมสูงของโรงแรม ซึ่งเราสามารถชมวิวเมืองฮามามัตสึได้ทั้งในยามกลางวันและกลางคืน รวมถึงลิฟต์แก้วของโรงแรมที่มองวิวได้ตลอดเวลา
คืนนี้เราได้พักที่ชั้น 44 ค่ะ เป็นวิวด้านตรงข้ามกับสถานีรถไฟที่มองยังไงก็สวยทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ต้องออกไปเดินตากลมเลยค่ะ แค่ชมวิวบนห้องก็ฟินแล้ว
ห้องน้ำสะอาด อุปกรณ์ก็ครบถ้วนมากๆ ค่ะ เครื่องประทินผิวที่ให้มาภายในห้องพักก็จัดได้ว่าดีงาม มาเข้าพักโรงแรมตัวเปล่ายังได้เลย
เราสะดุดใจกับไดร์เป่าผมที่เป็นของยี่ห้อ Dyson เพราะส่วนใหญ่โรงแรมในญี่ปุ่นจะไม่ใช้ยี่ห้อนี้ ดีงามสำหรับคนที่แพลนว่าจะซื้อไดร์เป่าผมยี่ห้อนี้มากเลยค่ะ เพราะเท่ากับว่าเราจะได้ทดลองใช้ก่อนซื้อจริง ที่ชอบก็คือไดร์ยี่ห้อนี้มีหลากหลายหัวเป่ามาให้เปลี่ยนใช้ค่ะ ดี๊~ดี ^^
มารีวิวอาหารเช้ากันบ้างนะคะ อาหารเช้าที่นี่ก็ดีงามเลยค่ะ ทางโรงแรมจะจัดมาเป็นแบบเซ็ตให้เลือกว่าจะเป็นอาหารแบบตะวันตกหรือแบบญี่ปุ่น เพราะช่วงนี้โควิดระบาด ทางโรงแรมเลยจัดเป็นแบบเซ็ตแล้วนำมาเสิร์ฟให้เราที่โต๊ะแทนการลุกไปหยิบเองค่ะ แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ต้องไปหยิบเองอยู่นะคะ เช่น เครื่องดื่มต่างๆ ซึ่งทางโรงแรมก็เตรียมการรับมือเรื่องการแพร่กระจายของไวรัสได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ขั้นตอนการวัดอุณหภูมิ ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ และเราต้องใส่ถุงมือกับหน้ากากอนามัยก่อนลุกไปหยิบเครื่องดื่มด้วยค่ะ โต๊ะที่นั่งก็จัดให้อยู่ห่างๆ กันเพื่อเว้นระยะห่างด้วย
เว็บไซต์ : https://www.act-okura.co.jp/
การเดินทาง : ลงรถไฟที่สถานี Hamamatsu ทางออก North หรือ May one แล้วเดินเชื่อมเข้าสู่โรงแรมบริเวณชั้น 2 ได้เลย
แผนที่ Google map : https://goo.gl/maps/Ar8DE6HZEtYUg1zK9
2. เที่ยวเมืองฮามามัตสึ : วันที่ 2
2.1 แวะเช็กอินปราสาทฮามามัตสึ (Hamamatsu Castle)
แลนด์มาร์กทางประวัติศาสตร์ของเมืองฮามามัตสึ ยังไงก็ต้องเป็นที่นี่! ‘ปราสาทฮามามัตสึ’ (Hamamatsu Castle)
ปราสาทฮามามัตสึตั้งอยู่ในเมืองฮามามัตสึ จังหวัดชิซูโอกะ เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นในปี 1532 โดยขุนนางในตระกูลอิมางาวะ (Imagawa) ในยุคปฏิวัติเมจิปราสาทหลังเดิมได้ถูกทำลายจนพังลงไป แต่ยังคงเหลือฐานหินอยู่ ซึ่งปราสาทหลังใหม่ที่สร้างขึ้นนั้น แม้ว่าจะมีขนาดเล็กลงแต่ก็ยังตั้งอยู่บนฐานหินเดิม
ใครขี้เกียจอ่านสามารถชมคลิปได้ที่นี่ค่ะ
ปราสาทแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่ของโชกุนคนดังญี่ปุ่นนั่นก็คือ ‘โทคุกาวะ อิเอยาสึ’ (Tokugawa Ieyasu) ซึ่งเคยอาศัยอยู่ที่นี่กว่า 17 ปีในช่วงอายุ 29 – 45 ปี ปราสาทแห่งนี้จึงมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า ‘ปราสาทแห่งการเลื่อนตำแหน่ง’ เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนได้รับการเลื่อนตำแหน่งสำคัญๆทั้งนั้น ดังนั้นบริเวณปราสาทแห่งนี้จึงมีรูปปั้นของโชกุน ‘โทคุกาวะ อิเอยาสึ’ อยู่ด้วย
ความสนุกของการมาเที่ยวปราสาทฮามามัตสึนั้น นอกเหนือจากการถ่ายรูปเช็กอินเป็นที่ระลึกแล้ว ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ฮอตฮิตสำหรับการชมปราสาท นั่นก็คือการตามหาหินรูปหัวใจที่เป็นฐานของปราสาท วัยรุ่นญี่ปุ่นบอกว่าถ้าเห็นแล้วจะสมหวังในความรักและโชคดีค่ะ
เอ้า! มีใครเห็นหินรูปหัวใจบ้างไหมคะ?
นอกจากนี้บริเวณรอบๆปราสาทฮามามัตสึยังเต็มไปด้วยซากุระกว่า 370 ต้น ในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายนดอกซากุระจะบานสะพรั่ง ปราสาทแห่งนี้จึงถือเป็นสถานที่ยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวจะไปชมซากุระ เพราะที่นี่เรียกได้ว่าเป็นจุดชมซากุระที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
แต่ปราสาทฮามามัตสึไม่ได้มีแค่ดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิเท่านั้นนะ ที่นี่ยังมีต้นโมมิจิกับต้นแปะก๊วยที่จะผลัดใบในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีอีกด้วยค่ะ ช่วงที่เรามาถือว่าเร็วไปนิด เลยยังไม่ค่อยได้เห็นต้นไม้ใบไม้เปลี่ยนสีมากนัก
และนอกจากนี้ บริเวณรอบๆ ปราสาทยังเป็นที่เดินพักผ่อนหย่อนใจของผู้คนในชุมชนอีกด้วยค่ะ
เวลาทำการ : 8.30 – 16.30 น.
ค่าเข้าชมปราสาท : ผู้ใหญ่ 200 เยน
การเดินทาง : นั่งรถบัสที่ป้ายหมายเลข 1 หรือ 13 จากท่ารถบัสที่สถานี Hamamatsu นั่งไปลงที่ Shiyakushomae แล้วเดินต่อ 6 นาที
แผนที่ Google Map : https://g.page/hamamatsujo?share
2.2 จิบชาเขียวและชมสวนญี่ปุ่น ที่คาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่น Shouin-tei Castle & Café
ไม่ไกลจากปราสาทนัก มีคาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่นที่มองออกไปเห็นสวนญี่ปุ่น คาเฟ่นี้วิวดีมาก สวยมากๆ และเซ็ตชาเขียวพร้อมขนมหวานของร้านนี้ก็ถูกมากเช่นกัน ใครเป็นสายชาเขียวญี่ปุ่น อยากหาที่นั่งชิลล์จิบชา กินขนมหวานญี่ปุ่น พร้อมกับมองวิวแบบสวนสวยสไตล์ญี่ปุ่น ขอแนะนำที่นี่เลยค่ะ
คาเฟ่ Shouin-tei อยู่ใกล้กับปราสาทฮามามัตสึ เดินไปอีกนิดเดียวเหมือนหลุดไปอีกโลกหนึ่ง คาเฟ่นี้เปิดมาแล้วกว่า 23 ปี นับว่าไม่ธรรมดาเลยค่ะ
จุดเด่นของที่นี่ก็คือวิวสวย เซ็ตชาราคาไม่แพง เพียงเซ็ตละ 400 เยน โดยมาพร้อมกับความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ของทางร้าน เพราะเมื่อเรากินขนมหรือดื่มชาจนหมดแล้ว เราจะพบตัวอักษรอยู่ตรงบริเวณก้นภาชนะ โดยตัวอักษรที่เราเจอตรงก้นถ้วยชาเขียวคือ 寿 (Kotobuki) หมายถึงการยินดี, การแสดงความยินดี และตัวอักษรที่อยู่บนจานคือ 福 (Fuku) หมายถึงความโชคดี พอดื่มหมดยิ้มแป้นเลยจ้า
แต่ละฤดูกาลเมนูขนมหวานจะเปลี่ยนไปตามช่วงเวลานั้นๆ ด้วยนะคะ เป็นเสน่ห์ที่ทำให้คนมาที่นี่แล้วติดใจ อยากจะมาซ้ำทุกเดือนโดยไม่มีเบื่อ
เว็บไซต์ : http://www.shouintei.jp/
เวลาทำการของคาเฟ่ : 10.00 – 16.00 น.
วันหยุด : คาเฟ่ปิดวันจันทร์
การเดินทาง :
• นั่งรถบัสที่ป้ายหมายเลข 13 จากท่ารถบัสที่สถานี Hamamatsu ไปลงที่ Hamamatsujo Kouen Iriguchi แล้วเดินต่อไปยังคาเฟ่
• นั่งรถบัสที่ป้ายหมายเลข 16 จากท่ารถบัสที่สถานี Hamamatsu ไปลงที่ Shikatani-cho แล้วเดินต่อไปยังคาเฟ่
แผนที่ Google Map : https://goo.gl/maps/szXpVqJi8EGt5NBU9
2.3 หมู่บ้านแห่งเทพนิยาย Nukumori no Mori เหมือนยกยุโรปมาไว้ที่ญี่ปุ่น
Nukumori no Mori เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่น่าหลงใหล มีกลิ่นอายความเป็นยุโรปและน่าค้นหา ความหมายของชื่อสถานที่แห่งนี้ก็คือ ‘ป่าแห่งความอบอุ่น’
หมู่บ้าน Nukumori no Mori ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1983 โดยสถาปนิกชาวญี่ปุ่น Sasaki Shigeru การตกแต่งของหมู่บ้านแห่งนี้ทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปสู่โลกแห่งนิทาน ภายในหมู่บ้านมีบรรยากาศและกลิ่นอายของความเป็นยุโรป และมีการจำลองส่วนป่าคล้ายกับในนิทานด้วย ทุกอย่างดูน่ารักปุ๊กปิ๊กไปหมดเลยค่ะ
หมู่บ้านแห่งนี้มีร้านค้าต่างๆเปิดให้บริการมากมาย สินค้าที่จำหน่ายมีทั้งเสื้อผ้า งานทำมือ (Hand made) งานเซรามิค นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร คาเฟ่ และแกลเลอรีให้เดินชมเยอะเลยค่ะ
เราไปสะดุดตากับร้านขายเครื่องประดับที่ทำจากหนังเข้า ร้านนี้มีชื่อว่า ‘Little Shine Accessory Shop’ คุณป้าเจ้าของร้านใจดีมากๆ เลย ไอเทมที่วางจำหน่ายในร้านนั้น ลูกสาวของคุณป้าเป็นคนทำเองกับมือทุกชิ้นแล้วจึงนำมาวางจำหน่าย ซึ่งของที่ขายก็ไม่ได้มีแค่ผลิตภัณฑ์น่ารักๆ ที่ทำจากหนังอย่างเดียวนะ ต่างหูดีไซน์น่ารักๆ เก๋ๆ ก็มีด้วย ราคาก็ไม่แพงเกินเอื้อมเลยค่ะ
และยังมีร้านจำหน่ายสินค้าจากตุรกีที่เป็นร้านฮอตฮิตอีกแห่งของที่นี่ ร้านนี้จะนำสินค้าจากตุรกีมาวางจำหน่าย ซึ่งคนญี่ปุ่นชอบกันมาก สินค้าที่ขายก็จะมีทั้งผ้า โคมไฟ พวงกุญแจต่างๆ รวมถึงสร้อยข้อมือที่ขายดีเป็นอันดับ 1 ไอเทมน่ารักๆ แบบนี้ถูกจริตสาวญี่ปุ่นมากๆ ค่ะ
ร้านจำหน่ายเครื่องหอม อโรม่า แฮนด์ครีม หรือบาล์มต่างๆ ก็มีด้วยนะคะ แพ็กเกจจิ้งของสินค้าแต่ละอย่างก็น่ารักมากๆ ใครที่ชอบอโรม่าออยล์น่าจะชอบร้านนี้เพราะมีหลายกลิ่นให้เลือก แถมยังมีสินค้าที่ผลิตขึ้นตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการโดยเฉพาะด้วย เช่น ต้องการผ่อนคลาย วันไหนที่เหนื่อยมากๆหรือแม้แต่วันที่ประจำเดือนมา เราก็สามารถใช้อโรม่าผ่อนคลายได้เช่นกัน
บริเวณชั้น 2 ของร้านอโรม่าก็จะเป็นร้านขายสินค้ากระจุกกระจิก มีทั้งงานผ้า เซรามิก ฯลฯ แต่ที่เป็นสินค้าขายดีของร้านก็คือนาฬิกาข้อมือดีไซน์แปลกๆ น่ารักๆ มีกลิ่นอายความวินเทจหน่อยๆ
และที่เป็นไฮไลต์ของหมู่บ้าน Nukumori no Mori เลยก็คือ ที่นี่มีคาเฟ่นกฮูกด้วย! คาเฟ่นี้มีนกฮูกมากมายทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่ เพิ่งเคยใกล้ชิด ฮ. นกฮูกตาโตตัวเป็นๆก็ครั้งนี้ล่ะค่ะ น้องๆแต่ละตัวตากลม คม และโตมากจริงๆ นอกจากนี้ยังมีหนูตัวเล็กๆ และเม่นที่ขี้อายด้วยค่ะ ใครชอบคาเฟ่นกฮูกจะต้องเพลิดเพลินแน่นอน ค่าเข้าชมคนละ 1,000 เยนค่ะ
สถานที่อีกแห่งที่ห้ามพลาดเลยก็คือ บ้านหลังใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน Nukumori no Mori ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นร้านอาหารแล้ว แต่เดิมบ้านหลังนี้เป็นที่อยู่อาศัยของสถาปนิกผู้สร้างหมู่บ้านแห่งนี้ขึ้นมา ภายในมีการตกแต่งอย่างสวยงาม โดยดีไซน์ให้เหมือนบ้านในนิยาย
ภายในบ้านจะเต็มไปด้วยห้องเล็กห้องน้อย มีการทำผนังให้เหมือนไม้ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ไม้ แต่เป็นปูน อีกทั้งยังมีการใส่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เช่น นำหินรูปหัวใจไปติดไว้ที่พื้นของห้อง อะไรประมาณนี้ เป็นการเพิ่มกิมมิคความน่ารักลงไป ทำให้บ้านหลังนี้มีเสน่ห์และน่าค้นหา นอกจากนี้ยังมีการเจาะช่องหลังคาโปร่งเพื่อให้แสงส่องเข้ามาในตัวบ้านได้ รวมถึงมีโคมไฟประดับน่ารักๆ สไตล์ยุโรป
ในส่วนของระเบียงบ้านก็สามารถมองออกไปข้างนอกและเห็นทุกซอกทุกมุมของอาณาบริเวณรอบๆ บ้านได้
และอย่าลืมแวะร้านของฝากกันด้วยนะคะ ที่นี่ก็มีของฝากจำหน่ายด้วยเช่นกัน เป็นคุ้กกี้ลวดลายน่ารักสไตล์เดียวกับบ้านเลย ส่วนใครที่ชื่นชอบงานอาร์ต งานปั้น งานเซรามิก คุณมาถูกที่แล้วค่ะ! เพราะที่นี่มีสินค้างานคราฟต์สวยๆที่ทำให้คนใจอ่อนอย่างเราไม่สามารถมูฟออนออกมาจากร้านได้เลย เพราะของแต่ละอย่างสวยจริงๆ ชวนให้อยากซื้อไปซะทุกชิ้นที่วางโชว์ ใจบางเลยค่ะ
เราจะมาตบท้ายกันด้วยไอศกรีมเจลาโต้แสนอร่อยนะคะ ที่นี่มีไอศกรีมเจลาโต้จำหน่ายหลากหลายรสชาติ เยอะจนแทบเลือกกันไม่ถูกเลยค่ะ ใครเป็นสายของหวานต้องแวะมาจัดกันนะคะ
หมู่บ้าน Nukumori no Mori นี่สวยสมกับความเป็นเมืองแห่งเทพนิยายจริงๆ ใครที่ชอบความฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้ง ชอบถ่ายรูป ที่นี่น่าจะตอบโจทย์และถูกจริตแน่นอน ถ้าใครได้มาเที่ยวเมืองฮามามัตสึก็อย่าลืมแวะมาหมู่บ้านนี้นะคะ มันน่ารักมุ้งมิ้งมากจริงๆ
เว็บไซต์ : https://www.nukumori.jp/
ค่าเข้าชม : 300 เยน
เวลาทำการ : 10:30 – 18:30 น. ** หยุดทุกวันพฤหัส
การเดินทาง : จากสถานีรถไฟ JR Hamamatsu ให้ไปที่ทางออกฝั่ง North แล้วขึ้นรถบัส Entetsu Bus ที่ป้ายหมายเลข 1 จากนั้นให้ขึ้นรถบัสสายที่มุ่งหน้าไปยัง Kanzanji Onsen (舘山寺温泉行) โดยจะใช้เวลาประมาณ 40 นาที แล้วลงรถบัสที่ป้าย Sujikaibashi (すじかいばし) เดินต่ออีก 5 นาที
แผนที่ Google Map : https://goo.gl/maps/VFpCCUiqaf6Sgsf16
2.4 มาเยือนแหล่งปลาไหลทั้งที ต้องแวะชิมข้าวหน้าปลาไหลที่ Unagi Hamanoki Restaurant
Unagi Hamanoki Restaurant (うなぎ食事処 浜乃木) เป็นร้านอาหารที่อยู่บนชั้น 2 ของท่าเรือ Kanzanji Port ร้านอาหารนี้มีทั้งโซนนั่งแบบญี่ปุ่นและโซนโต๊ะแบบตะวันตก เมนูเด็ดของทางร้านคือ ‘ข้าวหน้าปลาไหล’ เพราะเมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องปลาไหลนั่นเอง ส่วนบริเวณที่ชาวเมืองฮามามัตสึนิยมเลี้ยงปลาไหลกันก็คือทะเลสาบฮามานาโกะ
มาถึงแหล่งปลาไหลแล้วจะพลาดได้อย่างไร! ต้องลองไปชิมของดีเมืองฮามามัตสึอย่างปลาไหลกันให้ได้เลยนะคะ
เมนูมีภาษาอังกฤษนะคะ ไม่ต้องกังวลเรื่องภาษาเลย แถมยังอ่านง่าย มีภาพประกอบให้ด้วย เห็นเมนูไหนน่าอร่อยก็จิ้มสั่งได้เลย ซึ่งข้าวหน้าปลาไหลจะมีทั้งเซ็ตใหญ่และเซ็ตเล็กเลยค่ะ
วันนี้เราได้ลองกิน ‘ข้าวหน้าปลาไหลโอะฉะสึเกะ’ (Unadon Ochazuke) เป็นเซ็ตข้าวหน้าปลาไหลที่เสิร์ฟมาพร้อมกับเซ็ตน้ำชา แต่น้ำชาที่ว่านี้ไม่ใช่เป็นเครื่องดื่มนะคะ มันเป็นซุปที่ใช้เทลงบนข้าวค่ะ ลักษณะจะคล้ายกับข้าวต้ม กินช่วงอากาศหนาวลื่นคอมากมายค่ะ ด้วยกลิ่นหอมของปลาไหลที่ย่างมาร้อนๆกับซุปชาแสนละมุน การกินข้าวหน้าปลาไหลจึงอร่อยยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ ส่วนราคาของข้าวหน้าปลาไหลเซ็ตนี้อยู่ที่ 1,595 เยนค่ะ
แอบถ่ายเมนูของเพื่อนข้างเคียงมาด้วย เป็นเมนู Unaju นะคะ ปลาไหลเน้นๆค่ะเมนูนี้ เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบปลาไหลมากๆ แนะนำเลยค่ะ เมนูนี้เสิร์ฟมาในกล่องข้าวลวดลายสวยงาม สมกับเป็นงานระดับพรีเมียม มีผักดองและซุปใสมาให้พร้อมในเซ็ต เห็นเนื้อปลาไหลที่ย่างมาแล้วก็บอกได้เลยว่าอลังการงานสร้างดาวล้านดวงค่ะ เซ็ตนี้ราคา 4,180 เยน
และอีกเมนูที่จะมีจำหน่ายตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2020 เป็นต้นไปก็คือ ‘ข้าวมันหอยนางรม’ หรือในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า Kakikabadon (かきカバ丼) เมนูนี้เป็นเมนูฮอตฮิตที่เป็นแรร์ไอเทมประจำร้านค่ะ ถ้ามีโอกาสได้มาเยือนฮามามัตสึอีก เราก็หวังว่าจะได้ลองเมนูข้าวมันหอยนางรม อยากรู้มากๆ เลยค่ะว่าจะอร่อยสมคำร่ำลือไหมนะ เมนูนี้สนนราคาที่ 1,760 เยนค่ะ
เวลาทำการ : 11.00 – 16.00 น. ร้านหยุดวันอังคาร
เว็บไซต์ : http://hamanoki.com/
การเดินทาง :
• นั่งรถบัสสาย Tokaido Main Line จากสถานี Hamamatsu ใช้เวลา 45 นาที
• นั่งรถบัสสาย Kanzanji Onsen Line ลงที่ป้าย Kanzanji Onsen และเดินไปทางทิศเหนือบนถนน Monzen ใช้เวลา 5 นาที
แผนที่ Google Map : https://goo.gl/maps/wEHsxRQLqsSP7wAn6
2.5 ล่องเรือ Pleasure boat ให้อาหารนก และชมวิวทะเลสาบฮามานาโกะที่ท่าเรือ Kanzanji Port
ทะเลสาบฮามานาโกะ (浜名湖) นั้นเคยเป็นทะเลสาบน้ำจืดมาก่อน ย้อนกลับไปเมื่อปี 1498 มีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เกิดขึ้น เกิดการแยกตัวของแผ่นดิน ทำให้ทะเลสาบฮามานาโกะและมหาสมุทรแปซิฟิกมาเชื่อมต่อกัน เกิดเป็นทะเลสาบน้ำกร่อยในปัจจุบัน
สภาพแวดล้อมแบบนี้ของทะเลสาบนั่นเองที่ทำให้เมืองฮามามัตสึขึ้นชื่อเรื่องปลาไหลและปลาปักเป้า ชาวเมืองจะเลี้ยงปลาไหล และปลาปักเป้ากันที่ทะเลสาบแห่งนี้ และบริเวณรอบๆทะเลสาบก็มีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Hamanako PalPal Amusement Park, Kanzanji Onsen, และ Hamanako Orgel Museum (พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี) ที่ต้องขึ้นเคเบิลคาร์ไปชมด้านบนด้วยความสูง 723 เมตร ที่นี่นับว่าเป็นเคเบิลคาร์แห่งเดียวของญี่ปุ่นที่ข้ามทะเลสาบ
แต่วันนี้เราไม่ได้ขึ้นเคเบิลคาร์นะคะ เรานั่งเรือล่องทะเลสาบ ชมวิวและให้อาหารนกกันค่ะ โดยเราขึ้นเรือที่มีชื่อว่า Kanzanji Port, Lake Hamana Pleasure Cruise โดยขึ้นที่ท่าเรือ Kanzanji ใช้เวลาในการล่องเรือทั้งหมด 30 นาที
ความสนุกของการโดยสารเรือล่องทะเลสาบก็คือเราจะได้ให้อาหารนกไปด้วยค่ะ เราสามารถซื้อข้าวเกรียบเพื่อให้อาหารนกได้ในราคา 100 เยน พอออกจากฝั่งเรือก็เริ่มเข้าสู่กลางทะเลสาบ เราจะเห็นฝูงนกบินวนไปมารอรับอาหารกัน นกที่นี่ไม่โหด ไม่ดุ และไม่จิกนะคะ ออกจะเรียบร้อยเสียด้วยซ้ำ บางทีไม่มีคนให้อาหารแล้วนกก็ยังมายืนเรียงแถวตรงระเบียงเรืออยู่ดี น่ารักมากเลยค่ะ
นอกจากนี้ เรายังได้ชมวิวของเคเบิลคาร์ที่มุ่งหน้าไปยังจุดชมวิวบนภูเขา Okusayama ด้วย ก็ถือว่าเป็นการเที่ยวทะเลสาบที่ได้เห็นวิวแบบ 360 เลยค่ะ และเราก็ยังมองเห็นทางด่วน Tomei Expressway กับสะพาน Hamanako ที่ข้ามผ่านทะเลสาบแห่งนี้ด้วย เส้นทางเดินเรือนี้นอกจากจะเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว นักกีฬาอย่างนักวิ่งหรือนักปั่นจักรยานก็ยังนิยมใช้เรือช่วยย่นระยะทางอีกด้วยค่ะ
ค่าโดยสารเรือ (ไป-กลับ) :
• ผู้ใหญ่ : 1,000 เยน
• เด็ก : 500 เยน
เวลาทำการ : 9.00 – 16.00 น.
เว็บไซต์ : https://www.hamanako-yuransen.com/
แผนที่ Google Map : https://goo.gl/maps/ueaXy6eYbk5HTthx5
2.6 ชมเสาโทริอิกลางน้ำ Benten cho Torii , Totoumi Hakkei ‘Benten-no-Sekisho’
ถ้าเอ่ยถึง BENTEN-JIMA ก็ต้องนึกถึงเสาโทริอิที่ตั้งอยู่กลางน้ำในทะเลสาบฮามานาโกะ ทะเลสาบแห่งนี้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในอดีต แผ่นดินไหวครั้งนี้ทำให้ฮามานาโกะที่เคยเป็นทะเลสาบน้ำจืดมาก่อนกลายมาเป็นทะเลสาบน้ำกร่อย ซึ่งนี่ก็ทำให้ทะเลสาบฮามานาโกะกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในหมู่คนญี่ปุ่นด้วยกันเอง รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มาเยือนด้วยค่ะ
วันนี้เราจะพาไปชมบรรยากาศยามบ่าย ณ บริเวณริมทะเลสาบกันนะคะ ซึ่งวิวที่เป็นไฮไลต์ก็คือเสาโทริอิสีแดงที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางทะเลสาบฮามานาโกะ (Lake Hamanako)
บริเวณที่เรามากันนี้มีชื่อเรียกว่า Bentenjima Kaihin Park พื้นที่ตรงนี้เป็นชายหาดและสวนสาธารณะที่นักท่องเที่ยวหรือแม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็นิยมมาพักผ่อนหย่อนใจ บ้างก็มานั่งตกปลากันในช่วงฤดูร้อน บริเวณนี้ถือว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ฮอตฮิตมากๆ เพราะมีกิจกรรมทางน้ำต่างๆ ให้ทำมากมาย เช่น เรือยอชท์ พาราเซล วินเซิร์ฟ เวคบอร์ด และกิจกรรมอื่นๆ
เราเคยถามคนญี่ปุ่นว่าทำไมเสาโทริอิถึงมาตั้งอยู่กลางน้ำ คนญี่ปุ่นบอกว่าไม่รู้! อาจจะทำเพื่อเป็นแลนด์มาร์กก็ได้มั้ง ซึ่งถ้าคนญี่ปุ่นไม่รู้แล้วเราจะรอดไหมนะ หุหุ
เสาโทริอิสีแดงต้นนี้มีชื่อว่า ‘Bentenjima Torii’ ไม่มีศาลเจ้าตั้งอยู่ด้านในนะคะ เสาโทริอิต้นนี้ก็เลยไม่เหมือนกับเสาโทริอิต้นอื่นๆ
เสาสีแดงต้นนี้มีความสูง 18 ฟุต ตั้งอยู่บริเวณเนินทรายของ Bentenjima หรือเรียกกันง่ายๆแบบไทยๆก็คือเกาะเบ็นเท็น โดยเสาโทริอิ Bentenjima Torii นี้ตั้งอยู่ในทะเลสาบฮามานาโกะมาตั้งแต่ปี 1968 ค่ะ
การชมเสาโทริอิ Bentenjima Torii สามารถทำได้ 2 วิธี ดังนี้
1. นั่งเรือเพื่อไปชมเสาโทริอิแบบระยะประชิด แต่จะมีบริการเรือเฉพาะในช่วงเดือนเมษายน – สิงหาคมเท่านั้น (ค่าเรือ 1,000 เยน)
2. ชมเสาโทริอิจากฝั่ง วิธีนี้ก็จะเหมือนที่เรามาชมกันนี่ล่ะค่ะ นั่งชิลล์ๆริมชายฝั่ง ดูน้ำดูฟ้า ดูผู้คนไปเรื่อยๆ ปิดท้ายด้วยรอชมพระอาทิตย์ตก นั่งทำตัวเป็นนางเอกเอ็มวีมุมนี้ก็สวยดีเหมือนกันนะคะ ฮ่าๆ
การเดินทาง : นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Bentenjima แล้วเดินต่อ 250 เมตร
แผนที่ Google Map : https://goo.gl/maps/wq4xaDpYYFGRp5NB9
2.7 แวะชมพิพิธภัณฑ์ Suzuki Museum ต้นกำเนิดรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ในญี่ปุ่น
ฮามามัตสึถือเป็นเมืองต้นกำเนิดรถยนต์ของญี่ปุ่น วันนี้พวกเราได้มีโอกาสไปชมพิพิธภัณฑ์ของ Suzuki ซึ่งเป็นที่ที่รวบรวมรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่ผลิตออกมาตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน มีการแสดงขั้นตอนของการผลิตรถยนต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก ดังนั้นถ้ามีโอกาสก็อย่าลืมแวะไปชมกันนะคะ
ใครขี้เกียจอ่านสามารถชมคลิปได้ที่นี่ค่ะ
Suzuki มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 100 ปี บริษัทยานยนต์แห่งนี้ก่อตั้งโดยคุณ Michio Suzuki ในปี 1909 แรกเริ่มเดิมที Suzuki ไม่ได้เริ่มต้นจากการผลิตมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์อย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ แต่ Suzuki เริ่มต้นธุรกิจจากการทอผ้ามาก่อน โดยมีการผลิตผ้าที่มีลายทั้งแนวตั้งและแนวนอน ซึ่งเป็นแนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อความต้องการของผู้บริโภคและเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานจริง เราจึงเห็นได้ว่าภายในพิพิธภัณฑ์มีเครื่องทอผ้าหลากหลายรุ่นวางโชว์เอาไว้ให้ชมด้วยค่ะ
จุดเปลี่ยนของธุรกิจเกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อความต้องการผ้าในตลาดลดน้อยลง ทาง Suzuki ก็ได้เริ่มมองหาตลาดใหม่ นั่นก็คือธุรกิจยานยนต์ Suzuki เริ่มผลิตมอเตอร์ไซค์รุ่นแรกที่หน้าตาคล้ายกับจักรยาน แต่ติดเครื่องที่มากับเครื่องยนต์ 36 ซีซีที่มีชื่อรุ่นว่า Power free มอเตอร์ไซค์รุ่นนี้เปิดตัวในปี 1952 และขายดิบขายดีจนทำให้ต้องผลิตออกมาจำหน่าย 6,000 คันต่อเดือน และนี่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นธุรกิจยานยนต์ของ Suzuki นั่นเอง
ถ้วยรางวัลนี้เป็นของ Rinsaku Yamashita ที่ชนะอันดับ 2 ในการแข่งขัน Mt. Fuji Climbing Race ในวันที่ 8 ก.ค. 1954 เขาได้ใช้มอเตอร์ไซค์รุ่น Colleda Co รุ่น 90 ซีซีในการแข่งขันครั้งนี้ นี่จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของวิวัฒนาการตลาดมอเตอร์ไซค์ของ Suzuki นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
Diamond free DF เป็นมอเตอร์ไซค์ที่สองพี่น้อง Shoji และ Yuji Takahashi ใช้เดินทางรอบโลกเป็นเวลา 2 ปี มีระยะทางการเดินทางทั้งหมด 47,000 กิโลเมตร พวกเขาได้เริ่มออกเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์รุ่นนี้ในวันที่ 1 มีนาคม 1956 โดยเดินทางจากท่าเรือโกเบไปยังกรุงเทพฯและประเทศอื่นๆ อีก 32 ประเทศ รวมถึงปารีสในประเทศฝรั่งเศสด้วย ถือว่าเป็นเรื่องที่ว้าวมากๆ ในยุคนั้น
ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เราจะได้เห็นมอเตอร์ไซค์หลากหลายรุ่น ซึ่งบางรุ่นก็ไม่คุ้นตา มอเตอร์ไซค์ที่ผลิตในยุคแรกๆจะเล็กและบาง เครื่องยนต์น้อย แต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไปก็มีการพัฒนาปรับปรุง จนทำให้มอเตอร์ไซค์มีเครื่องที่ใหญ่ขึ้นหลายร้อยซีซี
สำหรับใครที่ชื่นชอบรถแข่ง ที่นี่ก็มีรถแข่งในยุคก่อนๆ ให้ได้ชมกันด้วยค่ะ
ทางฝั่งรถยนต์ก็มีด้วยนะคะ ภาพลักษณ์ของรถยนต์ Suzuki ในสมัยก่อนจะเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก เป็นที่ชื่นชอบของผู้หญิง แต่ต่อมาก็ได้มีการพัฒนาออกแบบขยายตลาดให้กว้างขึ้น โดยมีทั้งเป็นรถแข่งและรถสำหรับทำกิจกรรม outdoor เช่น Wagon R ที่สามารถใส่อุปกรณ์กีฬา จักรยาน หรืออุปกรณ์กางเต็นท์ไว้ในรถได้ ทำให้กลุ่มผู้ชายหันมาชื่นชอบรถยนต์ Suzuki กันมากขึ้น
รถยนต์ที่ได้รับการกล่าวขานมากที่สุดอีกรุ่นหนึ่งก็คือ Suzuki Swift รถยนต์ขนาดเล็กกะทัดรัดที่มีการผลิตออกมาหลากหลายรุ่น รถยนต์ Suzuki Swift เริ่มผลิตในปี 2000 จากที่ขายภายในญี่ปุ่นช่วงแรก ปัจจุบันรถรุ่นนี้ได้กระจายการขายไปทั่วโลก และโรงงานผลิตก็อยู่ที่เมืองไทยด้วยค่ะ
นอกจากนี้ก็ยังมีบูธที่แนะนำประเทศไทยให้คนญี่ปุ่นได้รู้จัก มีการถามตอบความรู้รอบตัวเกี่ยวกับเมืองไทย สำหรับคนญี่ปุ่นที่ชื่นชอบเมืองไทยก็คงจะชอบโซนนี้มากๆ เพราะการตอบคำถามได้ถูกทำให้รู้สึกภูมิใจว่า ฉันเก่ง! ฉันรู้จักเมืองไทยเป็นอย่างดี สำหรับเราที่เป็นคนไทยพอผ่านไปเห็นก็อดยิ้มไม่ได้ว่า เมืองไทยนี่ล่ะ บ้านฉันเอง หุหุ
บริเวณชั้น 2 ของพิพิธภัณฑ์จะมีโซนที่เรียกว่า ‘Enshu Monozukuri’ ซึ่งเมืองฮามามัตสึก็อยู่ในพื้นที่ Enshu ด้วยเช่นกัน พื้นที่ Enshu นี้เป็นโซนที่บอกเล่าถึงต้นกำเนิดของสินค้าชื่อดังระดับโลกหลายๆแบรนด์ รวมถึงสินค้าของประเทศญี่ปุ่นที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ชาวเมือง ได้แก่ เครื่องดนตรี Yamaha เปียโน Kawai รถยนต์ Toyota รถยนต์ Suzuki และรถยนต์ Honda เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมเหล่าเทพที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ท้องถิ่นและเมืองฮามามัตสึนั่นเองค่ะ
ส่วนใครที่เป็นแฟนคลับรถ Suzuki Hustler ก็มีให้ชมด้วยนะคะ รถ Suzuki Hustler เป็นรุ่นฮอตฮิตของเหล่าวัยรุ่นสาย outdoor สายเดินป่าตั้งแคมป์ เป็นรุ่นที่กำลังมาแรง มีสีสันสดใส โซนจัดแสดงรถรุ่นนี้จะอยู่บริเวณชั้นล่างของพิพิธภัณฑ์ค่ะ เราได้เข้าไปชมอย่างใกล้ชิดเลยล่ะ นอกจากนี้ เขามีราคาของรถบอกไว้ด้วยนะคะ ราคาจะอยู่ที่คันละ 1,746,000 เยน หรือประมาณ 6 แสนบาทเท่านั้นเอง
การมาเดินที่พิพิธภัณฑ์นี้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินในงานมอเตอร์โชว์เลยค่ะ เพียงแต่ที่นี่จะให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์หรือเรื่องราวที่เราไม่เคยทราบมาก่อนด้วยเท่านั้นเองค่ะ
เวลาทำการ : พิพิธภัณฑ์เปิดให้บริการตั้งแต่ 9.00 – 16.30 น.
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี (ต้องจองคิวล่วงหน้า)
เว็บไซต์ : https://www.suzuki-rekishikan.jp/english/
การเดินทาง : นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Takatsuka แล้วเดินต่ออีก 800 เมตรก็จะถึงพิพิธภัณฑ์
แผนที่ Google Map : https://goo.gl/maps/uL69BbqiTiViZmDK7
ก็จบกันไปแล้วนะคะสำหรับทริปเที่ยวเมืองฮามามัตสึแบบรวบรัด 2 วัน 1 คืนที่เมืองฮามามัตสึ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเมืองเล็กๆเมืองนี้จะแต่อัดแน่นไปด้วยสถานที่ที่น่าสนใจหลากหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม การเที่ยวชมธรรมชาติ พิพิธภัณฑ์ หรืออาหารเลิศรส
ถ้าไม่ได้มาเยือนฮามามัตสึ เราก็คงไม่รู้เลยว่าเมืองนี้มีเสน่ห์และน่าสนใจมากขนาดนี้ ดังนั้นถ้าใครมีโอกาสได้มาเที่ยวญี่ปุ่นและอยากสัมผัสบรรยากาศของเมืองรองที่ไม่เคยเป็นสองรองใคร เราขอฝาก ‘เมืองฮามามัตสึ’ ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ แล้วทุกคนจะหลงรักเมืองเล็กๆแห่งนี้อย่างแน่นอน
เรื่องแนะนำ : – ”เที่ยวฮามามัตสึ’ แบบเต็มอิ่ม 2 วัน 1 คืน จากโตเกียวเพียง 90 นาที
ที่มา : https://fromjapan.info/th/city-hamamatsu-trip-review-in-autumn-season
#ฮามามัตสึ #Hamamatsu