แต่สิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจก็คือธุรกิจในวัด Eihei-ji แห่งนี้ ไม่ได้ดู “มากหรือล้น” จนเกินไป (ขอเสียมารยาทที่ต้องบอกว่าวัดมีชื่อบางแห่งในญี่ปุ่น ก็ดูเป็นธุรกิจจนเกินงาม จนผมมองว่าขาดความสงบตามหลักของพุทธศาสนา) พระในวัดแห่งนี้จะไม่บอกให้คุณซื้อสินค้าใดๆ ของเขา ไม่มีการแนะนำหรือเรียกง่ายๆ ว่าพระก็ทำหน้าที่ของพระ ธุรกิจก็ดำเนินไปในเชิงธุรกิจ
เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้ไปเยือนจังหวัด Fukui เป็นครั้งแรกครับ ต้องบอกว่าผมชอบจังหวัดนี้มากๆ เพราะมีธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งภูเขา ทะเล รวมไปถึงไดโนเสาร์
และยิ่งปัจจุบันมีรถไฟชินกันเซ็นจากโตเกียวที่ทำให้เราสามารถเดินทางไปถึง Fukui ได้ในเวลาเพียงประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ก็ยิ่งทำให้ผมอยากจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองแห่งนี้มากขึ้นไปอีกครับ ผมมั่นใจเฃยว่าเมืองแห่งนี้จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยอย่างแน่นอน แบบเดียวกับที่ผมประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่สัมผัสครับ
การเดินทางไปจังหวัด Fukui ของผมนั้น โชคดีที่มีไกด์จาก Tourist Department ของจังหวัดมาดูแลด้วยตนเอง ดังนั้นทำให้ผมมีโอกาสได้เจอกับผู้อำนวยการของสถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่งใน Fukui และทุกท่านก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะพัฒนา และรับฟังความคิดเห็นของนักท่องเที่ยว นั่นเพราะหลังจากการเกิดขึ้นของ Hokuriku Shinkansen ก็มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในตัวเมืองมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน (ตอนนี้ยังไม่มีชินคันเซ็นตรงจากโตเกียวเข้าไปในจังหวัดครับ แต่การก่อสร้างจะเสร็จและพร้อมใช้งานในปี 2022 ซึ่งจะทำให้มีผู้คนเดินทางเข้าไปในเมืองมากกว่านี้อีกหลายเท่าตัว)
ในการเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมได้สัมผัสกับ “วัด” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ถือกำเนิดมาแล้วกว่า 8 ศตวรรษ วัดแห่งนี้คือวัด “เอเฮจิ” (Eihei-ji Temple) นั่นเองครับ
เชื่อว่าที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวชาวไทยหลายคนเคยเดินทางไปที่วัดแห่งนี้ แต่สำหรับผมแล้ ผมคิดว่าวัดแห่งนี้ยังไม่มีชื่อเสียงมากพอที่ควรจะได้รับครับ วัดแห่งนี้เป็นแหล่งวัฒนธรรม แหล่งอารยธรรม และเป็นประวัติศาสตร์ทางศาสนาพุทธนิกายเซ็น / มหายาน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น และที่สำคัญวัดแห่งนี้ยังมีหน้าที่ในการช่วยเผยแผ่ศาสนาพุทธ อันจะเห็นได้จากการเปิดรับผู้คนจากทั่วโลกที่สนใจศึกษาหลักธรรมให้มาอาศัยอยู่ในวัดได้เลย และมีล่ามภาษาอังกฤษคอยอำนวยความสะดวกให้ผู้เข้าศึกษาสามารถเข้าใจหลักธรรมได้อย่างถึงแก่นโดยแท้จริง นอกจากนี้ทางวัดเอเฮจิยังขยายสาขาออกไปในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในภูมิภาคอื่นๆ ของญี่ปุ่นเอง หรือแม้แต่ในสหรัฐอเมริกา
วัดเอเฮจิมีพื้นที่ 330,300 ไร่ และปัจจุบันมีพระกำลังบวชเรียนอยู่ 140 คน จากที่กล่าวไปข้างต้นว่าวัดแห่งนี้มีอายุกว่า 800 ปี ดังนั้นนอกจากผู้ที่มาศึกษาธรรมะแล้ว ยังมีผู้คนมากมายที่เดินทางมาดูงานศิลปะโบราณ เนื่องจากทางวัดได้อนุรักษ์ภาพวาดจิตกรรมฝาผนังดั้งเดิมเอาไว้ทั้งหมด โดยมีภาพอยู่ทั้งหมด 230 ภาพ วาดเป็นภาพดอกไม้บ้าง สัตว์บ้าง ซึ่งทั้งหมดคือปริศนาธรรมที่วาดเอาไว้บนหลังคา ให้ผู้คนสามารถมานั่งฝึกจิต พิจารณาภาพต่างๆ เพื่อฟื้นฟูจิตใจของตนเองได้เสมอ
วัดเอเฮจิ ขึ้นชื่อในเรื่องของกฏระเบียบที่เคร่งครัด จนอาจกล่าวได้ว่าใครที่เรียนรู้วิชาจบจากวัดแห่งนี้ จะเป็นพระที่สมบูรณ์และได้รับการยอมรับ ผู้คนไว้ใจในความสามารถ ยกตัวอย่างกฏต่างๆ ในวัดแห่งนี้เช่นการกินข้าวทุกอย่างจะต้องมีพิธีการชัดเจน โดยจะนั่งเรียงกันและทำการสวด / กิน / ล้าง / สวด ซึ่งทั้งหมดจะต้องเสร็จภายใน 1 ชั่วโมง และหากทำไม่สำเร็จ ก็จะมีบทลงโทษทางวินัยตามมา ทั้งนี้เพื่อให้การฝึกตนเองเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์และมีระเบียบวินัยมากยิ่งขึ้น ถึงแม้บางคนจะวิจารณ์ว่าเข้มงวดจนเกินไปก็ตาม
หรืออีกกรณีหนึ่งก็คือ วัดแห่งนี้จะมีประตูสำคัญอยู่ประตูหนึ่งเรียกว่า Sanmon Gate ซึ่งก่อสร้างมาในปี 1749 ประตูแห่งนี้ถือเป็นประตูศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครสามารถผ่านได้ และแม้แต่พระเองก็สามารถผ่านได้เฉพาะตอนที่ “เข้ามาในวัดแห่งนี้” และวันที่จะ “ลาจากวัดแห่งนี้” เท่านั้น อย่างไรก็ตามสำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว ในบางโอกาสก็จะอนุญาตให้เดินทางผ่านเส้นทางนี้ได้ แต่สำหรับผู้ที่มาฝึกเอง การเดินผ่านประตูแห่งนี้ คือเรื่องที่ยิ่งใหญ่และคือสิ่งตอบแทนสำคัญของตนเอง
Sanmon Gate ของวัดเอเฮจิ ยังมีความสำคัญสำหรับประวัติศาสตร์อีกด้วย เนื่องจากประตูแห่งนี้ถือเป็น “สิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังเหลืออยู่จนถึงปัจจุบัน” กล่าวคือบริเวณอื่นๆ ได้ถูกเผา และต้องก่อสร้างใหม่ทั้งหมดนั่นเอง
วัดเอเฮจิ ยังขึ้นชื่อในเรื่องของทัศนียภาพอีกด้วย กล่าวคือวัดแห่งนี้แม่จะอยู่ห่างจากตัวเมือง Fukui เพียง 15 กิโลเมตร แต่ระหว่างทางนั้นเราจะรู้สึกเหมือนเราเดินทางเข้าป่าอันแสนบริสุทธิ์อยู่ บริเวณระหว่างทางไปสู่วัดนั้น ร้านอาหารต่างๆ ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร้านมังสวิรัติ ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในบริเวณนั้นจะเป็นร้านขาย “เต้าหู้” ซึ่งขอแนะนำเลยว่าเต้าหู้ของเขาอร่อยมากครับ มีการนำไปประยุกต์หลายแบบเลย แม้กระทั่งเอามาทำเป็นไอศครีมช็อกโกแลต ผมเองเป็นคนที่ไม่ชอบทานเต้าหู้ ยังอดชื่นชมถึงความอร่อยไม่ได้เลยล่ะครับ
วัดเอเฮจิ ปัจจุบันพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวมากขึ้น มีการปรับปรุงตัวตึกให้ต้อนรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น มีบริการไกด์ (ซึ่งก็คือพระนั่นแหละ) และมีบริการล็อคเกอร์ / รองเท้าแตะ (ทุกคนต้องเปลี่ยนรองเท้า) ตลอดจนสินค้าเครื่องรางขายอย่างเป็นธุรกิจ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจก็คือธุรกิจในวัดแห่งนี้ ไม่ได้ดู “มากหรือล้น” จนเกินไป (ขอเสียมารยาทที่ต้องบอกว่าวัดมีชื่อบางแห่งในญี่ปุ่น ก็ดูเป็นธุรกิจจนเกินงาม จนผมมองว่าขาดความสงบตามหลักของพุทธศาสนา) พระในวัดแห่งนี้จะไม่บอกให้คุณซื้อสินค้าใดๆ ของเขา ไม่มีการแนะนำหรือเรียกง่ายๆ ว่าพระก็ทำหน้าที่ของพระ ธุรกิจก็ดำเนินไปในเชิงธุรกิจ
ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ทางวัดจะแจกกระดาษซึ่งชี้แจงกฏทั้งหมดของวัดแห่งนี้ เช่น “ห้ามพูดเสียงดัง”… “ห้ามถ่ายภาพขณะพระกำลังปฏิบัติธรรม” ฯลฯ ซึ่งหากมีใครทำผิดกฏเหล่านี้ ทางพระมีสิทธิ์เชิญออกจากบริเวณได้ทุกเมื่อโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดใดทั้งสิ้น เหตุนี้ทำให้วัดยังคงรักษาความสงบเอาไว้ได้
อย่างไรก็ตามเรื่องที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็คือหลังจากที่ผมบอกทางพระว่าผมมาจากประเทศไทย ท่านก็กล่าวติดตลกว่าคนไทยเนี่ยชอบแอบถ่ายรูปมาก มากจนพระท่านเองก็ไม่กล้าที่จะไปบอกให้หยุดเถอะ เพราะถ่ายมันทุกจังหวะ ซึ่งถือเป็นการเสียมารยาท และรบกวนการฝึกจิตของผู้ปฏิบัติธรรมจริงๆ ดังนั้นผมขอใช้สื่อตรงนี้ แจ้งว่าไม่ใช่เฉพาะที่วัดครับ แต่ทุกๆ ที่ที่เขาห้ามถ่ายภาพ เราก็ควรจะเคารพกฏของเขา เป็นนักท่องเที่ยวที่ดี ให้เกียรติผู้อื่น ยังไงก็เพื่อหน้าตาของประเทศเราด้วยครับ
วัดแห่งนี้สามารถเข้าชมได้ทั้งในทุกฤดู หากมาในหน้าร้อน คุณก็จะมีโอกาสสัมผัสกับการฝึกแบบหนึ่ง เช่นการกวาดลานวัด หรือมีโอกาสได้ชมศิลปะของตัวตึก ตัวอาคารต่างๆ โดยง่าย แต่ถ้าหากมาในฤดูหนาว แม้จะไม่สามารถชมตัวอาคารได้ง่ายนัก (เพราะหิมะสูงกว่าสามเมตร ปิดบังตัวอาคาร) แต่เราก็จะได้เห็นการฝึกฝนของพระในอีกรูปแบบหนึ่ง เช่นการช่วยกันตักหิมะออกจากทางเดิน การช่วยกันก่อโครงไม้ เพื่อไม่ให้กิ่งไม้ต้องหักโค่นลง ฯลฯ เรียกว่าเราสามารถเรียนรู้และศึกษาได้จากวัดแห่งนี้ทุกเมื่อครับ
วัดเอเฮจิ เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้าไปร่วมปฏิบัติธรรม โดยไม่ได้มีกำหนดขั้นต่ำ ขึ้นอยู่กับการจองล่วงหน้า… แจ้งวันเวลาที่ชัดเจน… และที่สำคัญคือมีห้องและผู้สอนที่ว่างอยู่ในขณะนั้นหรือไม่ โดยหากใครที่สนใจ ก็สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ +81 (0) 776-63-3640 โดยควรติดต่อเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือนก่อนเดินทางครับ
วัดแห่งนี้สามารถเดินทางไปได้ด้วยรถไฟ จากสถานี Fukui ไปลงที่สถานี Eiheiji-guchi ก่อนที่จะนั่งบัสต่อไปอีก 10 นาที หรือหากไม่รีบ ก็นั่งรถบัสจากสถานี Fukui ได้เลยครับ ราคาเที่ยวละ 720 เยน แต่อาจจะติดที่ว่าบัสมีแค่ชั่วโมงละคัน และอาจเสี่ยงต่อปัญหารถติดด้วยครับ
ผมอยากแนะนำให้ทุกคนไปเที่ยววัดแห่งนี้ และผมมั่นใจเลยว่าทุกคนจะชอบ และรู้สึกผ่อนคลาย สงบ และมีความสุขกลับไปครับ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า หรือพูดคุยสอบถามได้เสมอทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ
เรื่องแนะนำ :
– พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่ FUKUI 1 ในสถานที่ที่ดีที่สุดในโลกสำหรับคนรักไดโนเสาร์
– TONAMI : THE CITY OF TULIP “เมืองแห่งทิวลิปที่สวยที่สุดในโลก”
– เกือบตายในบาร์ญี่ปุ่น : การเอาตัวรอดจากคลับบาร์ในเวลาที่โดนโกง
– ORIGAMI ศาสตร์มาแรงแห่งปี 2016
– “ถ่ายแบบวาบหวิว” หนึ่งในวิธีการเอาตัวรอดในวงการมวยปล้ำหญิง