คนญี่ปุ่นที่ผมเห็นแม้จะเป็นสังคมของนักเลงและพวกอันธพาล แต่ก็ไม่มีอาวุธพกพาไปผมถึงไม่ค่อยกลัว คนญี่ปุ่นเตะไม่เป็น ถ้าเตะเป็นก็เตะไม่สูง ตีเข่าก็ไม่เป็น บางคนเจอผมตีเข่าเข้าไป ถึงกับกลับบ้านไม่เป็นเลยทีเดียว
ภาพโดย : อ.วิโรจน์ สายดนตรี
เหมือนกลับมาอยู่ที่เดิมยังไงไม่รู้ คนเดิมๆ ที่เดิมๆ มีสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไป คือเวลา……
ประมาณเกือบสี่เดือนที่ผ่านไป ได้เงินส่งบ้านตามที่คิดไว้ แต่ก็ยังไม่พออยู่ดี ความคิดของผมในช่วงนั้น อยากหาจุดเปลี่ยนอะไรบางอย่างแต่ไม่รู้จริงๆ ว่ามันคืออะไร
ผมถามไดน่าว่าอาเทียรไปไหนรู้ไหมไม่เห็นหลายวัน เธอไปตามมาให้ ผมบอกอาเทียรว่า ผมอยากมีรายได้เพิ่ม ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ถูกจับกลับเมืองไทย ช่วยฝากผมไปทำงานกับคนที่เธอรู้จัก เพราะผมรู้ว่าเธอฝากได้ อาเทียรรู้จักคนเยอะกว่าไดน่า ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกมาเฟียกลุ่มต่างๆ ที่เธอเป็นเด็กในคาถาของพวกมัน
ผมยังนอนส่วนใหญ่ที่บ้านไดน่าเพราะรู้สึกปลอดภัย บางวันไปนอนบ้านอาเทียรบ้าง แต่ก็น้อยเพราะเธอชอบล่องหนอยู่เรื่อยๆ
งานที่อาเทียรฝากให้ผมทำคือ งานไปทวงหนี้กับลูกหนี้ต่างๆ ของยากูซ่า เวลาไปก็จะมีคนไปด้วยหลายๆ คน มีคนทำหน้าที่เจรจา ไอ้ผมก็คอยยืนคุมเชิง พวกมันก็จะอ้างไปโม้ไปว่าผมเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มีข้ออ้างอันหนึ่งที่พวกมันชอบใช้ คือพูดไปว่าผมเป็นนักมวย เป็นคนไทยซึ่งมันก็ได้ผล เคยไปทวงคนไทยด้วยเป็นผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้ใช้ความรุนแรงอะไร ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่เกิดจากการพนัน และการกู้เงินเพื่อเดินทางมาทำงานที่ญี่ปุ่น
นอกจากคนไทยแล้ว ฟิลิปปินส์ก็เยอะเหมือนกันไม่แพ้คนไทย สองสามวันก็มีงานแบบนี้ครั้งหนึ่ง การไปทำงานแบบนี้จะได้เงินค่าตอบแทนประมาณ สองพันถึงสามพันบาทไทย เวลาผมรับเงินเป็นเงินเยน ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นเงินไทยเท่าไหร่ พอกลับถึงบ้านก็จะมาถามไดน่ากับอาเทียรว่าเป็นเงินไทยเท่าไหร่ พอรู้แล้วจะฝากไดน่าไว้ทุกครั้ง
ไม่ราบรื่นเหมือนเดิม การทวงเงินมีปัญหาจนได้ ครั้งนั้นไปกันสี่ห้าคน จำได้ว่าอยู่ใจกลางเมืองเลย สถานที่เหมือนซาวน่าบ้านเรา ที่นั่นน่าจะเรียกว่าออนเซน เข้าไปข้างในจะมีบ่อน้ำเย็นกับบ่อน้ำร้อน สองบ่อใหญ่ๆ มีคนในนั้นมีประมาณ 20 กว่าคน มีแต่ผู้ชายไม่ใส่เสื้อผ้า อย่างมากก็มีผ้าขนหนูนิดหน่อย
เดินเข้าไปพูดจากันแค่สองสามคำ ไม่ทันไรคนที่ไปกับผมโดนรุม ผมเข้าไปช่วย ต่อยกันชุลมุนไปหมด คนที่ไม่เกี่ยววิ่งหนีออกไปข้างนอก ที่เหลือมีแต่คู่กรณีของทั้งสองฝ่าย ข้างผมมีห้าคน ลูกหนี้มีเพื่อนมาด้วยรวมสิบกว่าคนมีแต่ตายกับตาย ผมถูกถีบตกน้ำเป็นบ่อน้ำร้อน โอ้โห ร้อนมาก ปีนขึ้นจากบ่อวิ่งตามหาไอ้คนที่ถีบผม เชื่อไหมใจผมตอนนั้น คนอื่นผมไม่สน หาแต่ไอ้คนที่ถีบผมคนเดียวเท่านั้น อัดมันซะน่วม สภาพในตอนนั้นเละมากๆ มีการใช้เก้าอี้แก้วน้ำขวดขว้างกันด้วย ต่างคนต่างเหนื่อยและเจ็บตัวด้วย ก็เลยเลิกลากันไป
เจ็บมากเหมือนกันครั้งนั้น โดนทุบที่หัวข้างหลัง ได้เงินค่าเหนื่อยสามพันบาทไทย ผมปวดหัวมากอยู่หลายวัน ไดน่าจะพาไปหาหมอผมก็ไม่ไป นอนๆๆๆ ทั้งวัน ไปส่งไดน่าที่โรงเรียน ก็กลับมานอนกินยาแก้ปวด หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์ แบบนี้อยู่เรื่อยๆ แต่มันไม่ตกบ่อน้ำร้อนแบบครั้งนั้น ผ่านเรื่องแบบนี้บ่อยๆ มันทำให้เรามองเรื่อความรุนแรงเป็นเรื่องธรรมดา
คนที่จ้างวานผมก็พอใจในผลงานกับความรับผิดชอบของเรา ให้งานมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีแค่ไปเดินตามก็ได้เงินใช้แล้ว
คนญี่ปุ่นที่ผมเห็นแม้จะเป็นสังคมของนักเลงและพวกอันธพาล แต่ก็ไม่มีอาวุธพกพาไปผมถึงไม่ค่อยกลัว คนญี่ปุ่นเตะไม่เป็น ถ้าเตะเป็นก็เตะไม่สูง ตีเข่าก็ไม่เป็น บางคนเจอผมตีเข่าเข้าไป ถึงกับกลับบ้านไม่เป็นเลยทีเดียว
อาเทียรชวนผมไปโอซาก้า บอกผมว่าเธอต้องไปทำงานที่นั่น จะหางานให้ผมทำรายได้ดี เธอบอกว่าจะคุยกับไดน่าเอง เธอจะรับรองเรื่องการโดนจับว่าไม่โดนแน่ ผมตัดสินใจไปเพราะอยากได้เงินเพิ่มมากขึ้นการตัดสินใจในครั้งนั้น ทำให้ผมได้เงินก้อนใหญ่ส่งไปเมืองไทย ส่วนไดน่าเหมือนเดิม ยังไงก็ได้ ไอ้ผมก็เหมือนเดิม ขอทิ้งของทุกอย่างไว้ที่บ้านไดน่าก่อนเผื่อพลาดพลั้งจะได้กลับมา
อ่านญี่ปุ่นในมุมมืดทั้งหมด คลิ๊ก >>> ญี่ปุ่นในมุมมืด