ทำงานกับญี่ปุ่น … เบคาราสุ (べからず) ไม่ถึงห้าม แต่อย่าทำดีกว่า
เบคาราสุ べからず Bekarazu เป็นศัพท์ตรงกันข้ามกับคำว่า เบคิ べき Beki ซึ่งเบคิ จะแปลว่า ควร
ดังนั้นถ้าเข้าใจง่ายๆ หากญี่ปุ่นบอกว่า เบคาราสุ (หรือถ้าเป็นภาษาพูดจะบอกว่า べきではない Beki de wa nai) ก็คือ ไม่ควร นั่นเอง
เขียนมาขนาดนี้ ผู้อ่านยังนึกภาพไม่ออก… งั้นเด๋วผมจะเล่านิทานแสนสยอง ไม่สิแสนสนุกให้ฟัง
กาลครั้งหนึ่งไม่ค่อยนานมาก… แต่ก็หลายสิบปีแล้ว
มีคนไทยกลุ่มนึง ที่พูดสื่อสารกับคนญี่ปุ่นได้ และอาสามารับงานทำงานในบริษัทญี่ปุ่น ทั้งในไทย ในญี่ปุ่นและในทุกมุมโลก ที่มีธุรกิจ (เงิน)
คนกลุ่มนั้น ตอนแรกๆ ก็เชื่อว่าพูดอ่านเขียนภาษาญี่ปุ่นได้ดีแล้ว จะ N1 N2 อะไรก็ผ่านมาหมด น่าจะทำงานกับคนญี่ปุ่นได้ดีงาม
พวกเขา รวมถึงตัวผมอ่านหนังสือญี่ปุ่น มาระดับนึง
แต่การทำงานในบริษัทญี่ปุ่น ยิ่งเป็นบริษัทที่มีตำนาน ประวัติศาสตร์อันยาวนานจากแดนอาทิตย์อุทัย เมื่อเหล่าจอมทัพซามุไรยกมาถึง แดนสยามนอกจากพวกเขาจะพกความรู้ ระบบอันเป็นอาวุธมาที่นี่แล้ว พวกเขายังพกหลักการ วิธีทำงานอันถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสไตล์เจแปนมาด้วย
เรื่องที่คนไทยหลายๆ คน รวมถึงตัวผมเอง มักจะพลาดเรื่องแรกๆ คือ เรามักจะลืมไปว่า คนญี่ปุ่นเขาขี้กลัวกว่าเรา… หัวหน้าเหล่าเจแปนจะพ่นไฟขึ้นมาทันที หากเขาทราบว่ามีปัญหาเกิดขึ้น และเขาไม่รู้ ทั้งๆที่ลูกน้องอย่างเรารู้ไปแล้ว
“ทำไมไม่บอกผม ว่า interface file ส่งไม่ได้เมื่อ EOD (End Of Day)” หัวหน้าญี่ปุ่น แปลงร่างเป็นมังกรไฟ คำรามขึ้นมาตอน แปดโมงเช้าวันอังคาร (เสียดายเจ้านายเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ปามมี่)
“ผมทราบตอนตีสองครับ แต่ผมเชื่อว่า เราเอาไฟล์มาแก้ manual ตอนเช้าก่อน ระบบเปิดได้ ผมเลย…”
“ลูกค้า ถามผมขึ้นมาแล้วผมตอบไม่ได้ ผมจะมั่นใจยังไงว่าปัญหาจะจบทันก่อนระบบเริ่ม ถ้ามันพลากขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ คุณจำไว้นะ Bad News must come first”
ในหลายๆ ครั้งถึงแม้เราจะมั่นใจว่าปัญหานั้นๆ “เราเอาอยู่” ญี่ปุ่นไม่ได้ต้องการแค่การแก้ปัญหาที่รวดเร็วและทันการ แต่สิ่งที่คนญี่ปุ่นต้องการคือการ รายงานปัญหาที่แม่นยำและรวดเร็ว…
พวกเราหลายๆ คน บางทีไม่คิดจะบอกปัญหาหัวหน้าเพราะเกรงว่าจะส่งผลกับ performance ตัวเอง บางทีเราพยายามจะบอกผลงานดีๆ ของเรา (Good News) เพื่อโชว์ว่าเราเจ๋ง แต่สิ่งที่ญี่ปุ่นจะกริ้วมากคือ Bad News ดันไม่บอกเขา ดังนั้นเลยอยากจะบอกว่าหากคิดจะเก็บซ่อนปัญหาเอาไว้ และถ้าเจ้านายเจแปนทราบเข้า… คุณจะโดนสวดยับ ราวกับโดนมนต์กฤษณะกาลี
ผมยังจำเช้าวันนั้นได้ดี มังกรไฟเจแปนพ่นพายุไฟใส่ผม จนเหมือนผมจมดิ่งโดนจนแทบจะเห็นกะทะทองแดงอยู่แล้ว…
ยังๆ หัวหน้าญี่ปุ่นของผมยังสอนอีกเรื่องที่มีประโยชน์มากๆ คือเวลาเจอปัญหา แล้วต้องรายงาน… จะรายงานอะไรก่อน!?
A.สาเหตุปัญหา (Root Cause)
B.วิธีแก้ปัญหา (Solution)
C.ผลกระทบปัญหา (Impact Severity)
D.แล้วแต่กรณี แล้วแต่เรื่อง (Case by Case)
ตอนผมยังเด็กๆ เวลาเจอปัญหา ผมมักมุ่งไปที่สาเหตุของปัญหา ซึ่งความจริงแล้ว จะญี่ปุ่น ฝรั่งหรือใครก็ตาม เหล่าหัวหน้าจะสนใจผลประทบของปัญหามากกว่า
ผมยังจำได้ดี ในเช้าวันศุกร์…หลายปีที่แล้ว หัวหน้าตะโกนข้ามจากมุมซ้าย ไปขวาของ floor ว่าจงไปหาจำนวน account ทั้งหมดจะเจอปัญหา จากเหตุการณ์ ที่module TCH Connection พัง… พร้อมทั้งต้องหาด้วยว่า มันกระทบถึงขึ้นไหน แค่เมล์ส่งไม่ได้ ทำรายการไม่ได้ หรือรีพอร์ตออกผิด
“อย่าโทรศัพท์ วิ่งลงไปถาม system develop team เลย วิ่งเด๋วนี้ วิ่ง วิ่ง วิ่ง ”
คราวนี้ ผมเลยต้องวิ่งราวกับวิ่งหนี ก็อตซิลล่าพ่นไฟ โอว แม่เจ้า… นี่กูทำงานในบริษัท หรืออยู่ค่ายฝึกทหารวะนี่…
โชคดีที่ผมวิ่งถึงแค่หน้าลิฟท์พอ ไม่ต้องวิ่งลงบันไดหนีไฟ
แต่สิ่งเหล่านี้ เป็นคอนเซปท์ วิธีการทำงานสไตล์ประเทศเขาจริงๆ … อาจจะดูกดดัน สยองนิดๆ แต่ผลสุดท้ายคือ การถูกยอมรับในมาตรฐาน Made in Japan
นิทานนี้สอนให้รู้ว่า… ท่านผู้อ่าน อาจจะลองไม่ทำก็ได้ จะรายงานข่าวร้ายให้น้อย หาผลกระทบปัญหาหลังแก้ปัญหาเจอก็ได้… แต่โดยความเห็นส่วนตัวของผม
เบคาราสุ (べからず) ไม่ถึงห้าม แต่อย่าทำดีกว่า ^^
คนญี่ปุ่น ในหลักการ DNA ของการทำงานพวกเขา ถึงวันนี้ก็เป็นเช่นนี้แล ไม่ต้องปรับแต่ขอให้เข้าใจ
เรื่องแนะนำ :
– (13+) In my memory หญิงเหล็ก working woman เจแปน
– ชื่อ (ไฟล์และโฟลเดอร์) นั้นสำคัญไฉน?
– นิทาน “48”
-The Darkest hours : ท้อได้แต่อย่าป่วย อย่าตาย และงานต้องเสร็จ
– [Based on True Story] The Nengajo ขอบคุณที่โลกนี้ มี ส.ค.ส
ขอบคุณรูปภาพ : http://www.abc.net.au/news/2015-06-11/japanese-worker-looks-frustrated-at-the-tse/6536918