แรงบันดาลใจจากอามะจัง...“อามะจัง” คือซีรีย์ญี่ปุ่นน้ำดีที่เราไม่อยากให้ทุกคนพลาด และรับประกันได้เลยว่านอกจากความสนุกแล้ว เราจะได้อบอุ่นหัวใจ และรู้สึกอยากที่จะโอบประคองความฝันของเราให้แข็งแรง และกล้าที่จะเดินทางเพื่อไขว่คว้ามันอย่างสุดความสามารถอย่างแน่นอน
สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นแกนหลักในการดำเนินเรื่องอามะจังนั้น สำหรับผมแล้วคงหนีไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่า “ความฝัน” และ “ความคาดหวัง”
ไม่ว่าจะเป็นความฝันที่จะให้ลูกตนเองสืบทอดอาชีพอามะ, ความฝันที่จะเห็นเมืองเจริญเติบโต, ความฝันที่จะให้รถไฟเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของชุมชน, ความฝันที่จะให้อาหารท้องถิ่นมีชื่อเสียง, ความฝันที่จะเจออำพันแสนงาม, ความฝันที่จะเป็นไอดอล หรือแม้แต่ความคาดหวังที่จะได้เป็นที่รัก ทั้งหมดทั้งสิ้นได้ถูกหลอมรวมและถ่ายทอดออกมาผ่านซีรีย์อามะจังอย่างลงตัว
แน่นอนว่าเมื่อมีความฝันแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ “แต่ละคนมีวิธีไปถึงความฝันของตนเองอย่างไร?” ซีรีย์เรื่องนี้มีแก่นสำคัญอยู่อย่างหนึ่งก็คือการที่ฮารุโกะ (แม่ของอากิ) ต้องการไปเป็นไอดอลที่โตเกียว จึงปฏิเสธการเป็นอามะ ซึ่งก็นำไปสู่การได้พบกับคนขับแท็กซี่คนหนึ่ง จนกลายมาเป็นคุณพ่อของอากิในเวลาต่อมา อันถือเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ตอนนั้นฮารุโกะเป็นคนที่มีความฝัน ทุกคนในท้องถิ่นรู้ว่าเธอมีความสามารถ เธอคือคนดังของเมือง เป็นสาวป๊อบที่หนุ่ม ๆ หมายปอง และทุกอย่างเหมือนจะดีถ้าเรามองกันในภายนอก แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร?
ฮารุโกะเริ่มรู้สึกว่าตนเองอยู่ห่างไกลจากทุกคนไปเรื่อย ๆ มิตรภาพต่าง ๆเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นหอกดาบบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกว่าภายใต้รอยยิ้มเหล่านั้น เธอกลายเป็นเครื่องมือที่ทุกคนเลือกจะใช้งานตามใจชอบ โดยไม่มีใครสนเลยว่าแท้จริง ความฝันของเด็กสาวอย่างเธอคืออะไร?
เธอต้องพยายามเองด้วยตัวคนเดียว ตัดสินใจฝืนทนจากครอบครัวไปด้วยความรู้สึกที่สับสน ตรงส่วนนี้ผมมองว่าแม้เธอจะมีเป้าหมายอะไรที่แน่วแน่ แต่มันก็ไม่ได้เป็นการจากลา หรือเป็นการเดินตามความฝันที่สวยงามเลย และไม่แน่ว่าการเดินทางในครั้งนั้นของเธออาจจะดีและประสบความสำเร็จกว่านี้ก็ได้ หากสังคมรอบตัวเธอเต็มไปด้วยคนที่สนับสนุนอย่างจริงจังและเข้าใจ
เรื่องราวค่อนข้างจะมาซ้ำรอยกันอีกครั้งในกรณีของอาดาจิ ยุย สาวสวยของเมืองที่มีความฝันในการไปเป็นไอดอลที่โตเกียว และมักจะดวงตกจนพลาดโอกาสไปโตเกียวอยู่ทุกครั้ง เธอคือตัวอย่างของคนที่มีความฝันและพยายามทุกอย่างที่จะไปอยู่จุดนั้น เธอวางแผนแม้กระทั่งการแต่งตัว การวางตัว ตลอดจนรายละเอียดปลีกย่อยที่เธอมั่นใจมากว่าเธอจะเอาตัวรอดในสังคมที่เธอใฝ่ฝันแต่ไม่เคยรู้จักมาก่อนได้แน่ ๆ
อย่างไรก็ตามเธอถูกปฏิเสธกลาย ๆ จากคนในเมือง เพราะเธอและอากิคือคู่หูที่เรียกแขกเข้าเมืองได้มากที่สุดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ คำพูดต่าง ๆ ถูกหยิบยกเข้ามาให้เห็นว่าการที่พวกเธออยู่ในเมืองนั้น จะเป็นประโยชน์อย่างไรบ้าง ซึ่งแน่นอน มันล้วนเป็นเรื่องที่ดีและเป็นประโยชน์ แต่ถ้ามองในมุมกลับกันสิ่งที่พวกเขาพูดทำให้ “ความฝัน” ของพวกเธอนั้นกลายเป็นสิ่งที่เล็กเหลือนิดเดียว…
ดังนั้นสุดท้ายเรื่องราวก็ค่อย ๆ กลับไปซ้ำรอยเดิม เด็กสาวทั้งสองก็พยายามคิดหาทางหนี และถ้ามันสำเร็จทุกอย่างก็อาจจะไม่เหมือนเดิม คนในชุมชนจะโกรธพวกเธอรึเปล่า? พวกเธอจะเอาตัวรอดยังไงเมื่อรู้ว่าหันกลับไปหามิตรสหายเดิม ๆ ไม่ได้แล้ว? ภาพของฮารุโกะในอดีตก็จะลอยมาหาเราทันที และมันเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับความเป็นชีวิต… ชีวิตที่เป็นเพียงเด็กสาวสองคนผู้มีความฝันเท่านั้นเอง
สุดท้ายแล้วสำหรับตัวของอากิ หลาย ๆ อย่างอาจจะเข้าทางอยู่บ้าง มากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับโชคชะตาของยุย อากิมีโอกาสได้เป็นไอดอล มีโอกาสได้ทำงานในสื่อโทรทัศน์ต่าง ๆ แต่นั่นก็เกิดขึ้นหลังจากเธอได้ต่อสู้กับความคิดของฮารุโกะ บุคคลผู้บาดเจ็บจากความฝันที่ล้มเหลวเมื่อครั้งในอดีต สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าสุดท้ายแล้วพ่อแม่หลาย ๆ คน ก็เลือกจะตัดสินใจให้ลูกจากความเห็นแก่ตัวลึก ๆ อย่าง “ความกลัว” ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ของตนเองด้วยซ้ำ
พ่อแม่ส่วนใหญ่พยายามจะเลือกให้เด็กเป็นไปได้ทิศทางที่ตนเองคาดหวัง จนอาจกล่าวได้ว่าความคิดหวังของเด็ก ๆ หลายคนในปัจจุบัน ไม่เคยมีค่าอะไรมากเหนือไปกว่าการตัดสินใจของผู้ปกครองเลย และการประสบความสำเร็จของอากิที่พูดกันตรง ๆ ว่าอาจจะไม่แฟร์เท่าไรนัก หากเทียบกับยุยจังที่ใฝ่ฝันถึงเรื่องนี้มาก่อน ตลอดจนเตรียมตัวเพื่อไล่ตามความฝันนี้อย่างจริงจังมาก่อน นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ทุกคนจะต้องพบเจอ เมื่อต้องต่อสู้และพยายามเพื่อตามล่าหาความฝัน ซึ่งบางครั้งมันอาจจะเหน็ดเหนื่อยและทำให้ท้อ ดังนั้นการมีอยู่ของคนที่เข้าใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ และยิ่งไปกว่านั้นคือการเชื่อมั่นเสมอว่าเราจะต้องทำให้ได้ และไม่ให้ใครพรากความฝันนั้นไปจากเราอย่างเด็ดขาด
สุดท้ายอย่าลืมว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีความทรงจำเสมอ และปฏิเสธไม่ได้ว่าความทรงจำ คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เราเป็นเราอยู่ในทุกวันนี้ ในเพลง Shiosai No Memory ก็พูดเอาไว้ว่าความทรงจำในช่วงที่เป็นหญิงสาว (อายุ 17) นั้น แปรปรวนและสั่นไหวดั่งคลื่นที่ซัดสาด … ดังนั้นเราต้องพยายามจัดการกับตัวเอง ไม่ให้ความทรงจำกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายทั้งตนเอง หรือนำไปทำร้ายคนอื่น ให้เขาต้องมาชดใช้ในความเห็นแก่ตัวของเราไปด้วย
ย้ำอีกครั้งว่า “อามะจัง” คือซีรีย์ญี่ปุ่นน้ำดีที่เราไม่อยากให้ทุกคนพลาด และรับประกันได้เลยว่านอกจากความสนุกแล้ว เราจะได้อบอุ่นหัวใจ และรู้สึกอยากที่จะโอบประคองความฝันของเราให้แข็งแรง และกล้าที่จะเดินทางเพื่อไขว่คว้ามันอย่างสุดความสามารถอย่างแน่นอน
เรื่องแนะนำ :
– การตายของ Rikidozan การฆาตกรรมปริศนาครั้งแรกของวงการมวยปล้ำญี่ปุ่น
– วงการหนังสือญี่ปุ่นเป็นอย่างไร
– อาชีพนักมวยปล้ำที่ญี่ปุ่นสามารถเลี้ยงตนเองได้หรือไม่?
– Ichigaya Memorial Clinic สังเวียนมวยปล้ำที่เล็กที่สุดในโลก
– “กรรมการมวยปล้ำ” ผู้ปิดทองหลังพระที่แท้จริง