British Museum…คอนเซปต์ของโซนญี่ปุ่นนี้มีอยู่ว่า “ต้องการให้คนได้เห็นถึงภาพรวมของความเป็นญี่ปุ่น วัฒนธรรมต่างๆที่ทำให้ญี่ปุ่นเป็นญี่ปุ่นจนทุกวันนี้” ดังนั้นเราจะได้เห็นสิ่งของโบราณที่ย้อนไปถึง 13,500 ปีก่อนคริสตกาล คือญี่ปุ่นในยุคบุกเบิก ตั้งแต่ยังไม่เป็นญี่ปุ่นด้วยซ้ำ ไล่มาจนถึงปัจจุบัน ผ่านการติดต่อค้าขาย สงคราม ตลอดจนศิลปะที่ล้วนสะท้อนให้ถึงการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยเป็นอย่างดี
เนื่องด้วยตอนนี้ผมมาร่วมงาน London Book Fair ที่ลอนดอนครับ และก็ได้เจอหนังสือญี่ปุ่นที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ระหว่างการเรียบเรียงเนื้อหาก่อนที่จะนำมาเล่าให้ทุกคนได้อ่านกันในอีกไม่นานนี้ แต่ระหว่างที่กำลังเรียบเรียงอยู่นั้นผมก็มานั่งคิดว่า ไหนๆมาลอนดอนทั้งที ก็อยากจะลองแวะไปที่ British Museum ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เชิงประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุดในโลกดูบ้าง เพราะนอกจากจะได้เห็นสิ่งของหายากมากมายแล้ว ยังมีโซนญี่ปุ่นที่ว่ากันว่ารวบรวมเอาไว้ได้อย่างครบทุกยุคทุกสมัย ดังนั่้นคราวนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่เราจะพาผู้อ่านทุกคนไปชม “โซนญี่ปุ่น” ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้กันครับ
โซนญี่ปุ่นนั้น จะตั้งอยู่ในบริเวณห้องที่ 92 – 94 (สามห้อง) โดยถือว่าอยู่บนสุดของตัวอาคารครับ ต้องเดินทะลุหลายๆห้องจัดแสดงมากว่าจะถึงโซนญี่ปุ่น (แต่ก็สามารถขึ้นลิฟท์มาได้ในกรณีที่มีเวลาไม่มาก หรือไม่ค่อยสนใจโซนอื่น) ซึ่งถ้าเดินขึ้นบันไดมาก็จะเห็นป้ายตามภาพด้านบนนี้ พร้อมทั้งจะได้ยินเสียงคนญี่ปุ่นพูดคุยกันหนาหูพอสมควรครับ อนึ่งห้องนี้จัดทำขึ้นโดยงบประมาณสนับสนุนของมิตซุบิชิ และภาครัฐของญี่ปุ่นที่มีความประสงค์ที่จะรักษาสิ่งของทางประวัติศาสตร์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดและให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ซึ่งถือเป็นการใช้ประโยชน์จากประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุด โดยในโซนญี่ปุ่นนั้นจะแบ่งการจัดแสดงออกเป็นหลายๆยุคตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน (ผมมองว่าข้อมูลต่างๆ เป็นข้อมูล “คร่าวๆ” ที่ค่อนข้างครบทุกยุค เพียงแต่เหมือนเขาจะเลี่ยงเรื่องสงครามโลก ซึ่งหลายๆ คนคาดหวังว่าจะได้เห็นเรื่องราวมากกว่านี้)
คอนเซปต์ของโซนญี่ปุ่นนี้มีอยู่ว่า “ต้องการให้คนได้เห็นถึงภาพรวมของความเป็นญี่ปุ่น วัฒนธรรมต่างๆที่ทำให้ญี่ปุ่นเป็นญี่ปุ่นจนทุกวันนี้” ดังนั้นเราจะได้เห็นสิ่งของโบราณที่ย้อนไปถึง 13,500 ปีก่อนคริสตกาล คือญี่ปุ่นในยุคบุกเบิก ตั้งแต่ยังไม่เป็นญี่ปุ่นด้วยซ้ำ ไล่มาจนถึงปัจจุบัน ผ่านการติดต่อค้าขาย สงคราม ตลอดจนศิลปะที่ล้วนสะท้อนให้ถึงการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยเป็นอย่างดี
เมื่อเข้าห้องไปนั้น โซนแรกก็จะเป็นโซนญี่ปุ่นยุคก่อนประวัติศาสตร์ และก็จะมีรูปปั้นดินเผาคอยต้อนรับอยู่หน้าประตู รูปปั้นนี้ ระบุว่าเป็นรูปปั้นที่เอาไว้ใส่ในงานศพ เป็นเหมือนตัวแทนของผู้ตายที่จำลองแบบง่ายๆ เน้นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น (ในที่นี้ ส่วนใหญ่คือ “ทรงผม”) สาเหตุที่แท้จริงว่าทำขึ้นมาทำไมนั้นยังไม่มีการค้นพบอย่างชัดเจน แต่คาดว่าคงไม่ต่างอะไรจากรูปแบบของอียิปต์โบราณที่อาจใช้เป็นตัวแทนของผู้ตาย หรืออาจใช้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตหลังความตายก็เป็นได้
ภาพด้านบนนี้คือ “ระฆังโดตะกุ” มีความเก่าแก่ประมาณช่วง 200 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 20 ถือว่าหาชมได้ยากมาก ระฆังนี้ยังไม่มีการยืนยันอย่างชัดเจนว่ามีการนำไปใช้ตีหรือไม่ แต่สิ่งที่สามารถยืนยันได้ก็คือ ระฆังนี้ใช้งานในลักษณะของการเป็น “เครื่องราง”โดยกระบวนการผลิตนั้นใช้โลหะที่สั่งเป็นพิเศษจากจีน และเมื่อทำเป็นรูปทรงเสร็จแล้วก็จะนำไปฝังไว้ในละแวกที่ดินของตนเอง ว่ากันว่าใครที่ฝังระฆังนี้เอาไว้ จะช่วยให้ผลผลิตทางการเกษตรเจริญงอกงาม ประสบความสำเร็จในการเพาะปลูก เป็นต้น ระฆังเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าญี่ปุ่น (หรือดินแดนที่อยู่ในพื้นที่ของญี่ปุ่นในปัจจุบัน) ให้ความสำคัญกับการเกตรและถือเป็นวิถีชีวิตด้ังเดิมที่ยังคงสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
หม้อด้านบนนี้เป็นหม้อที่มีอายุกว่า 5,000 ปี (ประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นหม้อที่มีชื่อว่า “หม้อแห่งเปลวเพลิง” ได้แรงบันดาลใจมาจากเปลวเพลิงที่ลุกโชนและการไหลเชี่ยวของกระแสน้ำ โดยหม้อนี้ถูกค้นพบในบริเวณจังหวัดนิงาตะในปัจจุบัน อนึ่งหม้อนี้ได้รับการตรวจสอบว่า เป็นหม้อในสมัย “โจมง” ซึ่งถือเป็นญี่ปุ่นในยุคหิน (13,500 – 200 ปีก่อนคริสตกาล) ความสำคัญของหม้อใบนี้ก็คือ ในสมัยโจมงนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ใช้วิธีการถนอมอาหารเป็นหลัก เนื่องจากสมัยนั้นผลผลิตจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเวลาเปลี่ยนฤดูกาล จึงมีความจำเป็นที่ต้องกักตุนอาหารเอาไว้ให้เพียงพอ และหม้อใบนี้ก็จะเอาไว้เก็บอาหารจำพวกถั่วหรือธัญพืชต่างๆนั่นเอง อย่างไรก็ตาม หม้อใบนี้ค่อยๆหมดความนิยมลงไปเนื่องจากการเข้ามาของกลุ่มคนจีนที่นำความรู้ในเรื่องโลหะ มาทำให้ได้ที่เก็บที่มีคุณภาพมากกว่า รวมถึงคนจีนได้นำ “ข้าว” เข้ามาสู่ญี่ปุ่น ซึ่งข้าวนั้นสามารถเก็บไว้ได้นาน มีความแข็งแรงแม้ภูมิอากาศจะเปลี่ยนแปลงขนาดไหน ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้หม้อแห่งเปลวเพลิงนี้อีกต่อไป
ภาพด้านบนนี้ได้ชื่อที่แปลเป็นภาษาไทยว่า “ศาลเจ้าเคลื่อนที่” โดยจะมีลักษณะเป็นกล่องพับเล็กๆ ที่บรรจุรูปจำลองของเทพเจ้าประมาณ 30 องค์ ใช้สำหรับเคารพบูชา และได้รับความนิยมมากในยุคก่อนของประเทศญี่ปุ่น
สำหรับคนที่สนใจในเรื่องของซามูไรต่างๆ ก็ถือว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมีข้อมูลที่ค่อนข้างน้อยครับ เรียกว่ามีมาเพื่อแสดงให้เห็น “ภาพรวม” ของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นตามคอนเซปต์ที่กล่าวไว้ในข้างต้นมากกว่า อย่างไรก็ตามสิ่งของส่วนใหญ่ที่เห็นนั้น ล้วนเป็นของจริง และหาชมได้ยากยิ่ง ไล่มาตั้งแต่ดาบในสมัยก่อน หรือสินค้าจากพ่อค้าในสมัยก่อนที่เริ่มจากสร้างความไม่พอใจให้กับเหล่าซามูไร (พ่อค้าแม่ค้าหลายรายที่ร่ำรวยมาก มากจนมีมิตรสหายมากมาย และบางคนอาจจะมี “อำนาจ” มากด้วย ทำให้เหล่าซามูไรหลายๆคน ที่กว่าจะขึ้นตำแหน่งก็ยากมาก รู้่สึกไม่พอใจที่คนเหล่านี้ไม่ได้ทำอะไร ค้าขายเอากำไร และยังจะมีสิทธิ์มีเสียงทางสังคมสูงขึ้นเรื่อยๆอีก)
สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นก็คือ “ผู้ให้ความบันเทิง” (ผู้ให้ความบันเทิงผู้หญิง ก็คือ “เกอิชา” ที่ทุกคนรู้จักกันดี) ซึ่งในสมัยก่อนนั้นก็จะมีอยู่หลากหลายประเภท เช่นพวกที่แสดง “มันไซ” (Manzai) หรือละครแนวตลกที่เห็นได้เยอะในโอซาก้า ณ ปัจจุบัน หรือกระทั่งละครธรรมดา (ที่เล่นตั้งแต่ข้างถนนไปจนถึงโรงละครเฉพาะของตน) โดยภาพด้านบน แสดงให้เห็นถึง “สามซุปเปอร์สตาร์” ในญี่ปุ่นโบราณ โดยละครยอดฮิตในตอนนั้นคือละครคาบูกิเกี่ยวกับนักซูโม่ และตัวละครดังๆ ก็คือ
– (คนซ้ายสุด) ชื่อว่าดันจูโร่ เป็นดาราที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งยุค เป็นขวัญใจสาวๆ
– (คนกลาง) ชื่อ ทามิโซะ โอโนะ แสดงเป็นนักซูโม่ที่มีชื่อเสียงแห่งยุค
– (คนขวา) ชื่อ อิจากาวะ เอบิโซะ แสดงเป็นนักซูโม่เช่นกัน โดยเขาเป็นพ่อของดันจูโร่อีกด้วย
เราเรียกการแสดงเหล่านี้ว่าเป็น “โลกที่แสนอ่อนไหว” หรือจะเปรียบก็เหมือนที่เราเรียกยุคหนึ่งของไทยว่า “สายลมแสงแดด” คือเต็มไปด้วยความบันเทิง และสนใจเพียงสิ่งบันเทิงรอบตัวเท่านั้น ผู้คนในอดีตได้ให้คำจำกัดความถึงกลุ่มคนพวกนี้ว่า “สนใจเพียงตัวตนในปัจจุบัน หลงใหลไปกับแสงจันทร์ หิมะ และซากุระที่ร่วงหล่น ทำตัวเองให้พริ้วไหวดังสายน้ำ ล่องลอย ปล่อยใจไปตามกระแส ไม่ฝักใฝ่ต่อสิ่งใด”… นอกจากความสุขและความสำราญแล้ว พวกเขาไม่ต้องการอะไรเลย
ภาพด้านบนนี้คือภาพของ “โดทงโบริ” ที่โอซาก้าในปี 1947, (ใครที่คุ้นๆชื่อแต่ยังไม่แน่ใจ ที่นี่ก็คือที่ๆที่มีโฆษณากูลิโกะอันโด่งดังนั่นแหละ) ปีที่วาดภาพนี้นั้นคือช่วงเวลาเพียงไม่นานหลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลก ทำให้ญี่ปุ่นตกอยู่ในภาวะที่ยากลำบากถึงขีดสุด ในภาพนี้ศิลปินไม่มีสีให้วาดภาพ มีเพียงสีน้ำเงิน แดง และอื่นๆอีกนิดหน่อยเท่านั้น ศิลปินจึงพยายามวาดภาพนี้ออกมาให้ง่ายที่สุด ใช้สีให้น้อยที่สุด อย่างน้อยก็เพื่อสะท้อนให้เห็นความงามของโดทงโบริ ซึ่งเป็นเหมือนความสุขที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แสนยากลำบากนั่นเอง
ภาพนี้เชื่อว่าแฟนๆชาวไทยน่าจะรู้จักกันดี เพราะนี่คือภาพของ “เจ้าหนูอะตอม” ที่ถือว่าเป็นการ์ตูนที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเล่มหนึ่ง และมักถูกใช้เป็นตัวแทนของต้นกำเนิดการ์ตูนมังงะของญี่ปุ่น การ์ตูนมังงะมีที่มาจากการที่ญ่ี่ปุ่นแพ้สงครามโลก และหลายๆอย่างก็ถูกปิดกั้น อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ญี่ปุ่นกังวลที่สุดก็คือ “จินตนาการ” ของคนญี่ปุ่นนั้นกำลังถูกปิดกั้นตามไปด้วย ดังนั้นมังงะของญี่ปุ่นจึงเป็นเหมือนการตอบโจทย์ที่ได้ผลกับทุกๆอย่าง
“การ์ตูนทำให้ทุกจินตนาการเป็นจริง” เราจะวาดอะไรก็ได้่ลงไปในการ์ตูน จะให้อะไรเกิดขึ้นก็ได้ สิ่งเหล่านี้แหละที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนในรุ่นต่อๆไป และการนำวิทยาศาสตร์เข้ามาปะปนกับเนื้อเรื่องก็ทำให้ได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้หลายๆคนหันมาสนใจวิทยาศาสตร์อย่างจริงจังด้วยซ้ำ
“เราไม่มีเงินจะทำภาพยนตร์”อีกประเด็นก็คือ หลายๆ คนในตอนนั้นมีความฝันอยากทำภาพยนตร์ อยากทำสื่อต่างๆ แต่เมื่อญี่ปุ่นไม่มีทรัพยากรเพียงพอ ผู้คนก็เริ่มมองว่าเขาจะสูญเสียความรู้ไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นการ์ตูนจึงเป็นการแสดงฝีมือของคนญี่ปุ่น มีการใส่ความรู้สึก , ใส่มุมภาพต่างๆ ฯลฯ ทำให้การ์ตูนสะท้อนความต้องการของคนญี่ปุ่น จนปัจจุบัน ญี่ปุ่นมีอัตราการตีพิมพ์การ์ตูนมากที่สุดในโลก เฉลี่ย ในจำนวนหนังสือ 4 เล่ม จะมีการ์ตูน 1 เล่ม คิดเป็น 25% ของหนังสือทั้งหมด British Museum ตั้งอยู่ในใจกลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ชั้นนำของโลกที่รวบรวมสิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมายอย่างที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น ทั้งจากยุโรป อเมริกา และเอเชีย ย้อนไปจนถึงหลายหมื่นปีก่อนคริสตกาล เป็นแหล่งความรู้สำหรับทุกเพศทุกวัย และที่สำคัญ ทุกคนสามารถเข้าชมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เราสามารถสัมผัสได้ถึงความตั้งใจและความจริงจังของผู้จัดทำ ดังนั้นหากมีโอกาส เราอยากให้ทุกคนได้แวะเวียนไปที่พิพิภัณธ์แห่งนี้ครับ
หากมีคำถามหรืออยากพูดคุย ก็สามารถ inbox มาทางเพจของเราได้ หรือติดต่อทางทวิตเตอร์ @pumi_gtmv ครับ
พบกับใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– การกลับมาของ Fire Pro Wrestling ซีรีย์เกมมวยปล้ำที่ดีที่สุดตลอดกาล
– การกลับมาของ Fire Pro Wrestling ซีรีย์เกมมวยปล้ำที่ดีที่สุดตลอดกาล
– การมาเยือนเมืองไทยของดัมพ์ มัตสึโมโตะ
– Toudoukan ร้านขายสินค้ามวยปล้ำที่เจ๋งที่สุดในญี่ปุ่น
– Sahara Glass Park : มาลองทำแก้วกันเถอะ!