ไซตามะ … ใครๆ ก็มองข้าม ด้วยความที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงอย่างกรุงโตเกียวเกินไป เดินทางแค่ 20 – 30 นาทีก็ถึง …ใครคิดแบบนี้… ขอบอกว่าคุณจะเสียใจ!! เพราะไซตามะ จังหวัดใกล้ๆ เนี่ยแหล่ะ จะกลายเป็นใกล้เกลือกินด่าง เพราะนางมีอะไรน่าสนใจให้เราได้ค้นหาอยู่เพียบ!! ว่าแล้วทริปนี้ เราไปบุกไซตามะกันค่ะ!
“ไซตามะ” ใครๆ ก็มองข้าม ด้วยความที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงอย่างกรุงโตเกียวเกินไป เดินทางแค่ 20 – 30 นาทีก็ถึง …
ใครคิดแบบนี้… ขอบอกว่าคุณจะเสียใจ!!
เพราะไซตามะ จังหวัดใกล้ๆ เนี่ยแหล่ะ จะกลายเป็นใกล้เกลือกินด่าง เพราะนางมีอะไรน่าสนใจให้เราได้ค้นหาอยู่เพียบ!! ว่าแล้วทริปนี้ เราไปบุกไซตามะกันค่ะ!
เราเริ่มต้นทริปสวยๆ ด้วยการนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบินฮาเนดะค่ะ ตื่นขึ้นมาเจอวิวภูเขาไฟฟูจิแบบนี้!! โชคดีจริงๆ ที่เลือกนั่งริมหน้าต่างฝั่งซ้ายของเครื่อง กดชัตเตอร์ถ่ายรูปเพลินทีเดียว … ถึงจะเมาขี้ตาไปบ้าง แต่มองยังไง วิวฟูจิมุมนี้ก็เท่จริงๆ เนอะ (^^)
วันแรกของการเดินทาง … เราขอไปเที่ยวแบบเบาๆ ที่เมืองโอมิยะ (Omiya City) ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของจังหวัดไซตามะ (Saitama Prefecture) กันก่อน
ถ้าจะพุ่งตรงจากสนามบินฮาเนดะ มุ่งหน้าสู่สถานีโตเกียว เพื่อต่อรถไฟไปยังไซตามะอย่างเราเลย ก็นั่ง Tokyo Monorail มาลงที่สถานี Hamamatsucho แล้วต่อสาย JR Yamanote ไปลงสถานีโตเกียวได้ ราคาแค่ 650 เยน (490 เยน+160 เยน) ใช้เวลาประมาณ 40 – 50 นาที แล้วถ้าจะนั่งหวานเย็น JR Utsunomiya ไปลงสถานีโอมิยะ ก็จ่ายแค่ 550 เยน ใช้เวลา 35 นาทีก็ถึง (เร็วกว่าเราเดินทางมาจากสนามบินอี๊กกกก) แต่ถ้าเพื่อนๆ คนไหนชอบสายด่วน ก็จัด Shinkansen ไปเลยจ้า จ่ายค่า reserved seat เพิ่มไปอีก 2,370 เยนก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องลุ้นเรื่องที่นั่ง หึ หึ รวมแล้วประมาณ 2,920 เยน ท่านจะไปถึงเร็วขึ้นอีก 10 นาที (เอง) เพราะมันอยู่ใกล้โตเกียวแบบสุดๆ ไงล่ะ …ใครว่าโยโกฮาม่าใกล้โตเกียวนักหนา ไซตามะใกล้กว่าอีก เหอๆ
สถานีโอมิยะ ถือเป็นประตูสู่จังหวัดไซตามะ (Saitama Prefecture) เป็นสถานีใหญ่ ใช้เชื่อมต่อการคมนาคมต่างๆ ในจังหวัดนี้ ทั้งรถไฟท้องถิ่น ชิงกันเซน รถไฟเอกชน รวมไปถึง New Shuttle Line ที่ใช้เดินทางภายในเขตโอมิยะเองด้วย นอกจากนี้สถานีโอมิยะยังเป็นจุดเชื่อมต่อสู่จังหวัดอื่นๆ ข้างเคียง อาทิจังหวัดนีงาตะ (Niigata Prefecture) และจังหวัดนางาโนะ (Nagano Prefecture) ได้อีกด้วย ถือว่าเป็น Hub ที่สำคัญจุดหนึ่งทางภาคตะวันออกของเกาะฮอนชูเลยทีเดียว
ภายในจึงมีบริการของบริษัทรถไฟต่างๆ ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว รวมไปถึงห้างสรรพสินค้า จึงผู้คนเดินเข้าเดินออกมาใช้บริการสถานีแห่งนี้วันละหลายแสนคน
ในละแวกนี้เราเคยมาบางจุดแล้ว อย่างเพื่อนๆ หลายคนที่มาไซตามะ ก็มักจะมุ่งหน้าสู่สถานีคาวาโกเอะ ซึ่งเป็นจุดหนึ่งที่เราเคยมาแล้ว >> https://www.marumura.com/visit-gunma-niigata-saitama-5/
และคราวนี้เราจะไม่ซ้ำ! แต่จะไปซ้ำที่อื่น นั่นคือ ศาลเจ้าฮิคาวะ (Musashi Ichinomiya Hikawa Jinja*) และพิพิธภัณฑ์รถไฟ อิ อิ
เหตุที่อยากมาซ้ำที่นี่มาก ก็เพราะคราวก่อนมาในตอนที่ฝนตก อากาศไม่ค่อยดี (แต่ตอนนั้นเราก็ชอบอยู่นะ บรรยากาศแปลกตา ดูขลังมากๆ) แถมเป็นเวลาช่วงเย็นมากแล้ว วันนั้นเลยแอบอธิษฐานไว้ว่า อยากมาที่นี่อีกครั้งในวันที่อากาศดีๆ พรสัมฤทธิ์สิคะ เพราะคราวนี้ แดดดี (ไปนิด) พระอาทิตย์จัดเต็มมาเชียวค่าาาาา
*ไม่ลืมกันใช่ไหมคะว่า คำว่า “Jinja” เป็นหนึ่งในคำเรียกศาลเจ้าของชาวญี่ปุ่น หรือที่แปลว่า “shrine” นั่นเอง ^^
จากหน้าสถานีโอมิยะ ถ้าเป็นสายชิลอย่างเราก็สามารถเดินมาที่ศาลเจ้าได้นะคะ เดินข้ามถนนตรงไปเรื่อยๆ ประมาณ 4 ไฟแดง เราจะเจอกับถนนที่ทอดตัวตรงสู่ศาลเจ้าฮิคาวะ ความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร โดยนอกจากศาลเจ้าแห่งนี้จะถือว่าเป็นศาลเจ้าที่มีความเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นแล้ว เจ้าถนนที่มุ่งสู่ศาลเจ้าซึ่งถูกเรียกว่า Hikawa Sando นี้ ยังถือเป็นทางเดินสู่ศาลเจ้าที่ยาวที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน สองข้างทางมีต้นไม้อายุนับร้อยยืนต้นตระหง่าน และมีโคมไฟโบราณตั้งเรียงรายไปตลอด เป็นถนนที่ร่มรื่นมากทีเดียว เดินชมนกชมไม้ไปค่ะ ไม่มีร้อน
ก้าวข้ามเสาโทริอิหน้าศาลเจ้าเข้าไปแล้ว และตามธรรมเนียม ก็ต้องชำระล้างร่างกายและจิตใจก่อนเข้าพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า
ดังนั้นก็ล้างมือซ้าย ล้างมือขวา บ้วนปาก ทำความสะอาดกระบวย ล้างให้จบด้วยน้ำกระบวยเดียว ใครไม่แน่ใจในวิธีปฏิบัติ รู้สึกข้องใจว่าจะต้องล้างอะไร ยังไงบ้าง ก็ดูกระบวนการในรูป ที่ทางศาลเจ้าเขาแปะไว้ก็ได้นะคะ
พร้อมแล้วก็ก้าวเท้าผ่านประตูโรมง (Romon Gate) ประตูหลักของศาลเจ้านี้เข้าไป ถ้าสังเกตให้ดีๆ ประตูโรมงสีโดดเด้งนี้ มีความสำคัญนะ
ที่เมืองโอมิยะนี้ ใช้สีส้มนี้เป็นสีสัญลักษณ์ประจำทีมฟุตบอล (ทีมบอลของที่นี่เขาก็ดังระดับนึงเลยนะ) แล้วมื้อกลางวันที่เราจะไปกินกันหลังจากนี้ ชื่อว่า “นาโปลิตัน” ก็เป็นพาสต้า ที่คลุกเคล้าเข้ากับซอสมะเขือเทศจนได้สีส้มๆ กลายเป็นเมนูบีคิวประจำเมืองนี้ กล่าวกันว่ากิมมิคอย่างหนึ่งของเมนูนี้ก็คือสีส้มเดียวกันกับศาลเจ้านี้นี่แหล่ะ (ศาลเจ้านี้..ไม่ธรรมดานะเนี่ย)
ดูๆ มีความเป็นฮวงจุ้ยนะเนี่ย ต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่น ประกอบด้วยหมู่อาคารรายล้อมรอบทิศทาง มาตอนกลางวัน อากาศดีๆ นี่ก็ดูดีนะเนี่ย (คราวที่มาตอนฝนตกๆ ว่าขลังแล้ว มาตอนกลางวันความขลังก็ไม่ได้ดูลดลงเลยนะ)
ศาลเจ้าฮิคาวะ บูชาเทพเจ้า 3 องค์ คือเทพเจ้า Susanoo no Mikoto เทพเจ้าแห่งท้องทะเล พายุ และความกล้า Inadahime no Mikoto เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ (ข้าวปลาอาหาร) ผู้เป็นภรรยาของเทพ Susanoo และ Onamuchi no Mikoto เชื่อว่าเป็นบุตรของเทพ Susanoo และเทพี Idanahime ถือว่าเป็นเทพเจ้าผู้สร้างองค์หนึ่ง ไม่ว่าจะสร้างบ้านเมือง ทำเกษตร สร้างธุรกิจ รวมไปถึงการรักษาเยียวยาผู้คน เรียกว่าครอบคลุมหมด
ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่เคารพของจักรพรรดิ์และบรรดาสมาชิกราชวงศ์เป็นอย่างมาก ในช่วงเวลาสำคัญๆ ก็มักจะมาอธิษฐานขอพรให้ประเทศสงบ ร่มเย็น และให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง เด็กที่เกิดในระแวกนี้ก็พ่อแม่ก็มักจะมาขอชื่อที่ศาลเจ้าแห่งนี้กันทั้งนั้น เพราะเชื่อว่าเทพเจ้าจะคุ้มครอง อีกทั้งในช่วงปีใหม่ ศาลเจ้าฮิคาวะก็ถือว่าเป็นศาลเจ้าหนึ่งที่มีคนมาขอพรมากที่สุด
ผู้ที่มากราบไหว้โดยทั่วไป จะมาหยุดอยู่หน้าหอไฮเด็น (Haiden) หรือหอสักการะ เพื่อทำการขอพร โยนเหรียญ นู่น นี่ นั่น กันไป แต่ถ้าหากมีพิธีสำคัญๆ ที่ต้องการจะสื่อถึงเทพเจ้าแบบจริงๆ จังๆ เหล่านักบวชเขาจะมาทำพิธีกันด้านในหอไฮเด็นโดยหันหน้าไปยังวิหารหลักหรือฮนเด็น (Honden) ที่ประทับของเทพเจ้า ซึ่งระหว่างสองอาคารนี้จะถูกเชื่อมไว้ด้วยอาคารที่เรียกว่าเฮเด็น (Heiden) ประมาณว่าเป็นสถานที่เชื่อมโลกมนุษย์กับโลกของเทพเจ้า
สถาปัตยกรรมแบบที่เราเห็นที่ศาลเจ้าฮิคาวะแห่งนี้ถือว่าโบราณมาก ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1940 (ช่วงปีโชวะที่ 15) เพื่อระลึกถึงการก่อตั้งประเทศญี่ปุ่นครบรอบ 2,400 ปี สำหรับศาลเจ้าแห่งนี้ จะมีหัวหน้าศาลเจ้าซึ่งก็เป็นคล้ายๆ กับข้าราชการประเภทหนึ่ง ทำหน้าที่ดูแล ภายใต้งบประมาณของแผ่นดิน
ศาลเจ้าฮิคาวะ (Musashi Ichinomiya Hikawa Jinja)
ที่ตั้ง : 1-407 Takahana-cho, Omiya-ku, Saitama City, Saitama Prefecture
เปิด-ปิด : 05.30 – 17.30 น. (มี.ค. เม.ย. ก.ย. และ ต.ค.) / 05.00 – 18.00 น. (พ.ค. – ส.ค.) / 06.00 – 17.00 น. (ม.ค. ก.พ. พ.ย. และ ธ.ค.)
ค่าเข้าชม : ฟรี
การเดินทาง : เดินจากสถานี Omiya โดยออกทางประตูตะวันออก ประมาณ 20 นาที (ถ้าไม่อยากเดินชิล เพราะเวลาน้อย จะนั่งแท็กซี่ก็ไม่ว่ากัน)
เว็บไซต์ : http://musashiichinomiya-hikawa.or.jp
เดินทางมาจากกรุงเทพฯ แล้วมุ่งหน้าสู่ไซตามะเลย … หิวสิคะ หิว … ที่ไซตามะเป็นจังหวัดหนึ่งที่ดังมากเรื่องปลาไหล แต่คราวที่แล้วเราจัดไปแล้ว คราวนี้เราขอจัดอาหารแบบบีคิว (B-Kyuugurume)* ที่ขึ้นชื่อของเมืองโอมิยะกันค่ะ ที่ไซตามะเนี่ย มีอาหารแบบบีคิวเจ๋งๆ เยอะเลยนะคะ และบีคิวประจำเมืองโอมิยะที่เราจะมาลิ้มลองกัน ก็นาโปลิตัน (Napolitan) นี่แหล่ะค่ะ
*สมัยนี้ ที่ญี่ปุ่นมีแนวอาหารแบบแปลกใหม่หลายอย่าง บีคิวก็เป็นหนึ่งในนั้น อาหารแบบธรรมดาๆ ที่ทำให้รู้สึกไม่ธรรมดา มีความน่าค้นหา และเพิ่มมูลค่าให้น่าลิ้มลองอย่างบีคิวนั้นคืออะไร ลองอ่านกันดูนะคะ >> https://www.marumura.com/b-kyuu-gurume/
และถ้าพูดถึงบีคิวของเมืองโอมิยะ ก็ต้องขอลองเป็นเด็กเส้นกันหน่อย เพราะนาโปลิตัน (Napolitan) หรือสปาเกตตี้ผัดคลุกเคล้ากับซอสมะเขือเทศซึ่งถือกำเนิดในญี่ปุ่นเนี่ย เค้าเด่นมาก อย่างที่ร้าน Brasserie Chatelet ของโรงแรม Shimizuen ซึ่งเรามากินกันนั้น คงคอนเซ็ปความเป็นอาหารบิคิวไว้ได้ชัดเจนมาก …อาหารที่ดูธรรมดา แต่ที่จริงแล้วเป็นของชั้นดี และนำเสนอในราคาประหยัด…
ที่นี่นอกจากจะชูนาโปลิตัน ให้เป็นเมนูเด่นของร้านแล้ว บรรยากาศของร้านซึ่งตั้งอยู่ในโรงแรม ก็มีความเรียบหรูและคลูมาก! หน้าตา .. รสชาติ .. ราคา.. นี่แหล่ะความฟินของอาหารบีคิว นี่แหล่ะสาเหตุที่ทำให้เราได้เห็นคนแน่นร้าน แม้ว่าจะเป็นมื้อกลางวันในโรงแรม!! ดีเว่อร์
และนาโปลิตันที่เป็นบีคิวของโอมิยะเนี่ย เขาจะมีกฎเลยนะว่า ต้องใช้วัตถุดิบ จำพวกผักต่างๆ จากท้องถิ่นนี้เท่านั้น แม้ว่าแต่ละร้านจะมีสูตรเป็นของตนเอง แต่ความสดของวัตถุดิบนี่การันตีได้เลยค่ะ เพราะเป็นข้อบังคับของเมนูนี้ของที่นี่ค่าาาาา
ร้าน Brasserie Chatelet
ที่ตั้ง : ชั้น 2 โรงแรม Shimizuen, 2-204 Azumacho, Omiya-ku, Saitama-shi, Saitama Prefecture
เปิด-ปิด : 11.00 – 15.00 น. (มื้อกลางวัน)
การเดินทาง : เดินประมาณ 10 นาทีจากสถานีโอมิยะ (ทางไปศาลเจ้าฮิคาวะ)
เว็บไซต์ : http://www.shimizuen.co.jp/restaurant
แล้วอีกจุดหนึ่งที่เราขอมาซ้ำ ก็คือพิพิธภัณฑ์รถไฟ (Saitama Railway Museum) …อันนี้ไม่เกี่ยวกับว่าคราวที่แล้วมาค่ำมืดแต่อย่างใด แต่เพราะพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีความเจ๋งมาก เดินชมกี่ครั้งก็รู้สึกว่าคูลทุกครั้ง และที่สำคัญ เค้ามีนิทรรศการหมุนเวียน!! ซึ่ง..ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป
ครั้งก่อนเราได้เจอนิทรรศการหมุนเวียนเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสถานีรถไฟโตเกียว (ช่วงนั้นฉลองสถานีโตเกียว อายุครบ 100 ปี พอดี) มันเจ๋งมาก เขาเอาตั้งแต่พิมพ์เขียวของจริง เสาไม้ที่ใช้เป็นตอม่อสมัยก่อน กระเบื้องมุงหลังคาเก่าแก่ ก่อนการบูรณะ เอาจริงๆ แค่เห็นพิมพ์เขียวฉบับดั้งเดิม ร่างด้วยดินสอ กระดาษร่อแร่ จะขาดแหล่ ไม่ขาดแหล่ แค่นั้นก็ว้าวแล้วค่ะ
ครั้งนี้นิทรรศการหมุนเวียน มีเล่าเรื่องราวอาหารบนขบวนรถไฟต่างๆ มีทั้งเมนู (เก่า-ใหม่) ในขบวนรถไฟสายต่างๆ มีถ้วยชามที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งใช้ในขบวนรถไฟต่างๆ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการหมุนเวียนเกี่ยวกับบัตรรถไฟ (เรียกว่าเป็นการ์ดรถไฟดีกว่า…) มันสวย เก๋ มีความคลาสสิก มีความโบราณ แล้วยังมีส่วนของแบบจำลองที่เป็นโมเดลของสถานีรถไฟต่างๆ แบบเป็นภาพตัด คือมองเห็นนอกสถานีแล้วยังได้เห็นภาพด้านในสถานีด้วย ผ่าให้เห็นสถานีรถไฟโตเกียว สถานีอุเอโนะ ฯลฯ เห็นแบบทะลุทะลวง เป็นสองมิติ สามมิติ ไรงี้ด้วย
เรานะพอเดินเข้าห้องนิทรรศการไปปุ๊บ อุทานได้คำเดียว “เห้ย! สวยมาก!!” ขนาดคนญี่ปุ่นเดินเข้ามายังอุทาน “โฮะ! สุโก้ย!!” โอ้ย! ไม่รู้จะบรรยายอย่างไร (เค้าห้ามถ่ายรูป) เอาเป็นว่านักสะสม คงกรี๊ดสลบ ถ้าได้เห็นของในห้องนี้ ว้าว!! พูดเลย! ความน่าเสียดายคือ มันคือนิทรรศการหมุนเวียน!! มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ มาครั้งหน้าโซนนี้ก็จะเปลี่ยนไป นี่แหล่ะ เป็นเหตุว่าทำไม มาที่นี่กี่ครั้งก็ว้าว … คนญี่ปุ่นเองก็ไปกันซ้ำแล้ว ซ้ำอีก
ด้านในมีการนำขบวนรถไฟเก่าๆ ตั้งแต่สมัยโชวะมาเลย มีรถไฟส่วนพระองค์ขององค์จักรพรรดิ์ญี่ปุ่นด้วยนะ มีโซนเล่าประวัติศาสตร์ วิวัฒนาการรถไฟในญี่ปุ่น โซนสำหรับเด็ก เรื่องราวเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับรถไฟ มี simulator ให้ลองขับรถไฟ มีร้านอาหาร มีร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ แล้วยังมีจุดนั่งชิล ชมวิวจากมุมบน เพื่อรอชมขบวนรถไฟชิงกันเซน วิ่งผ่าน เขาจริงจังขนาดมีตารางเวลารถไฟแต่ละขบวนไว้บอกนักท่องเที่ยวด้วย ขบวนไหนกำลังจะวิ่งผ่าน … บอกหมด!! เจ๋งปะล่ะ
เยอะแยะขนาดนี้ แล้วในปี 2018 ยังจะเปิดโซนใหม่อีก!!
การเดินทางมาที่พิพิธภัณฑ์รถไฟแห่งนี้ก็สะดวกและมีความเก๋ คือจากสถานีรถไฟโอมิยะ เราก็สามารถต่อรถ New Shuttle ซึ่งมีหน้าตาคล้ายๆ รถไฟ หรือรถราง …มันก็วิ่งในรางหรือช่องของมันอ่ะนะ แต่มันมีล้อค่ะ!! เก๋ๆ … นั่ง New Shuttle มาแป๊บเดียวก็ถึงค่ะ เดินออกจากสถานี New Shuttle ก็มาโผล่หน้าพิพิธภัณฑ์เลย สะดวกเว่อร์วัง
พิพิธภัณฑ์รถไฟ (Saitama Railway Museum)
ที่ตั้ง : 3-47 Onari-cho, Omiya-ku, Saitama City, Saitama Prefecture
เปิด-ปิด : 10.00 – 18.00 น. ปิดทุกวันอังคาร และวันหยุดยาวช่วงปีใหม่ (29 ธ.ค. – 1 ม.ค.)
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 1,000 เยน / นักเรียน 500 เยน / เด็ก (3 ขวบขึ้นไป) 200 เยน
การเดินทาง : จากสถานี JR Omiya นั่ง New Shuttle ไปลงที่สถานี Tetsudo-Hakubutsukan แค่ป้ายเดียวเท่านั้น เดินจากสถานีไปแค่ 1 นาที
เว็บไซต์ : http://www.railway-museum.jp/en/index.html
และถ้าเพื่อนๆ เลือกที่จะพักในเมืองโอมิยะละก็ ถือว่าเป็นเมืองที่เหมาะสมที่สุดเมืองหนึ่งทีเดียว เพราะอย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ ว่าเดินทางก็ง่าย อยู่ใกล้โตเกียวมากๆ ที่พักราคาดีๆ ก็มีแยะ แถมยังมีให้เลือกเยอะอีกต่างหาก … ลองเลือกกันดูได้ ^^
แต่ค่ำนี้เราเดินทางไปพักยังเมืองชิจิบุเลย … เพราะเวลาที่เหลือของทริปนี้เราจะไปจ่อมกันอยู่ที่ชิจิบุเมืองเดียวเลยค่ะ มาเที่ยวชิจิบุทั้งที ต้องเอาให้สุด …
… แล้วมาติดตามกันต่อตอนหน้านะคะ บายยยยย 😉
เรื่องแนะนำ :
– รีวิวเที่ยวไซตามะ (4) ใส่ฮากามะตามรอยอนิเมะ เดินเล่นศาลเจ้า Chichibu
– รีวิวเที่ยวไซตามะ (3) ล่องเรือ Nagatoro และขอพรศาลเจ้าแห่งเงินตรา
– รีวิวเที่ยวไซตามะ (2) เดินทางสู่ Chichibu … ชมทุ่งดอกป๊อบปี้
– เที่ยวญี่ปุ่นชิลๆ เส้นทางใหม่ Gunma – Niigata – Saitama ตอนที่ 5
– อาหารเกรดบี 「B級グルメ」(B-kyuu gurume)
ขอบคุณข้อมูล :
–http://www.city.saitama.jp/
–http://saitama.namjai.cc/
–http://www.stib.jp/pdf/pamphlet/att/att_saitama_city_all.pdf
–https://www.seiburailway.jp/express/?device=pc&
–http://musashiichinomiya-hikawa.or.jp
–http://www.railway-museum.jp
–http://www.shimizuen.co.jp/restaurant