ซัปโปโร – เกียวโต ทริปเดียวก็เที่ยวได้...กลับมาต่อ..กับสองวันสุดท้ายในเกียวโตสำหรับทริปนี้ของเรา คราวที่แล้วเราค้างกันไว้ที่ในช่วงเช้าเราไปดูสวนผักที่ได้รับการใส่ใจเป็นอย่างดีที่เกียวโต ตกบ่ายเราแวะเข้าศาลเจ้ากันเล็กน้อย ศาลเจ้า Gokonomiya มีชื่อเสียงด้านการคลอดบุตร แต่ที่แวะมานี่ เพราะชื่อเสียงเรื่อง “น้ำ” ของที่นี่ต่างหาก..
กลับมาต่อ..กับสองวันสุดท้ายในเกียวโตสำหรับทริปนี้ของเรา คราวที่แล้วเราค้างกันไว้ที่ในช่วงเช้าเราไปดูสวนผักที่ได้รับการใส่ใจเป็นอย่างดีที่เกียวโต ตกบ่ายเราแวะเข้าศาลเจ้ากันเล็กน้อย ศาลเจ้า Gokonomiya มีชื่อเสียงด้านการคลอดบุตร ซึ่งแม้ผู้เขียนจะไม่ได้มีความจำเป็นต้องขอพรประเภทนี้ แต่ที่แวะมาก็ด้วยชื่อเสียงอีกด้านหนึ่งของที่นี่ “น้ำดื่ม” นั่นเอง…
แม้จะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในระดับท๊อปๆ ของเกียวโต แต่ที่นี่ก็เป็นหนึ่งในเรื่องความเก่าแก่ โดยเฉพาะเมื่อพบตาน้ำผุด (Gokosui) จากศาลเจ้าแห่งนี้ในสมัยเฮอัน (9 ก.ย. ค.ศ. 863) และถือว่าน้ำที่นี่มีกลิ่นดี สะอาด มีชื่อเสียงด้านรสชาติดี (อันนี้ต้องมาพิสูจน์กันเองนะ ลิ้นเราชิม “น้ำ” แล้วจะเรียกว่าอร่อยได้หรือเปล่า) มีสรรพคุณรักษาโรคได้อย่างประหลาน ในสมัยเมจิตาน้ำผุดที่นี่เกิดแห้งไป แต่ชาวเมืองก็ช่วยกันขุดและนำกลับขึ้นมาใหม่ในค.ศ. 1982 และในปี 1985 น้ำ Gokosui ได้รับเลือกให้เป็น “Best of 100 water in Japan” เลยทีเดียว จึงไม่น่าแปลกใจที่อาหารการกินของคนแถวนี้ รวมทั้งสาเกของที่นี่จะมีรสชาติดี เพราะได้แหล่งน้ำชั้นดีนี่เอง ส่งผลให้ย่านนี้กลายเป็นเป็นแหล่งผลิตเหล้าสาเกที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งอีกด้วย นอกจากนั้นคนในละแวกนี้ก็มักจะมาเข้าคิวเพื่อกรอกน้ำจากศาลเจ้าแห่งนี้ไปใช้กันอยู่เสมอ อย่างเช่นตอนที่ผู้เขียนเข้าไปที่ศาลเจ้า Gokonomiya นั้น ก็เห็นพนักงานบริษัท 2 คนมายืนกรอกน้ำกันอย่างดูเป็นเหมือนกิจวัตรที่พวกเขาทำกันเป็นประจำ ดูชิลมากๆ เลยค่ะ
Gokonomiya Jinja
ที่ตั้ง : 174 Monzen-Cho, Gokonomiya, Fushimi-ku, Kyoto City (นั่งรถไฟ Keihan Line หรือ Kintetsu Line ไปลงที่ Momoyama-goryo ได้ หรือนั่ง JR Nara Line มาลงที่สถานี Momoyama แล้วเดินต่ออีก 5 นาที)
เปิดทำการ : เปิดทุกวัน ตลอดทั้งวัน (สวน เปิด 09.00 – 16.00 น.)
ค่าเข้าชม : 200 เยน (ชมสวน)
เว็บไซต์ : http://www.kyoto.zaq.ne.jp/gokounomiya/
ที่ศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่ออีกอย่างคือเรื่องของสวน แต่เราไม่มีเวลาเดินเล่นตรงนี้ เพราะหลังจากขอพรเทพเจ้าและลองชิมน้ำกันนิดหน่อยแล้ว เราก็ออกเดินชิลๆ มาแถบถนนคนเดิน Otesuji แล้วผ่านย่านโรงงานสาเกเก่าแก่ไปยังท่าเรือ (ประมาณ 10 นาที) เพื่อลองล่องเรือชมวิวในละแวกนี้กันดู โดยเรือ Fushimi Jikkoku-bune นี้ล่องในแม่น้ำ Horikawa ที่เคยใช้เป็นเส้นทางเดินเรือเพื่อขนส่งสินค้าและผู้คนในสมัยเอโดะ ระหว่างเมือง Fushimi กับ Osaka ที่ใช้กันมาจนถึงปลายสมัยเมจิ นำมาทำเป็นเส้นทางล่องเรือท่องเที่ยว ซึ่งเราก็ไม่ได้ล่องไปไกลถึงโอซาก้าหรอกนะ แค่สั้นๆ ถึงประตูน้ำที่สร้างขึ้นมาในสมัยหลังๆ นี่เอง สองข้างทางก็ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนแถวนี้ด้วย บางคนก็ตกปลา บ้างก็วาดรูป บ้างก็ขี่จักรยาน บ้างก็พาหมามาเดินเล่น ช่างสุขสงบกันดีจัง แล้วสองฝั่งแม่น้ำยังเป็นที่ตั้งของโรงบ่มสาเกหลายแห่งซึ่งปัจจุบันก็ยังมีที่ใช้งานอยู่ แล้วถ้าใครรู้จักประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น รู้จักเรื่องราวของซากาโมโต้ เรียวมะ (Sakamoto Ryoma) ซามูไรหัวก้าวหน้าที่มีส่วนช่วยในการเปลี่ยนแปลงญี่ปุ่นมาสู่ยุคปัจจุบัน เขาถูกลอบสังหารที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่เลียบแม่น้ำแห่งน้ำ เมื่อล่องไปสุดทางจะมีประตูน้ำซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นไป รวมถึงประโยชน์ของประตูแห่งนี้ให้ได้ศึกษากันอีกด้วย จากนั้นจึงจะล่องเรือกลับมายังท่าเรือแห่งเดิมที่สะพาน Bentenbashi
*มีเรือ Jikkoku-bune กับที่ Sanjikkoku-bune ที่ใช้ล่องแม่น้ำแห่งนี้ จุดลงเรือคนละจุด และตารางเวลาก็ต่างกัน
Fushimi Jikkoku-bune
ที่ตั้ง : สะพาน Bentenbashi, Fushimi, Kyoto
เปิดทำการ : ปกติเรือจะออกทุก 20 นาที ตั้งแต่ 10.00 – 16.20 น. (ใช้เวลาล่องเรือไป-กลับ ประมาณ 50 นาที แต่ก็มีแวะที่ประตูน้ำด้วยนะ ชมพิพิธภัณฑ์ประตูน้ำกันนิดนึง) ส่วนวันหยุดต้องเช็คที่ป้ายของท่าเรือ (^^)”
ค่าเข้าชม : ราคาผู้ใหญ่ 1,200 เยน เด็กประถม 600 เยน
และพอย้อนกลับมาถึงท่าเรือ เราก็ย้อนกลับไปที่ ร้าน Aburachoucha ที่อยู่ในย่านช้อปปิ้ง Otesuji (Nayamachi) ซึ่งเป็นจุดช้อปปิ้งหนึ่งในหลายจุดในละแวกนี้ (เราแอบเดินทางร้านนี้ไปก่อนตอนไปท่าเรือ) ร้านนี้ขึ้นชื่อมากเรื่องชาเขียวเกียวโต และที่ที่เรามานี่ยังเป็นร้านสาขาแรกอีกด้วย นอกจากการช้อปปิ้งชา ชา ชา สารพัดชาที่เป็น signature ของร้าน Aburachoucha แล้ว (มีชาเจ้าอื่นๆ ที่ผ่านการสกรีนมาเป็นอย่างดี ถูกนำมาวางจำหน่ายด้วยนะ) ก็ต้องมาชิมขนมของร้านนี้กัน อย่างเบาๆ ก็พวกซอฟท์ครีม แต่เราขอแนะนำเมนู Uji Ginjyo Kintoki ราคาแค่ 750 เยน เป็นการนำชาเขียวมาทำขนมได้อย่างลงตัวมาก แปร๊บบบบเดียว เหลือแต่ถ้วย 555
Aburachoucha
ที่ตั้ง : 779, Higashi-otesuji, Fushimi-ku, Kyoto, 612-8053 (Otesuji/Nayamachi) เดิน 5 นาที จากสถานี Fushimi-Momoyama
เปิดทำการ : 09.00 – 19.00 น.
เว็บไซต์ : http://www.kyoto-wel.com/shop/S81127/
เดินเล่นย่านช้อปปิ้ง …. กันเล็กน้อย แล้วเราก็ไปช้อปปิ้งกันนิดหน่อยแถวๆ สถานีเกียวโต (AEON) แล้วก็กลับไปช้อปในห้างแถวๆ โรงแรมกันอีกรอบ ร้านร้อยเยน รองเท้า เสื้อผ้า Uniqlo ฯลฯ เอากันให้หนำใจ เสร็จแล้วก็ไปหาอิซากายะ (ร้านกินดื่ม) แถวๆ โรงแรมกินกันตามระเบียบ
สำหรับเช้าของวันรุ่งขึ้นนั้น เราพอมีเวลาว่าง จึงนั่งแท็กซี่ไปที่วัด Bishamon-do ที่จริงถ้าเป็นชาวญี่ปุ่นก็อาจจะเดินจากสถานี Yamashina ซึ่งอยู่หน้าโรงแรมของเราไปได้ ประมาณ 20 นาที (แบบชิลๆ สไตล์ญี่ปุ่น) แต่ถ้าเป็นผู้ไม่ค่อยรักการเดินอย่างพวกเราน๊านนน ใช้บริการแท็กซี่ดีกว่า แหะ แหะ 10 นาที ประมาณ 590 เยนเท่านั้น เราก็มาเยือนความร่มรื่นที่บริเวณลานวัดด้านล่าง จากนั้นเราก็จัดแจงไต่บันไดขึ้นไปด้านบน กราบสักการะ ขอพรกันเล็กน้อย ..
จากนั้น!! โชคดีมาก ท่านเจ้าอาวาสของวัด Bishamon-do ให้ความกรุณาพวกเราได้เข้าไปกราบสักการะท่านถึงอาคารด้านใน (เรียกกุฏิได้ไหมหนาาาาา) ท่านมีเดินทางมาเมืองไทยบ่อยนะ เคยร่วมงานกับทางมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เคยมางานประชุมพระสงฆ์ของ UN ที่พุทธมณฑลเมื่อปี 2009 ด้วย ดูจากรูปที่ท่านวางประดับไว้ในกุฏิอ่ะนะ (ที่สำคัญน้ำชากับขนมที่ท่านนำมาให้ชิม อร่อยมากกกกกก ตลกบริโภคจริงๆ) จากนั้นยังกรุณาให้พระรูปหนึ่งพาพวกเราชมวัด พร้อมอธิบายจุดไฮไลท์ต่างๆ อีกด้วย เจ๋งมากกกกก แล้วหลายๆ จุดที่ปกติไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ คราวนี้ก็อนุญาตให้แบบว่าเชิญตามสบายเลยล่ะ ใจดีมากๆ
ด้วยความที่วัดนี้มีความเก่าแก่ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 789 ทุกอย่างจึงออกจะดูโบราณ แต่ขอโทษ..สะอาดสอ้านและดูดีอย่างสถานที่ที่ได้รับการทำนุบำรุงอยู่เนืองๆ และจากการสังเกตสัญลักษณ์ที่นี่ดูจะเป็นวัดหลวงด้วยเพราะมีตราดอกเบญจมาศอยู่หล่ะ ที่น่าดูอีกอย่างคือการที่มีผู้ที่ศรัทธาในพุทธศาสนามาช่วยกันทำความสะอาดสวนอยู่ตลอดเวลาที่เราเดินชมวัด ยิ่งทำให้วัดนี้ดูน่าเชื่อถือเข้าไปอี๊กกกก แต่ก็ดีนะ ที่เขามีคนจัดการบรรดาต้นไม้ (ที่มีอยู่มากมาย) อยู่เนืองๆ เพราะที่นี่เขาเป็นจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนที่มีชื่อ และซากุระก็มีให้ดูกับเขาด้วยเหมือนกัน)
วัด Bishamon-do เป็นวัด Monzeki ในนิกาย Tendai ที่บูชาเทพเจ้าด้วยนะ โดยบูชาเทพเจ้า Bishamonten ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามและการต่อสู้ ท่านเป็นหนึ่งในเจ็ดเทพเจ้าที่ชาวญี่ปุ่นให้ความเคารพ และเป็นหนึ่งในสี่ของเทพนักรบผู้ปกปักษ์รักษาพุทธศาสนา ลักษณะโดยทั่วไปของท่านคือ มือหนึ่งถือหอกอีกมือถือเจดีย์ ผู้คนเชื่อว่าท่านจะบรรดาความเจริญรุ่งเรือง ความโชคดี รวมถึงความโชคดีในการแข่งขันใดๆ ก็ตาม
วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 703 (เดิมชื่อวัด Izumo ตั้งอยู่ทางเหนือของพระราชวังอิมพีเรียลเกียวโต ภายหลังจากท่านเจ้าอาวาส Saicho ได้นำรูปแกะสลักของเทพเจ้า Bishamonten มาประดิษฐาน จึงเปลี่ยนชื่อเป็นวัด Bishamondo) โดยภายในวัดมีภาพของเทพเจ้าท่านนี้ในแบบฉบับ 3D แต่เก่าแก่มาก คือวาดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อร้อยกว่าปีก่อน เก็บรักษาเอาไว้ ที่น่าเสียดายคือเขาไม่เปิดให้สาธารณชนเข้าชม
สรุป 3 คำสั้น สำหรับวัดนี้ “งดงาม สุขสงบ มีเสน่ห์”
Bishamon-do
ที่ตั้ง : 18 Anshuinariyama-cho, Yamashina-ku, Kyoto 607-8003
เปิดทำการ : 08.30 – 17.00 น. (เดือนธ.ค. – ก.พ.)
ค่าเข้าชม : ด้านนอกไม่เสียค่าเข้าชม แต่ถ้าจะชมภาพวาด หรือสรรพสิ่งที่ถูกจัดราวพิพิธภัณฑ์ซึ่งอยู่บริเวณด้านใน มีค่าเข้า 500 เยน
เว็บไซต์ : http://www.bishamon.or.jp/
เอาหล่ะ … สิ่งที่ตั้งใจจะต้องไปเที่ยวชมของทริปนี้ก็ไปมาหมดแล้ว เวลาอีกครึ่งวันที่เหลือ พวกเราก็เลยกระจัดกระจาย กันไปช้อปปิ้ง (^____^) ตอนค่ำค่อยมารวมตัวกัน เพื่อไปกินมื้อค่ำ มื้อนี้เราเปลี่ยนไปจัดปิ้งย่างกันบ้าง แต่เป็นเมนูสไตล์เกาหลี ร้านนี้ผู้เขียนเคยมาลองแล้ว ติดใจผักที่ใช้ห่อเนื้อ กิมจิ และพริกเกาหลี เป็นคำๆ กินเหมือนเมี่ยงคำดูนะ เราว่าอร่อยดี พอดีคำ ^^
วันสุดท้าย เราก็ออกเดินทางกันแต่เช้า จากสถานี JR Yamashina แล้วต่อรถไฟที่สถานี Kyoto มุ่งหน้าสู่สนามบินคันไซ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เพราะการบินไทยจะพาเรากลับบ้านด้วยไฟล์ทก่อนเที่ยง 11.45 น. เครื่องออก ถ้าอยากช้อปต่อที่สนามบินคันไซสักนิด ก็ต้องไปให้ไวๆ อ่ะนะ (^^)
จบไปอีกหนึ่งทริป รีวิวทริปถัดไปจะเป็นที่ไหน อย่าลืมติดตามกันด้วยนะคะ
อ้อ! และขอทิ้งท้ายเพิ่มเติมไว้ให้สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจเดินทางในเส้นทางเดียวกันนี้ สามารถเดินทางได้ด้วยรถโดยสารประจำทาง ซึ่งก็อาจจะต้องเช็คเรื่องเส้นทางเดินรถ แล้วก็ตารางเวลากันอยู่สักหน่อย (ส่วนใหญ่ก็เป็นภาษาญี่ปุ่นอ่ะนะ) แต่ว่าถ้ามีใบขับขี่ต่างประเทศ แนะนำว่าเช่ารถขับเลยจะดีกว่ามาก โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงนะ สวยงาม ตระการตา ขับไป ชมวิวไป แวะถ่ายรูปไป ชิลมาก… นอกจากนั้น ความน่าสนใจระหว่างการเดินทางของเส้นทางในทริปนี้ยังสามารถติดตามชมกันได้ ทางรายการ “ผจญภัยไร้พรมแดน” ซึ่งน่าจะออกอากาศให้ชมกันในเร็วๆ นี้ ก็รอติดตามชมกันได้ทางททบ. 5 (ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 21.50 – 22.15 น.)
เรื่องแนะนำ :
– รีวิวเที่ยวญี่ปุ่น ซัปโปโร – เกียวโต ทริปเดียวก็เที่ยวได้ ตอนที่ 3 : เที่ยวเกียวโต
– รีวิวเที่ยวญี่ปุ่น ซัปโปโร – เกียวโต ทริปเดียวก็เที่ยวได้ ตอนที่ 2 : Jozankei Onsen
– รีวิวเที่ยวญี่ปุ่น ซัปโปโร – เกียวโต ทริปเดียวก็เที่ยวได้ ตอนที่ 1 : มุ่งสู่ Sapporo